ตื่นมาอีกทีจางลี่ซือก็ได้รับการตรวจจากหมอประจำตำหนักทันที แต่ถึงแม้จะทำการตรวจอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วก็ไม่พบสิ่งปกติใด ๆ ในร่างกายของนางเลย สร้างความแปลกประหลาดใจให้กับผู้ที่เห็นเหตุการณ์นั้น แน่นอนว่าอันตงหยางสั่งปิดปากทุกคนไม่ให้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปด้วยกลัวว่าจะเป็นอันตรายต่อจางลี่ซือ
สถานที่แห่งนี้ไม่มีนางกำนัลแม้แต่ผู้เดียวทำให้เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่เจียวลู่จะต้องรับบทเป็นขันทีเพื่อคนคอยดูแลจางลี่ซือ ด้วยความที่เป็นคนคอยดูแลนางมาตั้งแต่แรกรวมถึงนางมีท่าทางหวาดกลัวบุรุษอีกด้วย และแม้นางจะรู้ว่าเจียวลู่จะเป็นขันทีแต่นางก็ยังมิสะดวกใจเท่าใดนัก
เมื่อได้รับการตรวจเสร็จสิ้น ผลตรวจของนางไม่พบสิ่งใดผิดปกติ นางก็รีบลุกขึ้นแล้วเอ่ยถามเจียวลู่เสียงใส
“ข้าขอเข้าเฝ้าหยางอ๋องได้หรือไม่? ข้าอยากขอบพระทัยที่ให้ข้าอาศัยอยู่ที่นี่ แม้จะชั่วคราว”
เวลานางมีไม่มาก นางอยากรีบประจบประแจงในตอนที่มีโอกาส
“หยางอ๋องมีรับสั่งให้คุณหนูจางรักษาตัวจนกว่าจะมีคำสั่งเรียกเข้าเฝ้าขอรับ”
ได้ฟังดังนั้นนางก็คอตกพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ หากมีรับสั่งมาแบบนี้นางก็ไม่มีโอกาสได้พบเจออันตงหยางแน่นอน ดูก็รู้ว่าคำสั่งนี้อันตงหยางรับสั่งออกมาเพราะกลัวว่านางจะไปพบโดยพลการ
“ข้ามิได้บาดเจ็บเสียหน่อย”
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้หากเป็นสตรีธรรมดาย่อมต้องบาดเจ็บจนเกิดแผลเป็นไปชั่วชีวิตขอรับ”
“แต่เจ้าก็เห็นว่าข้าไม่มีแผลเป็นที่ใดเลย”ไม่ว่าเปล่านางยังยกฝ่ามือข้างที่เมื่อวานได้ปักปิ่นจนทะลุฝ่ามือตนเองไปตรงหน้าเจียวลู่ เพื่อเป็นการยืนยันอีกครั้งว่านางไม่ได้มีตรงไหนที่บาดเจ็บ
“ไม่มีแผล ไม่ได้หมายความว่าท่านจะไม่ได้รับบาดเจ็บขอรับ”
“แต่ข้าสบายดีจริง ๆ นะ”
“ถึงคุณหนูจางจะกล่าวเช่นนั้น รับสั่งของหยางอ๋องก็ไม่เปลี่ยนแปลงหรอกขอรับ”
จริงอย่างที่เจียวลู่ว่าจึงทำให้นางคอตกยิ่งกว่าเดิม ดวงตากลมโตใสมองสำรวจรอบห้องอย่างพิจารณา
“ว่าแต่ที่นี่คือที่ใดกัน?”
มองดูด้วยสายตาแล้วนางแน่ใจว่าไม่ใช่ห้องหอที่เคยร่วมหลับนอนกับอันตงหยางในคืนแรกเป็นแน่
“ที่นี่คือเรือนโม่ลี่ฮวาขอรับ เป็นเรือนที่อยู่ท้ายสุดของตำหนัก”
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่นางรู้สึกว่าเจียวลู่พูดเน้นประโยคหลังทำเอานางรู้สึกเจ็บแปลบ ๆ คล้ายกับถูกคนผู้นี้พูดหยอกแกล้ง แต่เจียวลู่มีสีหน้ายิ้มแย้มตามปกติจึงทำให้นางไม่แน่ใจสักเท่าไหร่
จางลี่ซือขยับกายหยัดขึ้นแล้วเดินตรงไปที่ระเบียง ที่ตรงนี้มองเห็นวิวมวลบุบฝาที่อยู่ไกลออกไป อีกทั้งยังเห็นดวงอาทิตย์ตกยามเย็นอีกด้วย นับเป็นทำเลที่ดีพอสมควรสำหรับนาง
วันแล้ววันเล่านางก็ยังไม่ได้เข้าเฝ้าอันตงหยางจนเริ่มท้อใจแม้จะเซ้าซี้ให้เจียวลู่ไปทูลขอเข้าเฝ้าให้ก็ตาม
แต่แล้วก็เหมือนวันนี้พระผู้เป็นเจ้าจะเอ็นดูในความพยายามของนาง องครักษ์วิ่งมารายงานเจียวลู่อย่างเร่งด่วน
“คุณหนูจาง หยางอ๋องมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าขอรับ”
ได้ยินดังนั้นจากที่ซึมมาหลายวันดวงตากลมโตก็เป็นประกายเปี่ยมด้วยความหวังขึ้นมา อย่างน้อยขอให้ได้เข้าเฝ้า เอาอกเอาใจบ้าง ดีกว่าไม่ได้เจอหน้ากันเลย
เจียวลู่นำทางมาจนถึงที่หมาย บุรุษผู้หนึ่งนอนจมกองเลือดอยู่ตรงหน้าทำให้จางลี่ซือถึงกับเกือบกรีดร้องด้วยความตกใจ อีกทั้งยังมีบุรุษอีกมากมายแม้บาดแผลไม่หนักหนาเท่าบุรุษตรงหน้านางก็ตาม โชคดีที่ยกมือขึ้นปิดปากได้ทัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงเก็บความหวาดกลัวเอาไว้ไม่มิดอยู่ดี
อันตงหยางมองจางลี่ซือด้วยสีหน้าเรียบเฉย เมื่อนางเดินไปถึงตรงหน้าเขาก็ย่อกายถวายความเคารพ
“ถวายพระพรหยางอ๋อง หม่อมฉันดีใจมากที่เรียกมาเข้าเฝ้าเพคะ”
“เจ้ารักษาบุรุษพวกนี้ได้หรือไม่?
ไม่พูดพร่ำให้มากความ อันตงหยางเบนสายตาจากนางมองไปยังบุรุษที่นอนกองอยู่บนพื้นด้วยสภาพเจียนตาย หากให้พูดกันตามตรงนั้นค่อนข้างจะหวาดกลัวแต่ก็ทำใจกล้าหันไปมองด้วยกลัวว่าจะทำให้อันตงหยางโกรธเคืองนาง
“หม่อมฉันรักษาได้เพคะ”
งั้นเราออกมาเช่นนั้นแต่ก็ไม่ได้ขยับกายออกไปรักษาบุรุษเบื้องหน้า นั่นทำให้อันตงหยางหันมามองนางด้วยสายตาสงสัย เพราะคิดว่าอย่างไรนางก็ต้องทำการรักษาแน่เพื่อเอาอกเอาใจตน
“แต่หากหม่อมฉันรักษาบุรุษมากมายเหล่านี้ หม่อมฉันจะได้สิ่งใดตอบแทนกันเพคะ”
“นี่เจ้ากำลังข่มขู่อ๋องอย่างข้าแล้วยังใช้ชีวิตของผู้คนมาเป็นข้อต่อรองอย่างนั้นเหรอ?”
คำกล่าวของอันตงหยางพร้อมทั้งสายตารุนแรงทำให้นางรู้สึกเจ็บแปลบที่กลางใจ คำพูดดูถูกเหยียดหยามแต่นางจำเป็นต้องทำมันเพื่อความอยู่รอดของนางเอง
“มะ มิบังอาจ หากแต่ว่าข้า…”
“ก็แล้วแต่เจ้า สตรีเห็นแก่ตัวเช่นเจ้าข้าไม่อยากเก็บไว้ พรุ่งนี้เก็บข้าวของแล้วออกไปจากดินแดนเหนือเสีย อย่ามาให้ข้าเห็นหน้าเจ้าอีก”
สิ้นประโยคนั้นอันตงหยางก็เดินออกไปทันทีตามด้วยองครักษ์ผู้ติดตาม จางลี่ซือใจหล่นลงตาตุ่ม หมดสิ้นแล้วเชือกเส้นสุดท้ายที่นางพยายามยึดเอาไว้ถูกอันตงหยางตัดออกอย่างไร้เยื่อใย
ที่นางกล้าพูดกล้าต่อรองออกไปเช่นนั้นเป็นเพราะว่านางเชื่อว่าอันตงหยางจะต้องช่วยเหลือพรรคพวกเป็นแน่ เมื่ออันตงหยางเดินจากไปด้วยความโกรธเกรี้ยวแบบนั้นนางก็ถึงกับหลั่งน้ำตาออกมา
…ขะ ข้าไม่ได้อยากทำเช่นนี้ แต่ข้าไม่อยากกลับไปตระกูลจาง…
“คุณหนูจางกลับเรือนเถอะ”
เจียวลู่เตรียมจะนำทางนางแต่ทว่านางกลับหันกลับไปมองเหล่าบุรุษซึ่งดูจากเครื่องแบบแล้วเป็นองครักษ์ในสังกัดของอันตงหยาง แอบนึกด่าทอบุรุษอยู่ในว่าว่าเป็นคนโหดเหี้ยม แม้แต่บริวารของตนก็ไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ปล่อยไปตามกงเกวียนกงกรรม
หลังมือปาดน้ำตาออกอย่างลวก ๆ ก่อนจะเดินไปหาผู้บาดเจ็บ กลิ่นคาวเลือดรวมถึงสภาพของบาดแผลฉกรรจ์ทำเอานางแทบอาเจียนแต่ก็พยายามอดทนอดกลั้น
นางไม่ใช่สตรีที่เห็นแก่ตัวอย่างที่อันตงหยางกล่าวหา เพียงแต่ว่าที่นางกล่าวออกไปก็เผื่ออันตงหยางจะเห็นในคุณงามความดีตบรางวัลให้นางบ้าง สรุปกลายเป็นว่านางทำให้ตัวเองกลายเป็นสตรีเห็นแก่ตัวอีกทั้งยังถูกไล่กลับตระกูลจางอีกด้วย
ดึงปิ่นปักผมออกจากเรือนผมสวย เส้นผมนุ่มพริ้วไปตามแรงลมก่อนที่นางจะยกมือขึ้นสูงเตรียมจะทิ่มแทงฝ่ามือด้วยดวงตาสั่นระริก ที่นางกระทำเมื่อครั้งก่อนก็เพราะความบ้าดีเดือด พอตอนนี้กลับมีความหวาดกลัวก่อเกิดขึ้น หากทว่าก่อนที่นางจะทิ่มปิ่นลงทะลุฝ่ามือก็ถูกฝ่ามือหยาบของเจียวลู่คว้าข้อมือเล็กเอาไว้ก่อน
“ถึงคุณหนูจะกระทำช่วยชีวิตบุรุษเหล่านี้ รับสั่งของหยางอ๋องก็คงมิเปลี่ยนแปลง”
ได้ยินดังนั้นนางก็ดึงข้อมือกลับก่อนจะกล่าวออกไปด้วยแววตามุ่งมั่นละคนรู้สึกผิด
“ข้าไม่ได้หวังว่าหยางอ๋องจะเปลี่ยนรับสั่ง ข้าแต่…อยากช่วยเท่าที่ข้าช่วยได้ แม้ข้าจะพูดออกไปแบบนั้นแต่ก็มิอาจจากไปไม่ดูดำดูดีบุรุษเหล่านี้ได้ทั้ง ๆ ที่ข้าสามารถช่วยได้ อย่างน้อยข้าก็ขอทำเพื่อเป็นของกำนัลอำลาจากข้า”
เพราะจางลี่ซือนั้นมาแต่ตัวไร้สินเดิม สิ่งที่นางมีก็คือตัวนางและการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ของนางเองเท่านั้นที่จะตอบแทนได้
เดิมทีนางไม่ใช่คนใจไม้ใส้ระกำ นิสัยเดิมอ่อนโยนและอ่อนหวาน เพียงตั้วแต่นางมาที่นี่ก็เหมือนกำลังเฮือกสุดท้ายในการเอาชีวิตรอด
“ใช้สิ่งนี้เถอะคุณหนู”เจียวลู่ยื่นดาบมาตรงหน้าของนางด้วยความหวังดีว่าการใช้คมดาบน่าจะเจ็บน้อยกว่าการใช้ปิ่นทู่ ๆ ปักลงกลางฝ่ามือ
จางลี่ซือยื่นมือออกไปรับแล้วกลั้นใจกดคมดาบลงบนฝ่ามือ เลือดไหลซึมออกมาเป็นทาง ก่อนที่มันจะไหลรินสู่พื้นนางรีบยกมือขึ้นเหนือบาดแผลฉกรรจ์ของบุรุษผู้หนึ่ง ทันทีที่เลือดสีเข้มหยดลงบนปากแผลนั้นปาฏิหาริย์ก็ได้เกิดขึ้น
บาดเแผลฉกรรจ์สมานตัวอย่างเชื่องช้า แม้ว่ามันจะสร้างความเจ็บปวดรวดร้าวเป็นอย่างมากก็ตาม บุรุษเพศร้องด้วยความเจ็บปวดจนผู้ที่อยู่รายล้อมนั้นเริ่มใจเสีย ทว่าทันทีที่ปากแผลปิดสนิทลงราวกับไม่เคยมีบาดแผลใด ๆ นั้นความเจ็บปวดที่ว่าก็หายไปด้วย
บุรุษที่ถูกรักษาจนหายดีก้มลงมองดูบาดแผลบนท่อนแขนของตัวเองอย่างอัศจรรย์ใจ เมื่อครู่นี้ราวกับว่าจะต้องตัดแขนทิ้งเพื่อรักษาชีวิตแต่ว่าในตอนนี้กลับไร้ซึ่งบาดแผลราวฝันไป ทว่าคราบเลือดที่เกาะอยู่นั้นเป็นหลักฐานชัดเจนว่าไม่ใช่
“คุณพระคุณเจ้า ท่านคือผู้ใดกันคุณหนู?”
ถามนางด้วนแววตาเลื่อมใสเพราะนางได้ช่วยชีวิตบุรุษผู้นี้เอาไว้ด้วยใจบริสุทธิ์ หากต้องตัดแขนทิ้งก็คงทำมาหากินลำบากแม้จะได้ค่าชดเชยจากอันตงหยางที่ได้รับบาดเจ็บในหน้าที่แต่บุตรชายของตนกำลังเติบใหญ่คงต้องใช้เงินมากแน่
“ข้ารักษาให้ได้แค่บาดแผลภายนอก แต่ภายในยังไม่หายดี กลับไปเจ้าควรหมั่นดื่มยารักษา อย่าได้คิดว่าแค่แผลสมานแล้วก็ถือว่าหายแล้วเชียว”
นางกล่าวแกมดุเพราะเคยทำการรักษาผู้อื่นมาก่อน ด้วยเพราะความประมาทไม่เชื่อคำบอกกล่าวนาง หลังจากทำการรักษาเสร็จเรียบร้อยก็ไปทำงานหนักจนแผลปริ หากบาดแผลที่ทำการรักษาจากนางปริออกนั้นจะทำการรักษาซ้ำสองด้วยเลือดของนางอีกครั้งย่อมไม่ได้ผล
“ขอบคุณท่านมาก ๆ ขอรับคุณหนู ข้าขอทราบชื่อผู้มีพระคุณของข้าได้หรือไม่?”
“ข้าชื่อจางลี่ซือ”
“หากท่านต้องการความช่วยเหลือ มาหาข้าได้เสมอคุณหนูจาง”
จบประโยคนั้นบุรุษก็ลุกขึ้นโค้งคำนับด้วยความเลื่อมใสในตัวของนาง จางลี่ซือยิ้มด้วยความสุขใจ นางหาใช่คนเห็นแก่ตัวอย่างที่โดนใส่ความไม่ นางแค่ไม่มีทางเลือกและฉกฉวยโอกาสที่มี แต่ตอนนี้มันจบแล้วนางต้องกลับคืนสู่ตระกูลวันพรุ่งนี้แล้ว
หลังจากไล่รักษาผู้บาดเจ็บทุกคนนางก็แทบล้มทั้งยืนเพราะอาการเสียเลือดมาก ได้เจียงลู่ที่คอยเดินตามอารักขาช่วยประคองไว้ได้ทัน นางยิ้มรับกับทุกคำขอบคุณจากใจของเหล่าบุรุษก่อนรีบเดินกลับเรือนโม่ลี่ฮวา ตอนนี้ร่างกายของนางถึงขีดจำกัดแล้ว
จางลี่ซือสาวเท้าก้าวเดินอย่างเร่งรีบเนื่องจากไม่อยากทำตัวอ่อนแอเป็นภาระผู้ใด กลัวจะโดนหาว่ามารยาสาไถจะยิ่งทำให้อันตงหยางพิโรธยิ่งกว่าเดิม ทว่าเดินมาได้ไม่ถึงครึ่งทางภาพเบื้องหน้าก็ดับวูบลง เสียงของเจียงลู่ดังไกลออกไปแล้วนางก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย เจียวลู่ถือวิสาสะโอบช้อนใต้ขาร่างบอบบางขึ้นมาแล้วพากลับเรือนท้ายตำหนัก เมื่อส่งนางถึงเรือนเรียบร้อยก็รีบไปกราบทูลอันตงหยางให้ทราบเรื่อง อันตงหยางจึงส่งหมอมาเพื่อดูอาการนางอย่างใกล้ชิด