ภาค 1 – โตโต้เลือดสับสน
๑.๐๑
แม่ผมชื่อศรีรัตน์ เทพดากูล สวยขนาดนางฟ้าเลยแหละ ตอนเด็กเห็นรูปแม่สมัยยังสาว ผมคิดตามประสาเด็กนะครับ ว่าหากแม่เข้าประกวดนางงามจักรวาล ต้องคว้ามงกุฎมาครองแน่ เพราะสวยขนาดนี้ไงครับ พ่อถึงยอมสละโสดแต่งกะแม่ตอนอายุสี่สิบสอง ขณะแม่อายุยี่สิบหก
ความที่พ่ออายุมากแล้วจึงอยากมีลูกไว ๆ พวกเขารอกันถึงสามปีแม่ก็ไม่ตั้งท้องสักที ขนาดไปไหว้พระขอลูกที่วัดทินหัว (Tin Hou Temple Repulse Bay) เกาะฮ่องกง โดยพ่อยอมลงทุนลูบท้องด้านซ้ายพระสังกัจจายน์ที่วัดนี้ เพราะอยากได้ลูกชายไว้สืบสกุลก็ทำมาแล้ว และที่ไหนว่าศักดิ์สิทธิ์ขอพรเรื่องลูกในประเทศไทยละก็ พ่อและแม่ไปบนบานศาลกล่าวมาหมดแต่ไม่สมหวังสักที สุดท้ายต้องพึ่งวิทยาศาสตร์แลกความเจ็บปวดสุดแสนทรมานของแม่ ไปทำกิฟท์จนสำเร็จ ...ได้ผมมานี่แหละ!
ผมจำอะไรไม่ได้หรอกครับนอกจากฟังแม่เล่า ว่าวัยขวบแรกผมคือทุกสิ่งของพวกท่าน ถูกประคมประหงมดั่งไข่ในหิน พ่อชอบกอดรัดฟัดแก้มและท้องผมด้วยความมันเขี้ยว แต่ข่าวร้ายเมื่อผมเริ่มหัดเดิน หมอบอกพ่อว่าเป็นมะเร็งตับอ่อนระยะที่สาม ทำให้แม่เริ่มห่างเหินผมเพราะต้องคอยดูแลพ่อ กอดสัมผัสรักจากพ่อน้อยลง ๆ และจางหายไปเมื่อผมอายุสามขวบ
ถึงแม้พ่อมีฐานะการเงินดีมากจากมรดกคุณปู่ ภายในสองปีหมดเงินรักษาหลายล้านบาททั้งในและต่างประเทศ สุดท้ายเสียชีวิตที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ขณะที่ผมยังไม่ประสีประสา รู้เพียงว่าพ่อหายไปเหลือแม่นอนร้องไห้กอดผมทุกคืน
กระทั่งอายุเจ็ดขวบ ผมว่านอนสอนง่าย ให้ทำอะไรก็ทำ มีพฤติกรรมแปลก ๆ เช่น นอนละเมอเรียกหาพ่อที่เสียชีวิตได้หลายปีแล้ว ไม่ยอมแตะต้องของเล่นอื่นเลยนอกจากปืนและรถ อยากลองทานอาหารรสเผ็ดจัดจ้าน ร้ายไปกว่านั้น อาการหูแว่วและภาพหลอนในสมองเกิดบ่อยครั้งขึ้น ให้ตัวเองสับสนจึงเป็นเด็กพูดจาน้อยมาก
แม่จึงได้รับคำแนะนำจากเพื่อนให้ส่งผมเล่นกีฬาและเรียนดนตรี เพื่อให้มีสมาธิมุ่งมั่นในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อันอาจเปลี่ยนพฤติกรรมให้เป็นปกติเช่นเด็กอื่น
เสาร์นี้ แม่จึงพาผมไปสมัครเรียนดนตรีที่สถาบันมีชื่อแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพฯ ระหว่างแม่สอบถามรายละเอียดการเรียนการสอน ผมไม่ยอมนั่งบนเก้าอี้อีกตัว เอาแต่ยืนซบไหล่แม่หรือเอามือเกาะแม่ไม่ห่าง ฟังการสนทนาระหว่างแม่และเจ้าหน้าที่รับสมัครไปงั้น ๆ ไม่ได้รู้สึกมีคำถามคำตอบอะไรแปลกใหม่น่าสนใจเลย เหมือนเคยได้ยินได้ฟังมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
“น้องอภิชาตชื่อเล่นว่าอะไรคะ” เจ้าหน้าที่รับสมัครถามแม่ “ส่วนใหญ่ที่นี่จะเรียกกันแต่ชื่อเล่นค่ะ”
“โตโต้ค่ะ”
เพราะแม่เองแหละครับที่ไม่แน่ใจว่าอยากให้ผมเรียนอะไรดี จึงถามเจ้าหน้าที่คนนั้น
“จะแนะให้โตโต้เรียนอะไรก่อนดีคะ”
“ถ้าต้องการให้น้องมีสมาธิดี หนูก็แนะนำเปียโนหรือไม่ก็กีตาร์ค่ะ”
เจ้าหน้าที่รับสมัครตอบคำถามคุณศรีรัตน์พร้อมหันหน้าถามผม
“น้องโตโต้ล่ะ อยากลองเล่นอะไรก่อนเอ่ย! ...เปียโนหรือกีตาร์ดีคะ”
“อืม... อะไรก่อนดีน้า” ผมยกมือเกาศีรษะครุ่นคิด จริง ๆ แล้วอยากเล่นดนตรีทุกชนิดอยู่แล้ว แต่ทำไมมีให้เลือกแค่สองอย่างเท่านั้น ทำไมไม่ถามทีเดียวเลยล่ะว่าอยากเล่นอะไร ผมอาจตอบไวโอลินก็ได้นะ เพราะเคยเห็นผู้หญิงสวยมากคนหนึ่ง สีไวโอลินได้ไพเราะเหลือเกินในทีวี ขนาดหลับตาตอนนี้ยังเห็นภาพเลย
ผมคงหลับตาคิดนานไปหน่อย เจ้าหน้าที่รับสมัครจึงยิ้มให้ผมด้วยความเอ็นดู ก็แหม... ใครจะไม่เอ็นดูเด็กตาโตเวลาหลับตาจะเห็นขนตางอนยาว เด็กอารมณ์ดีคนนี้ใครพูดอะไรก็ยิ้มให้ แถมเชื่อฟังไม่เคยดื้อกับใคร
เมื่อยังไม่ได้คำตอบ เธอจึงย้ำถามผมอีกครั้ง
“น้องโตโต้จะลองทดสอบเล่นอะไรก่อนดีคะ”
ผมว่ากีตาร์ดูเท่ห์ดี แต่ทำไมได้ยินแต่เสียงเปียโนในสมองนะ และไม่รู้ว่ามีอะไรดลบันดาลใจให้อยากตอบเปียโน จึงหันไปพูดกับแม่แทนตอบคำถามเจ้าหน้าที่โดยตรง
“โต้เรียนเปียโนดีกว่า กีตาร์โต้ฝึกเล่นเองได้ฮะ”
แม่ยิ้มหวานหลังได้คำตอบ ยิ้มหวานของแม่คือรอยยิ้มผ่านประกายตาบ่งบอกความรักต่อผม มีแม่คนเดียวแหละครับบนโลกใบนี้ที่ยิ้มได้หวานเช่นนี้
แต่รู้สึกโชคไม่ดีเอาเสียเลยเมื่อเข้าเรียนวันแรก พบว่าทั้งห้องเป็นเด็กหญิงล้วนรวมสามคน ชื่อน้องแอน น้องยุ้ย และน้องชาช่า แล้วผมจะมีเพื่อนเล่นเหรอ เด็กผู้หญิงน่ะน่าเบื่อจะตาย เล่นแต่ตุ๊กตาหรือไม่ก็เล่นแต่เรื่องไร้สาระ ไม่น่าสนุกด้วยเลย
แรกเริ่มเรียนก็รู้สึกเบื่อหน่ายเสียแล้วที่ต้องเรียนการฟัง การอ่านและการเขียนโน้ตดนตรี ผมไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะคุณครูสอนเร็วหรือผมตามไม่ทันกันแน่ แต่น้องชาช่าด้วยวัยน้อยสุดเพียงห้าขวบที่ตัวอ้วนกลมน่ารักกลับเรียนเก่งสุด ตรงข้ามกับผมที่ผอมกะหร่องแถมตามครูสอนแทบไม่ทัน
ผ่านไปสองสัปดาห์หลังเลิกเรียนวันหนึ่ง ชาช่าเดินมาหาผมพูด
“สู้ ๆ นะพี่โตโต้”
ผมได้แต่มองหน้าชาช่าและพยักหน้าไปงั้น ๆ แต่ใจรู้สึกอะไรบางอย่างที่บอกไม่ถูกตั้งแต่แรกเจอแล้ว น้องชาช่าเหลียวมองออกนอกห้อง หันกลับมาบอกผมอีกครั้งว่า
“ไปก่อนนะ แม่มารับแล้ว” พูดจบชาช่าวิ่งไปหาแม่ที่ยิ้มอ้าแขนเปิดกว้างรอสวมกอดลูกน้อย
แม่ของชาช่ารูปร่างออกจะท้วมนิด ๆ ตามอายุ ถ้าให้เดานะก็คงเกือบห้าสิบแล้วแหละ เธอแต่งหน้าบาง ๆ พองาม เส้นผมเป็นม้วนลอนทรงประบ่าในชุดแต่งกายที่ดูทันสมัย โดยรวมแล้วเธอสวยชวนมองสำหรับผู้หญิงวัยนี้ทีเดียว แต่ทั้งหมดที่ผมอธิบายมานี่ ใช่ว่าเธอสวยกว่าแม่ผมหรอกนะ แค่ไม่รู้จริง ๆ ว่าทำไมหยุดละสายตาจากเธอไม่ได้ ...มันเหมือนมีอะไรสักอย่างที่บอกไม่ถูก
โธ่... ก็ผมอายุแค่เจ็ดขวบจะสาธยายอะไรได้มากกว่านี้ล่ะครับ!
ผมจ้องแม่ของน้องชาช่าได้สักพัก ก็ต้องหลบสายตาเอามือเสยผม เมื่อเธอหันมาสบตาผมเข้าพอดี
คุณเชื่อหรือไม่! คืนนั้นผมเห็นแม่ของชาช่าในความฝันว่าโอบกอดผม ช่างเหมือนใครคนหนึ่งที่เคยทำกับผมไม่ผิดเพี้ยน จนเผลอละเมอเรียกแม่ออกมา แต่ภาพในฝันกลับเปลี่ยนฉับพลัน ปรากฏผมนอนอยู่ในอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นของชายชราผมขาวโพลนแทน และเป็นครั้งแรกของชีวิตวัยเจ็ดขวบ ที่ได้สัมผัสรักในความฝันจากคนแปลกหน้าถึงสองคน
ตื่นมาเช้านี้ ผมรู้สึกดีเหลือเกิน
บนโต๊ะอาหารมื้อเช้า แม่ยิ้มหวานเสิร์ฟแพนเค้กพร้อมไข่คนและเบคอนสามชิ้น มีนมสดหนึ่งแก้ววางรออยู่
“กู๊ดมอนิ่งลูกรัก เช้านี้โตโต้ดูสดชื่นจัง คงหลับเต็มอิ่มสินะ”
“ฮะแม่” ผมยิ้มยิงฟันขาวที่จัดเป็นระเบียบโดยทันตแพทย์ “โต้ฝันดีฮะ”
ดูเหมือนแม่ไม่สนใจถามเรื่องความฝันของผม กลับบอกว่า
“เช้าวันอาทิตย์นี้ต้องไปฝึกไดร์ฟกอล์ฟและเรียนดนตรีต่อเลยนะลูก”
แม่พูดด้วยรอยยิ้มที่แสนหวาน ผมล่ะรักแม่ที่สุดเวลาแม่ยิ้มหวานแบบนี้
“ฮะ... แม่” ผมอึกอักตอบ เพราะไม่รู้ทำไมจู่ ๆ หน้าของแม่ชาช่าโผล่ขึ้นมาในหัว
อาหารเช้ามื้อนี้ออกจะเยอะไปหน่อย แต่หากเป็นฝีมือแม่ละก็ ผมจะทานเกลี้ยงจานทุกครั้ง เพราะแม่จะยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อเห็นเหลือเพียงจานเปล่าบนโต๊ะ
ผมทานจุแต่เด็กก็เพราะอยากเอาใจแม่ แต่ทำไมตัวผอมจัง!
ช่วงเช้าทุกวันเสาร์-อาทิตย์ แม่จะพาผมไปฝึกซ้อมกอล์ฟ ตกบ่ายก็จะพาไปซ้อมเล่นดนตรี เช้าวันอาทิตย์นี้ก็เช่นกัน
ผมรักกีฬากอล์ฟเป็นชีวิตจิตใจ ดวงตาจะลุกโพลนฉายประกายอย่างมีความสุขทุกครั้งที่ตีได้ดีดั่งใจ กอล์ฟคือกีฬาที่ผมเล่นได้ดีเหมือนอยู่ในสายเลือดแต่กำเนิด
ผมฝึกเล่นกอล์ฟตั้งแต่อายุห้าขวบได้สองปีแล้ว โดยแม่จ้างโปรมาสอนทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ และมีโปรแกรมออกรอบสนามจริงเดือนละครั้งเป็นอย่างน้อย เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าร่วมแข่งขันจูเนียร์กอล์ฟระดับประเทศ ทุกครั้งเมื่อนึกถึงตำแหน่งแชมป์เปียนจูเนียร์กอล์ฟแห่งประเทศไทย นัยน์ตาผมจะลุกโพลนด้วยความมุ่งมั่นให้ชนะเลิศสักครั้ง
“ถ้วยแชมป์จูเนียร์กอล์ฟต้องเป็นของเราสักวันสิน่า!” ไม่ทราบผมได้ความคิดความเชื่อนี้มาจากไหน!
ตกบ่ายผมเข้าเรียนดนตรีตามตารางเวลาปกติ พอเปิดประตูเข้าไปก็เห็นแม่ของชาช่า นั่งอยู่บนโซฟาห้องรับแขกของสถาบันอยู่แล้ว
ขณะเดินไปเข้าห้องเรียน แม่ชาช่าเอาแต่จ้องผมตาแทบไม่กระพริบ ทำให้ต้องใช้มือเสยผมหลายครั้งเพื่อดับความเขิน
ในห้องเรียนวันนี้ ชาช่าเช่นกัน มองผมบ่อยครั้งจนชักสงสัยว่าตัวเองมีอะไรผิดปกติหรือไม่ หันออกไปมองนอกห้อง เห็นแม่ชาช่าและแม่นั่งคุยกันอยู่
การสนทนาของท่านทั้งสองดูเหมือนจริงจังมาก โดยเฉพาะเมื่อแม่ชาช่าหยิบอัลบั้มรูปถ่ายออกมาให้แม่ดูและชี้มาที่ผม ทำให้อึดอัดฟังคุณครูสอนไม่รู้เรื่องเลย แต่รู้สึกดีขึ้นเมื่อเห็นแม่และแม่ชาช่าลุกเดินออกนอกสถาบันไปด้วยกัน พอหันกลับก็ต้องยกมือซ้ายเสยผมอีกครั้งเพราะชาช่ายิ้มชูสองนิ้วให้
ผมใช้มือซ้ายเสยผมบ่อยมากใช่ไหม! ...มันอดทำไม่ได้จริง ๆ เวลาเขินหรืออาย นี่คือเอกลักษณ์ประจำตัวผมครับ
ชาช่าอายุน้อยกว่าผมสองปี แต่กลับรู้สึกว่าเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง จึงรู้สึกสบาย ๆ เหมือนอยู่ในพื้นที่ตัวเองเมื่ออยู่กับน้อง
ช่วงหยุดพัก ไม่ทราบอะไรดลใจผมให้เดินไปหาชาช่า
“ชาช่า... คิดว่าแม่เธอชวนแม่เราไปไหนเหรอ” ผมถาม
ชาช่ายิ้มน่ารัก ตอบฉะฉาน “สงสัยไปกินกาแฟกันแน่ แม่ช่าชอบกินกาแฟอ่ะ”
“เหมือนแม่เราเลย”
ผมเกาหัวเกาลำคอหลายครั้งคิดไม่ออกว่าจะพูดอะไรต่อดี ชาช่าคงขำที่เห็นท่าทางดูตลก ๆ ของผม จนน้องต้องเอามือปิดปากหัวเราะทำให้ผมต้องหัวเราะตาม
ด้วยรู้สึกผ่อนคลายขึ้น ผมจึงตั้งคำถามใหม่ได้ว่า “ชาช่าเรียนเปียโนนานยัง”
“ก็เรียนพร้อมพี่โตโต้แหละ แต่แม่เอาช่ามาเลี้ยงที่นี่ตั้งแต่เด็ก”
ผมทำตาโตเพราะไม่เข้าใจ “ทำไมอ่ะ”
“ก็แม่เป็นเจ้าของโรงเรียนนี้ไง”
“แล้วทำไมไม่เคยเห็นแม่ชาช่าสอน”
“แม่บอกจ้างครูสอนหลายคนแล้ว แม่จึงนั่งออฟฟิศบริหารโรงเรียนอย่างเดียว”
“แล้วทำไมต้องเอาชาช่ามาเลี้ยงที่นี่ ที่บ้านไม่มีคนเลี้ยงหรอ”
“ไม่มี พ่อช่าตายแล้ว”
ใจผมฝ่อลงทันใด จึงพูดเหมือนอยากให้ชาช่ารู้ว่า ชาช่าไม่ใช่เด็กโชคร้ายคนเดียวที่ขาดพ่อ
“พ่อเราก็ตายตั้งแต่เราอายุได้สามขวบอ่ะ ตอนนี้จำหน้าพ่อไม่ได้แล้ว”
ชาช่าแหงนดูผมด้วยแววตาใสซื่อ ไร้ความรู้สึกว่าชีวิตขาดพ่อเป็นเช่นใด ต่างกับผมที่ยังจำได้ต่อสัมผัสพ่อที่กอดรัด แม้ยังเป็นเด็กเล็กมากก็ยังรับรู้ได้ถึงความรักความอบอุ่น อยากให้พ่อมากอดในฝันบ้าง แทนชายชราที่เมื่อคืนเป็นใครก็ไม่รู้
ประสาทผมตื่นอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงหวานน่ารักจากชาช่า
“เมื่อวานแม่บอกช่า ว่าเห็นพี่โตโต้แล้วตกใจเหมือนเห็นพี่ชายของช่า แม่บอกลูกตาของพี่โตโต้เหมือนพี่ชายช่ามาก”
“อ้าว ชาช่ามีพี่ด้วยหรอ”
“มีแต่ตายไปแล้ว ...ตายพร้อมพ่อก่อนช่าเกิด”
ผมจับมือชาช่ากุมโดยไม่รู้ตัว รู้สึกสงสารน้องจับใจที่ต้องสูญเสียทั้งพ่อและพี่ชาย ใจอยากจะกอดปลอบน้องด้วยซ้ำ อดถามต่อไม่ได้ด้วยความอยากรู้ “เป็นไรตายอ้า”
“รถคว่ำอ่ะ”
ผมก้มหน้าหลับตา ใช้มือสองข้างกุมหัว มันช่างละม้ายคล้ายภาพที่ผุดขึ้นมาในสมองบ่อยครั้ง ยังจำได้ติดตาเหมือนอยู่ในเหตุการณ์ ว่าผมเห็นชายคนขับหันไปกอดปกป้องเด็กหนุ่มที่นั่งมาด้วยกันขณะรถพลิกคว่ำหลายตลบ ต้องกระเด็นกระดอนกลับไปมาจนเด็กหนุ่มหลุดจากอ้อมกอด แต่มือสองข้างไม่หยุดไขว่คว้าหมายเรียกอ้อมกอดนั้นกลับคืน
มันเศร้าจับใจจนต้องร้องไห้ในความฝัน แต่แม่บอกเช้าวันรุ่งขึ้นว่าผมนอนละเมอร้องไห้ และยิ้มให้เหมือนละเมอฝันของผมเป็นสิ่งน่าขบขัน
แม่และแม่ชาช่าสนิทกันเร็วมาก ไม่รู้ว่าท่านทั้งสองมีเรื่องอะไรให้คุยกันได้ตลอด แต่ทำไมตอนนี้ผมรู้สึกผูกพันกับชาช่าเหลือเกิน ...ผมไม่ทราบจริง ๆ ครับ
**********