กัญจน์ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาข้างๆ เตียงที่ผู้เป็นย่าเอนกายพิงหลังอยู่ สีหน้าราบเรียบติดบึ้ง นึกเข่นเขี้ยวแม่ตัวต้นเหตุที่หย่อนระเบิดทำให้คุณย่าขุ่นเคือง แล้วสะบัดก้นหนีไปอย่างไม่สะทกสะท้าน ปล่อยให้เขาเผชิญกับถ้อยคำต่อว่าต่อขานเพียงคนเดียว ไม่แคล้ววันนี้เขาคงต้องโดนดุโดนบ่นจนหูชาอีกแน่ๆ
“น้องขอหย่า กัญจน์จะว่ายังไง”
คำถามแรกที่พุ่งตรงทำให้ชายหนุ่มเลิกคิ้วแปลกใจ ไม่คิดว่ามธุมาสจะขอหย่ากับเขาจริงๆ เขามั่นใจว่าที่เธอทำอย่างนี้เพราะอยากจะแก้แค้นเขาเรื่องของขวัญของพิมพ์รวี และประชดเรียกร้องความสนใจเท่านั้น แต่ก็ตอบท่านโดยไม่ลังเลว่า
“ผมต้องการหย่าครับ”
“แน่ใจแล้วใช่มั้ย”
“ครับ”
“งั้นก็หย่ากันซะให้สิ้นเรื่องสิ้นราว”
กัญจน์ขมวดคิ้ว มีความแคลงใจระคนสงสัยอย่างไม่ปิดบังที่ผู้เป็นย่าเอ่ยออกมาง่ายๆ ทั้งที่คัดค้านมาตลอด แถมยังบีบบังคับเขาทุกทางเพื่อไม่ให้หย่าขาดจากมธุมาส
แล้วทำไมตอนนี้ถึงถอดใจ ยอมวางมือแล้วล่ะ?
“คุณย่าพูดจริงใช่มั้ยครับ” เขาถามอย่างไม่แน่ใจ ไม่รู้เหมือนกันว่าโล่งใจหรือหนักใจมากกว่ากัน ในโพรงอกมันโหวงๆ หน่วงๆ อย่างไรพิกล
และดูเหมือนท่านจะรู้...
“ย่าทำเพื่อน้อง มาร์เจ็บปวดเพราะหลานมามากแล้ว ย่าละอายใจที่มีส่วนทำให้น้องเป็นทุกข์เสียใจ ในเมื่อมาร์ยืนยันว่าต้องการหย่า ย่าก็จะไม่ขัด คนดีๆ อย่างหนูมาร์ควรได้เจอผู้ชายที่เหมาะสมควรคู่กัน ไม่ใช่คนที่ใจร้ายใจดำเหมือนหลานย่า”
กัญจน์สีหน้ายิ่งเย็นชา ในแววตาตัดพ้อท่านอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ ทั้งที่เขาเป็นหลานแท้ๆ ของท่าน แต่ดูเหมือนความรักความเอ็นดูจะถูกถ่ายเทไปที่มธุมาสเกือบหมด ทุกครั้งที่เขาขัดแย้งกับเธอ คุณย่ามักจะเข้าข้างหลานสาวนอกไส้เสมอ จนบางคั้งเขาก็อดคิดไม่ได้ว่าคนเป็นหลานชายที่ถูกเก็บมาจากข้างถังขยะหรือเปล่า
“ย่าแก่แล้ว คงไม่มีแรงไปยุ่งวุ่นวายเรื่องของหลานแล้วล่ะ กัญจน์อยากจะใช้ชีวิตยังไง จะรักใครชอบใครก็ตามใจ ย่าจะไม่ว่าไม่ห้ามอีกแล้ว แต่ขออย่างเดียวดูแลผู้หญิงของหลานให้ดี อย่าให้มาเกะกะระรานน้องเป็นอันขาด”
น้ำเสียงที่ท่านเอ่ยราบเรียบ ไม่มีแววประชด แต่ประโยคหลังนั้นเห็นได้ชัดว่าคือการเตือน จนป่านนี้ท่านก็ยังรักยังเป็นห่วงมธุมาสมากกว่าเขาอยู่ดี
“ผมว่าคำนี้คุณย่าควรจะไปบอกหลานสาวคนโปรดมากกว่านะครับ”
“หลานจะคิดยังไงหรือเชื่อยังไงก็ช่าง แต่จำคำย่าเอาไว้ให้ดี สักวันหนึ่งหลานจะต้องเสียใจ”
กัญจน์คลี่ยิ้มบางๆ ใบหน้าหล่อเหลาเปี่ยมไปด้วยความเย่อหยิ่ง
เสียใจ?
ไม่มีทาง!
คุณหญิงจรรยามองหน้าหลานชายแล้วยิ้มโดยไม่พูดอะไร ถึงจะพยายามเก็บซ่อนหัวใจ ปกปิดความรู้สึกกระทั่งหลอกตัวเองและคนอื่น แต่ก็ไม่อาจพ้นสายตาของคนแก่ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายฤดูเช่นนางได้หรอก
“ย่าหมดธุระแล้ว หลานกลับไปเถอะ”
คุณหญิงใหญ่โบกมือไล่หลานชาย ไม่คิดจะเอื้อนเอ่ยคำใดสะกิดให้เขารู้ตัวหรือเปิดโปงเขาต่อหน้า ต่อให้กัญจน์จะรู้หรือไม่รู้ตัว คนดื้อรั้นไม่ฟังใครก็ไม่มีวันยอมรับหัวใจตัวเองเป็นแน่
บางทีก็ต้องให้เห็นโลงศพเสียบ้าง... ถึงจะหลั่งน้ำตา!