ระลึกชาติได้แล้ว

2693 Words
๑.๐๙ เช้าวันรุ่งขึ้นหลังโตโต้เข้าห้องเรียน คุณศรีรัตน์และคุณเสาวลักษณ์นั่งคุยกันต่อ “เช้านี้โตโต้เป็นไงบ้างคะ” คุณเสาวลักษณ์ถาม “ปากบวมเจ่อเลยค่ะ บอกปวดระบมตามตัวไปหมด” “อีกสองสามวันคงหาย ...เหมือนเทวเนตรแหละค่ะ” “ขอบคุณที่โทรแจ้งศรีรัตน์เรื่องโตโต้หนีเรียนนะคะ” คุณศรีรัตน์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ปีนี้โตโต้อายุสิบสี่แล้ว ศรีรัตน์กลุ้มเหลือเกิน กลัวเขาจะประสบชะตากรรมเดียวกันกับเทวเนตร” คุณเสาวลักษณ์กุมมือคุณศรีรัตน์เบา ๆ พูด “ลักษณ์ศึกษามาแล้วว่าเด็กที่กลับมาเกิดใหม่ จะมีเส้นทางชะตาชีวิตต่างกับชาติที่แล้วค่ะ คุณศรีรัตน์อาจไปทำบุญต่ออายุให้โตโต้ก็ได้นะคะ หากคิดว่าทำแล้วสบายใจ" “คิดไว้อยู่แล้วค่ะ ...เอ่อ ดีใจด้วยกับรางวัลที่ชาช่าได้รับเมื่อวานนะคะ คุณเสาวลักษณ์คงภูมิใจลูกสาวน่าดู” “ที่สุดเลยค่ะ เสียดายที่พ่อเขาไม่ได้อยู่เห็น อ้อ... งานวันเสาร์ที่จะจัดฉลองให้ชาช่า คุณศรีรัตน์กะโตโต้ต้องไปให้ได้นะคะ ลักษณ์จะให้สมานไปรับที่บ้าน พร้อมเพื่อนสนิทชาช่าอีกคนชื่อปนัดดา” “อ๋อ... ปนัดดา!” คุณศรีรัตน์พยักหน้าก่อนกล่าว “โตโต้เคยเล่าให้ฟังค่ะว่าน้องน่ารักและเรียนเก่ง เห็นว่าพ่อแม่ทำงานที่โรงเรียนเดียวกันและทำกับข้าวอร่อย พวกเขาเคยชวนโตโต้ไปกินข้าวเที่ยงด้วยบ่อยเลย” ********** เช้าวันเสาร์คุณสมานไปรับปนัดดาก่อน จากนั้นมารับแม่และผมเพื่อไปบ้านป้าเสาวลักษณ์ แม่นั่งกลางตรงเบาะหลัง ชมน้องปนัดดาว่าหน้าคมขลำมีแววสวยแต่เด็ก แม่ส่งกล่องโดนัทให้พวกเราหยิบทานรองท้องกันก่อน ผมปฏิเสธ ส่วนปนัดดาหยิบโดนัทเข้าปากพูดไปเคี้ยวไปอย่างเอร็ดอร่อย “หนูชอบขนมฝรั่งเพราะพี่โตโต้นี่แหละค่ะ” แม่ยิ้มหันหน้ามาทางผม ไม่รู้จะบอกแม่อย่างไร ว่าผมต้องดูแลรับผิดชอบน้องปนัดดาอีกคน จึงพูดมั่ว ๆ แก้เกี้ยวว่า “เราเคยแลกอาหารทานกันฮะแม่” “แต่พี่โตโต้ซื้อขนมที่โรงอาหารมาฝากหนูกะชาช่าบ่อยนะคะคุณแม่” ปนัดดาพูดสวนซื่อ ๆ ประสาเด็ก “ฮั่นแน่... จับได้แล้ว” แม่หัวเราะเอานิ้วชี้จิ้มหน้าผากผมเบา ๆ รถวิ่งมาได้พักใหญ่ขณะที่ปนัดดาคุยฉอเลาะตลอดทาง จากนั้นคงง่วงจึงหลับตาซบไหล่ภายใต้อ้อมกอดแม่ เผยให้เห็นปานรูปหัวใจสีชมพูหลังใบหู ...ผมเห็นแม่น้ำตาคลอ แม่ร้องไห้ทำไม อีกครั้งที่ผมไม่เข้าใจ ทันใด ได้ยินเสียงจากสมอง “เพราะป้าเสาวลักษณ์เล่าอะไรบางอย่างเรื่องเราไง!” ผ่านไปชั่วครู่ ผมเริ่มหายใจไม่ออก หลับตาเห็นภาพหลอนว่า โลกหมุนเคว้งคว้าง ...ภาพชายถูกนำออกจากซากรถ ...ภาพชายคนเดิมถูกคลุมร่างด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ ...ภาพงัดประตูรถดึงเด็กหนุ่มจากซากรถ ...ภาพเด็กหนุ่มหน้าตาคล้ายผมถูกคลุมด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ ...และภาพดวงไฟเล็กจิ๋วกำลังล่องลอยสู่ท้องฟ้า ผมรีบลืมตาลุกพรวดผุดนั่งตัวตรง หายใจเต็มปอดเพื่อให้แน่ใจว่ายังมีชีวิตอยู่ แปลกใจตัวเองที่ยิ่งโต ภาพในสมองยิ่งผุดขึ้นบ่อยครั้งและชัดเจนในรายละเอียดมาก แม่รีบผละจากปนัดดาหันมากอดผมแทน นาทีนั้นเห็นคุณสมานจ้องผ่านกระจกมองหลังอีกแล้ว ผมกลัวมากจนต้องกระซิบกับแม่ เอามือชี้ไปยังถนนหลังรถ “ตรงโน้นมีคนตายสองคนฮะแม่” แม่ไม่พูดอะไรกลับกอดผมแน่นขึ้น ปนัดดาสะดุ้งตื่นสีหน้างงปนตกใจ โผเข้ากอดด้านหลังแม่ ...หวังว่าน้องคงไม่ได้ยินที่ผมพูดเมื่อกี้นะ! งานเลี้ยงฉลองแชมป์ให้ชาช่าจัดกลางสนามหญ้าภายใต้ร่มไม้ครึ้ม ภายในอาณาบริเวณบ้านตบแต่งด้วยสายรุ้งสีต่าง ๆ และมีแบนเนอร์ติดให้เห็นทั่ว เช่น ...“SHA-SHA THE CHAMPION” …“WE LOVE YOU SHA-SHA” ส่วนมื้อกลางวันนี้ เป็นบุฟเฟ่ต์อาหารหลากชนิด ที่ทราบภายหลังว่าป้าเสาวลักษณ์ลงทุนเหนื่อยทำเอง ขณะที่รถพวกเราเข้าไปภายในอาณาบริเวณบ้าน ก็เห็นรถจอดทั้งนอกและในบ้านเต็มหมดแล้ว แม่บอกว่าแขกส่วนใหญ่เป็นญาติของพ่อและแม่ชาช่า มีเพื่อนบ้านใกล้เคียงมาร่วมด้วยแต่ไม่มากนัก ผมไม่เข้าใจว่า ทำไมหลายคนเดินมากับป้าเสาวลักษณ์ ต้อนรับพวกเราเหมือนเป็นแขกสำคัญ ทำให้ต้องเอามือซ้ายเสยผมถึงลำคอหลายครั้ง จากการถูกจ้องมองโดยคนแปลกหน้า รู้สึกเบาใจขึ้นที่ไม่ต้องตกเป็นเหยื่อสายตาใครอีก เมื่อเห็นชาช่าวิ่งโบกมือหาผมแต่ไกล “Hi พี่โตโต้ ...ดีใจจังพี่มา” ชาช่าโดดกอดผมก่อนยกมือไหว้แม่ และหันไปทักปนัดดาด้วยภาษาอังกฤษที่คุ้นเคย “Hi Panada, so glad you can make it” จากนั้น สองคนจับมือกระโดดโลดเต้นกันด้วยความดีใจ ขณะที่คุณสมานทำหน้าพยักพเยิดมาทางผม พูดอะไรก็ไม่รู้กับป้าเสาวลักษณ์และเอกพจน์พร้อมเพื่อนเขาอีกสามคน ที่ผมคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นมาก่อน ป้าเสาวลักษณ์แนะนำแขกชายสูงอายุสองคนกับแม่ ผมจ้องยังเขาทั้งสองก็บอกกับตัวเองว่า “ใช่แล้ว! อาอาทิตย์กะอาองอาจนั่นเอง” ผมงงมากที่จู่ ๆ รู้จักชื่อพวกเขาทั้งที่เพิ่งเคยเห็นครั้งแรก แถมรู้ด้วยว่าอาองอาจเป็นตำรวจ ทำให้ต้องเกาหัวตัวเองหลายที ทันใด สุภาพสตรีสูงอายุท่านหนึ่งย่องมาจากข้างหลัง จับศีรษะผมเกาไปมาหลายที กล่าว “คันหัวเหรอลูกก้าง” ผมหันขวับ อุทานออกมา “ป้าปราณี” “ใช่ ป้าเอง จำป้าได้แล้วเหรอลูก” ผมส่ายหน้าปฏิเสธ แต่ในใจคิดว่า “จำไม่ได้หรอก แต่เป็นไปได้อย่างไรที่รู้จักชื่อคุณป้าท่านนี้ แถมชอบจังตอนถูกเกาหัว” “ไม่เป็นไร พอคุ้นกันก็จำป้าได้เองแหละ เอ้า... นี่ขนมกลีบลำดวนจ้ะ ป้ารู้ว่าโตโต้ต้องชอบแน่ ทานสักชิ้นก่อนได้นะ” อ้าว! ป้าปราณีรู้จักชื่อผมเหมือนกันแฮะ แล้วตอนแรกทักเรียกผมว่าก้างทำไม! ขนมมีหลากสีในกล่องพลาสติคใสดูน่าทานมาก ผมหยิบชิ้นสีม่วงเข้าปาก ก็ได้รสชาติหวานหอมละมุนด้วยกลิ่นเทียนอบ ใจอยากจะหยิบสีอื่นทานอีกก็อด เพราะป้าปราณีเก็บกลับใส่ถุงเสียแล้ว ก่อนบอก “ป้าจะให้สมานเอาไปเก็บในรถก่อนนะ โตโต้จะได้เอาไปกินต่อที่บ้าน” ผมยกมือไหว้ขอบคุณป้าปราณี เป็นจังหวะเดียวกันที่ชาช่าจับชายเสื้อผม พาวิ่งลากออกไปพร้อมปนัดดาตรงไปยังตัวบ้าน เป็นครั้งที่สองที่มาบ้านชาช่า แม้ห่างกันนานถึงเจ็ดปี แต่ผมยังจำสภาพภายในบ้านได้ทุกซอกทุกมุม แม้กระทั่งกลิ่นคุ้นเคยก็ยังคงอยู่ จึงเดินจังหวะช้าลงปล่อยให้น้องทั้งสองวิ่งล่วงหน้า ไปยังห้องเด็กเล่นที่ผมรู้ว่าไม่มีอะไรน่าสนใจอีกแล้วในห้องนั้น อีกครั้งที่รูปแขวนชายในชุดสูทสากลสะดุดเตะตา ผมจ้องแล้วจ้องเล่าประหนึ่งภาพนั้นมีชีวิตกำลังมองเขม็งตรงมา ทันใด มีบางสิ่งในจิตใต้สำนึกบอกให้คุกเข่ากราบภาพ ผมทำตามจิตโดยไม่รั้งรอ ตอนกราบน้ำตาพาลจะไหลออกมาให้ได้ ขณะพนมมือคุกเข่าต้องสะดุ้งลุกขึ้นยืนทันใด เมื่อได้ยินเสียงทักดังจากข้างหลัง “รูปคุณอุทัยค่ะ โตโต้” ผมหันหลังกลับ อุทานเสียงดัง “หนูนา” พร้อมตาโตอ้าปากค้างหลังเรียกชื่อออกมาได้อย่างไรไม่ทราบ ใจคิด “อีกแล้วเหรอนี่!” หนูนาเห็นผมทำท่างง จึงแนะนำตัวเองฟังแปลก ๆ เหมือนรู้จักกันมาก่อน “ปวีณาลูกสาวป้าปราณีบ้านอยู่ติดกันไงคะ” “อ้าว!ไม่ได้ชื่อหนูนาเหรอ” ผมบอกตัวเองในใจ ผมคงจำชื่อผิดแต่ยังจ้องหน้าปวีณาไม่คลาย เธอจ้องผมกลับด้วยรอยยิ้มเศร้า ๆ ให้ผมต้องหดหู่ตาม ทำได้เพียงนิ่งเงียบไม่รู้จะต้องทำตัวอย่างไรต่อ ความเงียบเกิดขึ้นชั่วครู่ ปวีณาได้สติก่อน พูดขึ้น “พอดีมาเข้าห้องน้ำจ้ะ ไปก่อนนะโตโต้” ผมมองเธอเดินลับด้วยรู้สึกแปลก ๆ บอกตัวเองในใจ “วันนี้เกิดอะไรขึ้น ทำไมอุทานชื่อคนทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน” แต่ด้วยใจยังไม่อยากไปห้องเด็กเล่นทั้งที่รู้ว่าชาช่าและปนัดดารออยู่ เท้ากลับก้าวนำอันไม่ได้ออกจากสมองสักนิด ให้เดินไปยังชั้นสองของบ้าน ภายในห้องนอนเทวเนตรไม่เปลี่ยนเลย มีเพียงกีตาร์ที่หายไปบนเตียง เหมือนรู้ว่าต้องทำอะไร ผมเดินไปนั่งบนเก้าอี้โต๊ะเรียนหนังสือ ถือวิสาสะเปิดลิ้นชักอันกลางออก หยิบกล่องคุกกี้เหล็กมาเปิดดู เห็นภาพถ่ายปึกหนึ่งที่สีเริ่มออกมัวเพราะความเก่าเก็บ ทั้งหมดเป็นภาพถ่ายเทวเนตรคู่กับเด็กหญิงวัยใกล้เคียงผมตอนนี้ ผมเพ่งพินิจทุกรูปให้ต้องเผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัว ขณะคิดจะเก็บภาพเหล่านั้นกลับเข้าที่ พลันเห็นซองจดหมายในกล่องคุกกี้เหล็ก จึงถือวิสาสะอีกครั้งเปิดซองนั้นดู มันคือสร้อยข้อมือสแตนเลสผู้ชายที่ผมเห็นแล้วชอบมาก ใจคิดว่าจะซื้อสักอันให้ตัวเอง ให้ชาช่าและปนัดดาคนละเส้น มีอีกสิ่งในซองจดหมาย เป็นกระดาษห่อพับเก็บวัตถุอีกชิ้นอย่างดี ผมคลี่กระดาษออก เห็นเป็นสร้อยคอเงินมีจี้รูปหัวใจคู่คล้องอยู่ อ่านข้อความบนกระดาษได้ว่า “มีสร้อยสองอัน ให้เนตรเก็บไว้อันนึงแลกกับเลสข้อมือที่ให้มานะ” ผมยิ้มให้กับข้อความที่สมองบอกเป็นเสมือน Puppy Love และเริ่มเก็บทุกสิ่งเข้าลิ้นชัก ไม่รู้สึกผิดสักนิดที่แอบละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของเทวเนตร ต่อจากนั้นเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า เห็นยังมีเสื้อผ้าแขวนอยู่เต็มตู้ จึงหยิบเสื้อและกางเกงยีนส์ขายาวออกมาชุดหนึ่ง ทราบทันทีว่าขนาดของกางเกงคือขนาดเดียวกับผมที่สวมใส่ตอนนี้ แต่ใจคิดย้อนแย้งเหมือนไม่ใช่คำพูดตัวเอง “อ๋อ ไม่เห็นแปลก ก็ตอนนั้นเราอายุสิบสี่เท่านายตอนนี้นี่!” ทำให้ใจอยากเปิดรับหลายสิ่งที่ยังคาความทรงจำอยู่เสียจริง แต่ต้องรีบแขวนเสื้อผ้ากลับเข้าที่เมื่อได้ยินเสียงชาช่า “ไปกันได้แล้วพี่โตโต้ แม่ช่าให้มาตามน่ะ” ปนัดดาที่มาด้วยกันเสริม “ใช่ ได้เวลาให้ของขวัญชาช่ากันแล้ว” รางวัลของขวัญที่ชาช่าได้ส่วนใหญ่คือตุ๊กตาตัวใหญ่ มีของแม่เท่านั้นแปลกกว่าคนอื่นคือไวโอลิน ที่ผมบอกแม่ว่าชาช่าอยากได้ฝึกเรียนต่อจากเปียโน และเมื่อถึงคิวมอบของขวัญ ชาช่ารับไวโอลินจากแม่ด้วยนัยน์ตาเบิกกว้าง กระโดดกอดแม่ดีใจสุด ๆ สังเกตได้ว่าทั้งคู่กอดกันนานทีเดียว ส่วนผมได้แต่คิดว่าจะหาซื้อเลสข้อมือให้เป็นการส่วนตัวภายหลัง เสร็จขั้นตอนมอบของขวัญก็ถึงเวลาทานข้าวเที่ยงพอดี อาหารบุฟเฟ่ต์ทั้งไทยเทศพร้อมเสิร์ฟรออยู่แล้ว ชาช่าและปนัดดาแยกตัวไปตักอาหารฝรั่ง ส่วนผมแน่นอนว่าต้องเป็นอาหารไทยรสชาติเข้มข้นเท่านั้น เอกพจน์และเพื่อนอีกสามคนที่ผมไม่รู้สึกเห็นเป็นคนแปลกหน้าเลยสักนิด แต่กลับดีใจเมื่อเห็นพวกเขากำลังเดินตรงมา คนหนึ่งกล้ามเนื้อเป็นมัด กล่าวพร้อมทำท่าชกมวยกับผม “ได้ยินว่าก้างเป็นมวย ไปอัดกับจิ๊กโก๋กรุงเทพฯ มา ตอนนี้ซักยกมั้ย?” “ไม่ดีกว่า” ผมยิ้มกำลังจะชมแซวหุ่นเขากลับอยู่เชียว เอกพจน์ก็พูดแทรกขึ้น “พวกเราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็กชั้นประถมน่ะ” “ใช่ เคยมีด้วยกันห้าคน” อีกคนเสริม เกือบหลุดตอบกลับไปว่า“รู้แล้วน่า!” แต่หยุดได้ทัน เพราะชายมีอายุสองคนเดินมาทักผมเสียก่อน “ชอบทานเผ็ดใช่ไหมโตโต้” ผมยิ้มเงยหน้ามองชายที่ทักคนแรก ตอบคำเดียวว่า “ฮะ” แต่น้ำเสียงคุ้นเคยนี้ผมมั่นใจคืออาอาทิตย์แน่นอน “น่องไก่ชุบแป้งทอดกะน้ำจิ้มรสแซบฝีมือแม่เสาวลักษณ์ก็มีนะโตโต้” ชายวัยกลางคนอีกคนเสริม ผมยิ้มให้ ด้วยทราบว่าท่านนี้คืออาองอาจที่เป็นตำรวจแต่ไม่ตอบกลับอะไร แสร้งยกกำปั้นขึ้นพูดกับตัวเอง “Yeah!” หันเหลือบไปมองเห็นอาอาทิตย์และอาองอาจพยักหน้าให้กันและกัน ตักอาหารเสร็จผมเดินไปโต๊ะเด็กที่ชาช่าและปนัดดานั่งรออยู่ มองจานอาหารตัวเองถึงรู้ว่าตักมามากเกินแต่ก็กินหมดเกลี้ยง เพราะอาหารที่ป้าเสาวลักษณ์ลงมือทำเองนั้น ช่างอร่อยถูกปากผมเหลือเกิน แขกเริ่มทยอยกลับหลังบ่ายสาม เอกพจน์และเพื่อนมาสวัสดีลาแม่ เพื่อนร่างกำยำที่ทำท่าต่อยมวยโอบไหล่ผม พูด “ถ้าก้างสนใจอยากชกมวยบอกนะ ที่บ้านมีกระสอบทราย ...จะสอนให้เอาไหม” ผมพยักหน้า “ก็อยากอยู่นะ” และถามเพราะจำได้ลาง ๆ “บ้านชาตรีอยู่ไหนหรอ” เผลอหลุดเรียกชื่อเขาออกมาจนได้สิน่า! ชาตรีอ้าปากหวอเหมือนคาดไม่ถึง “อยู่แถวสามพรานนี่แหละ ไม่ไกลบ้านไอ้สมชัยกับไอ้ประจักษ์เลย” “ถ้าก้างว่าง ไปเล่นกีตาร์ด้วยกันที่บ้านชาตรีสิ” คนชื่อสมชัยพูดแทรกขึ้น “และร้องเพลง‘ชาวดง’กันนะ ...เพลงหากินของพวกเราไง” คนชื่อประจักษ์เสริม ไม่ทราบพยักหน้าตอบรับได้อย่างไร ดูทุกคนรู้จักผมเช่นผมรู้จักพวกเขาดี ระหว่างรอคุณสมานไปเอารถเพื่อรับพวกเรากลับนั้น อาอาทิตย์และอาองอาจหลังคุยกับแม่และป้าเสาวลักษณ์เสร็จ ก็เดินมากอดจูบผมที่หน้าผาก ผมรู้สึกคุ้นเคยต่อกอดและจูบบนหน้าผากนี้เสียจริง ดูเหมือนญาติ ๆ ป้าเสาวลักษณ์รู้ดีว่าโตโต้คือใคร ขณะที่ผมสับสนตัวเองยิ่งขึ้น จากนั้นไม่นาน ป้าปราณีกับปวีณาสองแม่ลูกเดินตรงมา “ขนมกลีบลำดวนอยู่ในรถนะโตโต้ อย่าลืมเอาลงล่ะ” ป้าปราณีเตือนพร้อมเอามือเกาหัวผมเล่น “ขอบคุณฮะป้า” ผมยกมือไหว้และยิ้มให้เพราะชอบจังที่ป้าแกเกาหัวให้ ปวีณาไม่มีสีหน้าเศร้าเหมือนเมื่อแรกเจอ บอกผมว่า “กินเยอะ ๆ นะ จะได้อ้วน ๆ ...บ้ายบายจ้ะโตโต้” ผมยกมือโบกทำท่าลาพร้อมพูด “บายครับ” ใจจริงอยากพูดมากกว่านี้แต่พูดไม่ออก เหมือนมีอะไรติดค้างในลำคอ หันกลับไปมองเอกพจน์ที่แอบจ้องผมอยู่ แปลกตรงที่รู้สึกเคืองนิด ๆ ว่าทำไมต้องแอบมอง พุทธมณฑล กม. ๒๕ ...คุณสมานเหลือบตามองผ่านกระจกมองหลังอีกแล้ว แต่ครั้งนี้ไม่มีอะไรผิดปกติ หรือผมควบคุมตัวเองได้ เพราะตอนนี้ทราบและเกือบจะยอมรับความจริงแล้วว่าผมคือใคร! ผมอายุสิบสี่ บ้านฐานะดีแถมเรียนเก่ง เป็นเด็กไม่ค่อยพูดแค่ขอให้ได้เล่นกอล์ฟและมีโลกส่วนตัวบ้างก็เท่านั้น ทว่า! นับจากวันนี้ ผมต้องฉุกคิดหลายสิ่งหลายอย่างจริงจังมากขึ้นแล้วครับ **********
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD