“ได้ข่าวว่าลูกชายเจ้าของไร่ไตรลักษณ์กำลังจะแต่งงาน”
จักรทิพย์ถึงกับรวบปิดแฟ้มงาน ยกขาขึ้นไขว่ห้างพลางยกแขนกอดอกมองคนไร้มารยาทที่เปิดประตูพรวดเข้ามาในห้องทำงานของเขา จ้องอีกฝ่ายที่อยู่ในชุดตำรวจครึ่งท่อนตาเขม็ง
“สถานีตำรวจไม่มีงานให้นายทำหรือไง”
แม้จะเป็นเพื่อนสนิทแต่จักรทิพย์ก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงกระด้าง ยิ่งเห็นร้อยตำรวจโทก้องภพหรือหมวดก้องเพื่อนสนิทของเขาตีหน้าซื่อ เจ้าตัวก็ยิ่งหงุดหงิด แต่ท่าทางเช่นนั้นกลับสร้างเสียงหัวเราะให้หมวดก้องภพ
“หงุดหงิดอะไรขนาดนั้น คนกำลังจะแต่งงานควรจะมีสีหน้าเบิกบานไม่ใช่หรือไงกัน”
พูดแล้วก็ถือวิสาสะลากเก้าอี้มานั่งตรงหน้าจักรทิพย์แม้ว่าคนเป็นเจ้าของห้องจะไม่ได้เชื้อเชิญ พลางจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาล้อเลียน
“นายรู้ได้ยังไง พี่ปกิตงั้นหรือ”
หมวดก้องภพพยักหน้าอย่างไม่ปิดบัง จักรทิพย์ถอนหายใจแต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะระหว่างเขา ปกิตและหมวดก้องภพต่างสนิทสนมกันเป็นอย่างดี เลยไม่แปลกใจในเรื่องนี้เลยสักนิดที่เรื่องถึงหูหมวดก้องภพอย่างรวดเร็ว
“ใช่ แต่พี่ปกิตไม่ได้บอกฉันว่าเจ้าสาวของนายเป็นใคร และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ฉันมาหานายในวันนี้”
“เสือก”
“ยอมรับ”
หมวดก้องภพเอ่ยหน้าตาย แถมไหวไหล่ยอมรับอย่างไม่ยี่หระ จักรทิพย์มองอีกฝ่าย แสดงสีหน้าเอือมระอาอย่างไม่ปิดบัง แต่แน่นอนว่าหมวดก้องภพไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไรอยู่แล้ว
“หลานสาวของเมียใหม่คุณพ่อ”
“นายเคยเจอเธอหรือยัง”
“ไม่เคยและไม่อยากเจอด้วย”
น้ำเสียงของจักรทิพย์ดูเกรี้ยวกราดเสียยิ่งกว่าตอนแรก
“แล้วทำไมถึงยอมแต่ง”
“ถ้าคุณพ่อไม่บอกว่าจะยกสมบัติทั้งหมดให้แพรใจ ฉันคงไม่ยอมแต่งกับผู้หญิงหิวเงินหรอก หิวเงินกันทั้งอาทั้งหลาน”
“นายมองโลกในแง่ร้ายเกินไหรือเปล่า ว่าที่เจ้าสาวของนายอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่นายคิดก็ได้”
“เป็นมากกว่าที่ฉันคิดน่ะสิ” จักรทิพย์แค่นเสียงอย่างไม่สบอารมณ์ “อยากเป็นคุณนายทั้งอาทั้งหลาน ฝันไปเถอะ ฉันจะไม่ปล่อยให้ผู้หญิงพวกนั้นอยู่อย่างสุขสบายแน่ แค่พาตัวเองเข้าหาพ่อฉันมันก็เกินพออยู่แล้ว ยังจะยัดเยียดหลานสาวตัวเองมาให้ฉันอีก ครบหนึ่งปีเมื่อไร ฉันจะไล่ทั้งอาทั้งหลานออกไปจากไร่ไตรลักษณ์ให้ได้เลยคอยดูสิ”
“แสดงว่าต้องงานแบบมีเงื่อนไข มีระยะเวลา”
“ใช่” จักรทิพย์กำหมัดแน่นเมื่อนึกถึงเงื่อนไขที่บิดาบีบบังคับให้เขาต้องยอมจำนน “ภายในหนึ่งปีนี้ฉันไม่สามารถหย่าได้ ถ้าฉันหย่าก่อนกำหนด คุณพ่อจะยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้แพรใจ ทรัพย์บัติอย่างอื่นฉันยอมได้ แต่ที่ฉันยอมไม่ได้ก็คือบ้านไตรลักษณ์ บ้านที่คุณแม่ของฉันรักมาก เพราะฉะนั้นฉันจะไม่ยอมสูญเสียมันไปเด็ดขาด”
“บางทีนายอาจจะไม่ได้หย่าก็ได้”
“ไม่มีทาง”
“อยู่กันตั้งหนึ่งปี นายอาจจะตกหลุมรักภรรยาตัวเองก็ได้ ใครจะรู้ จริงไหม”
“ไม่มีทาง” จักรทิพย์เอ่ยเสียงหนักแน่น “ถ้าต้องรักหลานสาวของผู้หญิงหิวเงินคนนั้นฉันยอมตายดีกว่า”
“นายอย่าเพิ่งประกาศกร้าวแบบนั้นเลยดีกว่า ระวังเถอะ”
“ระวังอะไร”
“ระวังจะต้องกลืนน้ำลายตัวเอง”
“ไม่มีวัน”
จักรทิพย์เอ่ยน้ำเสียงหนักแน่น สีหน้าของเขาจริงจังอย่างยืนยันว่าเหตุการณ์เช่นนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นกับตัวเขาอย่างแน่นอน ส่วนหมวดก้องภพนั้นได้แต่มองเพื่อนด้วยสายตาขบขัน แต่เพราะเห็นสีหน้าของจักรทิพย์เต็มไปด้วยความหงุดหงิดหมวดก้องภพเลยไม่พูดอะไรให้จักรทิพย์ต้องหงุดหงิดใจอีก
จักรทิพย์ไม่เห็นถึงความจำเป็นเลยสักนิดที่ต้องมารับประทานร่วมกับครอบครัวภรรยาของใหม่บิดา ซึ่งรวมถึงผู้หญิงที่เขากำลังจะแต่งงานด้วยอย่างหลานสาวของอีกฝ่าย เมื่อถูกบังคับจักรทิพย์จึงไม่มีทางเลี่ยง ร่างสูงก้าวลงจากรถซีอาร์วีสีขาวคู่ใจด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิด ขายาวก้าวตรงเข้าไปยังห้องอาหารบ้านไตรลักษณ์ที่ตอนนี้คนร่วมโต๊ะทั้งสามคนรออยู่ก่อนแล้ว
และจักรทิพย์จงใจมาเกินเวลานัดหมายอย่างไม่คิดจะรักษามารยาท รอได้ก็รอ รอไม่ได้ก็ไม่ต้องรอ
ดวงตาคมกริบกวาดสายตามองผู้ร่วมโต๊ะอาหาร ตรงตำแหน่งหัวโต๊ะคือจักรกริชบิดาของเขา ถัดมาทางขวามือคือแพรใจ และหญิงสาวที่นั่งด้วยท่าทางประหม่าอยู่ข้างแพรใจ จักรทิพย์ก็เดาได้ไม่ยากว่าต้องเป็นหนูมนที่คุณพ่อของเขา กล่าวถึง แต่ร่างสูงต้องชะงักไปนิดเมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน จักรทิพย์จำได้ในทันทีว่าอีกฝ่ายคือผู้หญิงที่เดินชนเขาในงานเกษตรอำเภอเมื่อเดือนก่อน ตอนนั้นเขาเอ็นดูอีกฝ่ายด้วยซ้ำ แต่พอได้เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นหลานสาวของแพรใจ และเป็นผู้หญิงที่เขาต้องแต่งงานด้วย ฉับพลันความเอ็นดูนั้นก็หายไป กลายเป็นความเกลียดชังเข้ามาแทนที่ และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายก็เหมือนจะจำเขาได้ เห็นจากแววตาที่ดูตื่นตระหนกตอนที่เห็นเขา แต่จักรทิพย์กลับคิดว่าท่าทางเช่นนั้นคือการเสแสร้ง เผลอๆ ในคืนนั้นหล่อนตั้งใจเดินเข้ามาชนเขาเสียด้วยซ้ำ
‘เสแสร้ง’
“งานยุ่งเหรอจักร ทำไมถึงได้มาช้า”
“ไม่ยุ่งครับ แค่ไม่เห็นถึงความจำเป็นที่ผมต้องรีบมา”
จักรทิพย์ตอบเสียงเรียบก่อนที่เขาจะขยับเก้าอี้ออกแล้วนั่งลงฝั่งซ้ายมือของบิดาซึ่งตรงข้ามกับแพรใจที่ใบหน้าเผยรอยยิ้มชัดเจน ส่วนมนตระการนั้นมีสีหน้าดูกระอักกระอ่วน จักรกริชรีบแก้สถานการณ์เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้นักของมนตระการ ส่วนคนต้นเรื่องอย่างจักรทิพย์มีสีหน้าเรียบเฉยอย่างไร้ความรู้สึกผิดจนจักรกริชต้องลอบถอนหายใจ
“เอาละๆ ไหนๆ ก็มาแล้ว หนูมน นี่พี่จักรนะ ไหว้พี่เขาซะสิ”
“สวัสดีค่ะคุณ...”
“ไม่ต้อง ไม่จำเป็น”
ความไม่พอใจฉายชัดอยู่ในเสียงทุ้มที่กดต่ำ มนตระการหน้าถอดสี มือเรียวที่กำลังประนมไหว้ค่อยๆ ลดลงมาวางประสานบนตักอย่างช่วยไม่ได้ จักรกริชถอนหายใจพรืดใหญ่ ส่วนแพรใจก็ได้แต่มองมนตระการด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเห็นใจ และเพื่อความสบายใจของแพรมจ มนตระการจึงตอบกลับไปทางสายตาให้แพรใจได้รับรู้ว่าเธอไม่เป็นอะไร และเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าดี
“ทำไมต้องดุหนูมนด้วย”
สีหน้าของจักรทิพย์ยังคงเรียบนิ่งแม้จะถูกบิดาตำหนิ หนำซ้ำมือสีแทนยังเอื้อมไปตักอาหารเข้าปากด้วยท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาว จักรกริชเห็นแบบนั้นก็ส่ายหน้าเอือมจนแพรใจต้องเอื้อมมือมาแตะเบาๆ ที่หน้าขาของเขาเป็นเชิงปรามไม่ให้อีกฝ่ายตำหนิหรือถือสาการกระทำของจักรทิพย์ จักรกริชหันมามองหน้าแพรใจก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกระลอก บรรยากาศมื้อเย็นในวันนั้นจึงเต็มไปด้วยความอึดอัดและความกระอักกระอ่วนใจ
และจบลงโดยที่มนตระการแทบจะกลืนอาหารไม่ลงคอ