ริณเรณูเดินกลับมาที่เตียงของมารดาอย่างช้าๆ สายตายังคงจับจ้องไปอยู่ที่ผู้ชายคนที่นั่งอยู่ด้านข้างเตียง เธอไม่รู้ว่าเขามาที่นี่ได้ยังไงและมาคุยอะไรกับมารดา
“สวัสดีค่ะ” เมื่อเดินมาถึงเด็กสาวก็ยกมือไว้แต่ยังไม่ทันถามอะไรมารดาก็พูดขึ้นมาเสียก่อน
“หนูไปนานเลยนะลูก ถ้ามาช้ากว่านี้อีกนิดแม่กะว่าจะโทรตามหนูแล้วล่ะ ครูประจำชั้นหนูเขาใจดีมากๆ เลยนะเขามาเยี่ยมแม่ด้วย”
“ครูมาได้ยังไงคะ” ริณเรณูถามด้วยความแปลกใจเพราะไม่คิดว่าเขาจะมาเยี่ยมมารดาของเธอ
“ทำไมถามครูแบบนั้นล่ะลูก” เรณูดุลูกสาวที่ทำเหมือนไม่ค่อยพอใจที่คุณครูมาเยี่ยม
“ก็ช่วงนี้ครูงานยุ่งหนูก็ไม่คิดว่าครูจะมาเยี่ยมแม่ของหนู”
“คุณครูเขาไม่ได้แค่แวะมาเยี่ยมแม่อย่างเดียวนะ เขามาบอกข่าวดีด้วย” เรณูมองหน้าลูกสาวด้วยความภูมิใจ
“ข่าวดีอะไรคะแม่”
“แม่เองก็พูดไม่ถูกเหมือนกัน คุณครูลองบอกลูกสาวแม่อีกครั้งหนึ่งได้ไหมคะ”
“ได้ครับ คือมีผู้ใหญ่ใจดีมีทุนการศึกษามามอบให้กับเด็กที่เรียนดีและริณเรณูก็เป็นคนที่ถูกเลือกให้รับทุนนั้นมัน เป็นกันทุนแบบไม่ผูกมัด ทุนนี้ผู้ใหญ่จะมอบให้จนเรียนจบระดับปริญญาตรี”
“มีทุนแบบนั้นด้วยเหรอคะคุณครู หนูไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยค่ะ” เด็กสาวมองหน้าคุณครูหนุ่มแล้วจ้องอย่างจับผิด
“มีสิมันเป็นทุนที่ผู้ใหญ่ใจดีเขาให้ทางโรงเรียนจัดหาคนที่เหมาะสมและทางโรงเรียนก็ประชุมกันแล้ว หนูเป็นคนที่เหมาะสมกับทุนนี้ที่สุดเพราะหนูเป็นคนที่เรียนเก่งมากๆ”
“แต่ก็มีเพื่อนอีกหลายคนที่เขาเรียนเก่งแบบหนู”
“คนที่เรียนเก่งมีอีกหลายคนก็จริงแต่พวกเขาก็ยังมีครอบครัวคอยสนับสนุนแต่หนูอยู่กับแม่แค่สองคนและแม่ของหนูก็กำลังป่วยอยู่”
“ขอบคุณนะคะ” ริณเรณูขอบคุณแต่เธอไม่รู้สึกยินดีกับทุนที่ได้รับเลย
“แม่ดีใจด้วยนะลูก แม่ได้ยินแบบนี้แม่ก็หายห่วงไปเยอะเลยทีเดียว แม่ต้องขอบคุณคุณครูทุกคนด้วยนะคะและก็ฝากขอบคุณผู้ใหญ่ใจที่มอบทุนให้กับลูกสาวของแม่ด้วย”
“แล้วผมจะบอกท่านให้นะครับ ผมว่าหนูริณเหมาะสมที่จะได้ทุนจริงๆ ครับคุณแม่” ชายหนุ่มพูดกับคุณเรณูมารดาของเด็กสาวที่ได้ทุนการศึกษา
ทั้งสามคนคุยกันอีกสักพักใหญ่ก่อนที่คุณครูจะขอตัวกลับ
“หนูเดินไปส่งครูเขาหน่อยนะลูก”
“ค่ะแม่” เด็กสาวเดินนำหน้าชายหนุ่มรูปร่างสูงออกมาจากวอร์ดผู้ป่วยผู้ป่วยมะเร็งเมื่อประตูปิดลงเธอก็หันหน้ากลับมามองคนที่เดินตามหลังมาอย่าเอาเรื่อง สายตาของเด็กสาวเต็มไปด้วยคำถาม
“อารามทำแบบนี้ทำไม”
“อาไปคุยกับพ่อหนู แล้วพ่อหนูบอกว่าเรื่องที่หนูได้ฟังทางโทรศัพท์มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดเขาต้องพูดกับคุณศิตาแบบนั้นเพราะถ้าไม่พูดคุณสิตาจะต้องตามจี้และสืบแน่ว่าหนูคือใคร พ่อเขากลัวว่าหนูกับแม่จะเดือดร้อน”
“อากำลังแก้ตัวแทนเขาหรือเปล่าคะ”
“อาจะทำแบบนั้นทำไมล่ะ อาไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรเลยแล้ว ที่อามาวันนี้ก็เพราะเขาฝากให้อามาเยี่ยมแม่ของหนู”
“แล้วเรื่องทุนการศึกษาอะไรนะราคาทำไมอาจะต้องโกหกแม่ด้วยล่ะคะแล้วยังจะมาบอกแม่อีกว่าตัวเองเป็นครู”
“ถ้าอาไม่บอกแบบนั้นแม่ของหนูจะไว้ใจอาได้ยังไงแต่พออาบอกเรื่องทุนไปแม่ของหนูก็ดูสบายใจมากขึ้นนะ”
“แล้วความจริงเรื่องทุนมันคืออะไร”
“คุณใหญ่เขาอยากจะส่งเสียให้หนูเรียนจบสูงๆ หนูไม่ดีใจเหรอ”
“ไม่หรอกค่ะ หนูก็บอกอารามไปแล้วนี่คะว่าหนูไม่ได้ต้องการเงินจากเขาเลย หนูต้องการแค่ให้เขามาเยี่ยมแม่แค่นั้นเองค่ะ”
“คุณใหญ่เขามาเยี่ยมแม่ของหนูตอนนี้ไม่ได้จริงๆ”
“แล้วอาได้บอกแม่หรือเปล่าว่ารู้จักกับคุณนครินทร์”
“เปล่าอาบอกแค่ว่าอาเป็นคุณครูที่โรงเรียน”
“อาคิดว่าแม่จะเชื่อไหม”
“แล้วถ้าเป็นหนู หนูจะเชื่อหรือเปล่าล่ะ”
“ท่าทางอารามดูภูมิฐานและน่าเชื่อถือ หนูคิดว่าแม่น่าจะเชื่อค่ะ แต่หนูไม่อยากโกหกเลยนะคะ”
“แต่ถ้าทำแล้วแม่หนูสบายใจอาว่าไม่เป็นไรหรอกนะ”
“ค่ะอาราม”
“ให้แม่ของหนูให้คิดว่าอาเป็นครูไปก่อน พอคุณใหญ่มาเยี่ยมแม่ของหนูแล้วเราค่อยบอกความจริงแล้วอาจะขอโทษท่านเอง”
“อาคิดว่าอาการของแม่จะอยู่รอคุณนครินทร์ได้ไหมคะ”
“อาตอบไม่ได้เลยเพราะอาไม่ใช่หมอและไม่ใช่ตัวคนไข้ ตอนนี้สิ่งที่เราทำได้ก็คือให้กำลังใจแม่ของหนูทำให้แม่ของหนูมีความสุขอาคุยกับพยาบาลแล้วเขาบอกว่าตอนนี้แม่ของหนูเหนื่อยมากๆ แต่ท่านก็มีกำลังใจที่ดีจากหนูนะ ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอมหนูคงมาอยู่กับแม่ทุกวันใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ หนูจะมาอยู่กับแม่ทุกวันแต่ตอนนี้อาการแม่เริ่มแย่ลงแม่ทานข้าวให้ได้น้อยลงจนต้องให้อาหารเหลวทางสายยาง หนูกลัวว่าแม่จะทรุดหนักไปมากกว่านี้”
“พยาบาลบอกว่าถ้าได้รับสารอาหารที่เพียงพอได้รับกำลังใจดีๆ ร่างกายของคนไข้ก็จะฟื้นตัวและแข็งแรงขึ้นอาว่าหนูน่าจะทำหน้าที่นั้นได้ดีนะ”
“หนูก็อยากให้แม่แข็งแรงขึ้น”
“เอาละวันนี้อาคงต้องไปก่อนนะพรุ่งนี้จะมาเยี่ยมใหม่”
“อารามมาที่นี่เพราะตั้งใจมาเยี่ยมแม่อย่างเดียวหรือมาทำธุระด้วยคะ”
“ตั้งใจจะมาเยี่ยมแม่ของหนูนั่นแหละ แต่ไหนๆ ก็มาถึงที่นี่แล้วก็อยากจะใช้เวลาช่วงนี้พักก่อนนะ”
“อาจะกลับเมื่อไหร่คะ”
“พรุ่งนี้ตอนเที่ยงๆ หนูมีอะไรจะฝากถึงเขาไหม”
“ไม่มีค่ะ”
“อยากคุยกับเขาไหมอาจะต่อสายให้ จะได้เคลียร์ปัญหาเคลียร์ใจกัน”
“หนูคิดว่าไม่ดีกว่าหนูไม่รู้จะคุยอะไรกับเขา” ริณเรณูหยุดคิดเรื่องของบิดาแล้วเพราะยิ่งคิดก็นิ่งน้อยใจและโกรธกับคำพูดของเขา
“วันนี้หนูอาจยังไม่พร้อมที่จะคุยกับเขา แต่ถ้าวันไหนหนูพร้อมหนูบอกอานะ อาจะเป็นคนติดต่อให้เองเพราะการที่หนูจะติดต่อคุณนครินทร์ไปมันค่อนข้างเสี่ยงเนื่องจากภรรยาเขาอยู่ด้วยเกือบจะตลอดเวลาอีกทั้งเลขาหน้าห้องก็เป็นคนของภรรยาถ้าคุณศิตารู้ว่าหนูเป็นลูกของคุณใหญ่ หนูคงอยู่แบบไม่มีความสุขแน่”
“หนูคิดว่าคงไม่มีเรื่องอะไรจะติดต่อกับเขาแล้วค่ะ”
“อย่าเพิ่งพูดแบบนี้สิ รอให้หนูใจเย็นกว่านี้ก่อนนะอาว่าบางทีการได้คุยกับคนในครอบครัวมันอาจจะทำให้ตัวเองมีกำลังใจมากขึ้นนะหนู”
“ไม่เคยคิดว่าเขาเป็นคนในครอบครัวหรอกค่ะ ครอบครัวของหนูมีแค่หนูกับแม่ก็พอ”
คำพูดที่ออกมาจากปากของเด็กสาวทำให้รามัญรู้สึกสงสารและเห็นใจมากๆ ที่ผ่านมา ริณเรณูอยู่กับมารดามาตลอดแล้วถ้าวันหนึ่งมารดาไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว เด็กสาวจะอยู่ยังไง เขาเคยเป็นเด็กกำพร้ามาก่อนก็เลยเข้าใจความรู้สึกนี้ดี ความรู้สึกที่ไม่มีใคร ความรู้สึกที่ไม่มีครอบครัวมันโหดร้ายมาก
กว่าเขาจะผ่านช่วงเวลานั้นมาได้เขาเองก็แทบแย่ ส่วนเธอเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เขาไม่รู้เลยว่าตอนนี้สภาพภายในจิตใจของเด็กสาวเป็นยังไงและเขาก็ไม่ใช่คนครอบครัวจึงทำได้เพียงให้กำลังเธอเท่านั้น
“อาไปก่อนนะ”
“ขอบคุณค่ะอารามที่มาเยี่ยม”
“ไม่เป็นไรพรุ่งนี้อาจะมาเยี่ยมช่วงสายๆ นะ”
“ค่ะ”
เด็กสาวเดินมาส่งเขาที่หน้าตึกจากนั้นก็เดินกลับไปหามารดา