ถึงแม้ว่าเพลงรักจะตะโกนถามผู้เป็นแม่พร้อมน้ำตา แต่คนเป็นแม่อย่างมาลีกลับไม่ได้สนใจคำพูดของเธอเลยแม้แต่น้อย
ในจังหวะนั้นเพลงรักจึงรีบเข้าไปแย่งซองเงินซองสุดท้าย แต่กลับถูกพ่อเลี้ยงถีบที่ท้องน้อยอย่างแรง จนหญิงสาวนั้นล้มลงแล้วศีรษะฟาดกับขอบโต๊ะ ทำให้มีเลือดไหลซึมลงข้างแก้ม
“เอาเงินมานะไอ้ทศ! นี่มันเงินของกู!”
“กูเป็นคนเห็นก่อนมันต้องเป็นของกูสิวะอีมาลี!”
“แต่อีเพลงรักเป็นลูกกู กูเลี้ยงมันมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย เงินที่มันทำงานมาได้ก็ต้องเป็นของกูสิวะ”
“ตั้งแต่มัน 10 ขวบ! มึงก็เอาแต่เข้าบ่อน! ถ้าไม่ได้กูที่คอยหุงข้าวมันจะโตมาถึงทุกวันนี้ไหมวะ”
‘หุงข้าว.. หึ!!' เธอฟังทั้งสองคนถกเถียงกันพร้อมทั้งยื้อแย่งซองเงินนั้น แล้วได้แต่อดกลั้นความรู้สึกมากมายเอาไว้ ก่อนที่จะลุกขึ้นช้า ๆ
เพลงรักกวาดของที่ยังพอใช้ได้ใส่กระเป๋า และเดินกะเผลกออกจากบ้านไปทั้งอย่างนั้น
“ลาก่อน.. บ้านที่เกิดมา”
สองเท้าของเธอเดินกะเผลกออกมาถึงหน้าปากซอย เสียงหัวเราะแบบสมเพชชีวิตดังออกมาจากลำคอของตัวเอง คราบน้ำตาที่ไหลไม่ขาดสายกำลังกลืนหายไปกับสายลมที่พัดโชย มือเล็กยกขึ้นเช็ดเลือดที่ข้างแก้มอย่างลวก ๆ แม้ว่าเธอจะไม่ได้รู้สึกเสียใจมากเท่าไหร่แต่น้ำตากับไหลไม่หยุด และเพราะน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่อายใครนี้ มันกลับเป็นสิ่งเดียวที่แสดงให้เห็นว่าเธอยังมีความรู้สึก
เพลงรักล้วงกระเป๋าสะพายด้วยความหวังเล็ก ๆ แต่สุดท้าย ก็ต้องหัวเราะแห้ง ๆ ให้กับโชคชะตา เพราะในกระเป๋านั้นเหลือเงินเพียงเหรียญสิบหนึ่งเหรียญ และเหรียญบาทสอง
เหรียญเท่านั้น เพลงรักก็หัวเราะออกมาราวกับคนเสียสติ
“สิบสองบาท” น้ำเสียงแผ่วเบาของเธอหลุดลอดริมฝีปาก ก่อนที่เธอจะเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนสี
“ชีวิตฉันนี่มันก็ตลกดีเหมือนกันนะ” เธอทั้งหัวเราะทั้งร้องไห้อย่างคนสิ้นหวัง คนที่เดินผ่านไปผ่านมาละแวกนั้นต่างพากันมองอย่างไม่เข้าใจ มือหนึ่งของเพลงรักกุมแผลที่ศีรษะ อีกมือล้วงแล้วกำนามบัตรที่อยู่ที่การันต์ให้ไว้แน่น ดวงตาของเธอสั่นไหวอีกครั้งเมื่อเห็นว่ามันไม่มีแม้แต่เบอร์ติดต่อ มีเพียงแค่ที่อยู่ของเพนต์เฮาส์แห่งนั้นจริง ๆ
เมื่อไม่สามารถทำอะไรได้เธอจึงเลือกที่จะเดินไปเรื่อย ๆ อย่างคนที่หมดอาลัยตายอยาก ท้องฟ้าจากสว่างสดใสกลายเป็นสีส้มหม่นของยามเย็น และสุดท้ายก็ถูกกลืนกินด้วยเงามืดของค่ำคืน
เพลงรักเดินมาหยุดยืนอยู่กลางสะพานใหญ่ สายตาทอดมองสายน้ำเบื้องล่างที่ไหลเชี่ยว ผสมผสานเสียงรถยนต์มากมายที่วิ่งผ่านด้านหลัง
“ทำไมชีวิตฉันต้องเป็นแบบนี้.. ถ้าเราหายไปจะมีใครสนใจไหมนะ” ความคิดชั่ววูบพุ่งเข้ามาเหมือนมีดปลายแหลมทิ่มแทงในอก แต่เธอไม่ยอมก้าวข้ามขอบสะพานนั้น เพราะเธอรู้การจบชีวิตไม่ใช่ทางออกของคนที่ยังไม่ยอมแพ้
ทันใดนั้นทางด้านหลังของเธอมีเสียงเบรกของรถหรูคันใหญ่ ทำให้เพลงรักหันไปมองรถตู้สีดำขลับที่จอดลงสนิท
ทันทีที่ประตูรถนั้นเลื่อนเปิดออก ก็เผยให้เห็นชายหนุ่มในชุดสูทสีเข้ม ใบหน้าคมเข้มใต้แสงไฟของถนน เขากวาดสายตามองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ก่อนจะขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
‘อย่างน้อยในวันที่แย่ ก็ยังมีเขาอยู่ข้าง ๆ’
“ขึ้นรถ” การันต์ออกคำสั่งเสียงเรียบ ดวงตาอ่านไม่ออกว่าเขากำลังโกรธหรือสงสาร เพลงรักตัดสินใจพยักหน้าอย่างไม่ต้องคิด และก้าวขึ้นรถทันที
ราเชนทร์ขับรถออกไปช้า ๆ ส่วนการันต์นั้นตั้งแต่เธอขึ้นรถมาเขาก็เอาแต่ก้มหน้าเล่นมือถือราวกับไม่ได้สนใจสภาพของเธอที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เลยแม้แต่น้อย แต่อย่างน้อยเธอก็สามารถไปที่เพนต์เฮาส์ของเขาได้โดยไม่เสียเงินสักบาท ก็ถือว่าในความโชคร้ายยังไม่ความโชคดีอยู่บ้าง
การันต์ปรายตาไปมองหญิงสาวที่ตอนนี้หลับตาพริ้มไปแล้วเรียบร้อย หลังจากที่นั่งรถมาได้ไม่นาน ดวงตาคมกวาดมองใบหน้าขาวที่มีคราบเลือดเกรอะกรัง เขามองแผลของเธอก่อนจะขมวดคิ้วไม่พอใจ ตามร่างกายของผู้หญิงคนนี้มีร่องรอยของการถูกทำร้ายและมีแผลใหม่ เสื้อผ้าที่สวมก็เป็นชุดที่เขาเจอเมื่อวาน นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงคนนี้กันแน่
“สืบข้อมูลของเธอให้หน่อย” เขาหันไปสั่งลูกน้อง ก่อนที่ราเชนทร์จะพยักหน้าตกลงอย่างว่าง่าย รถตู้ขับแล่นมากกว่า 2 ชั่วโมงจนในที่สุดก็มาจอดที่โรงแรมหรูกลางเมือง
“ถึงแล้ว” เสียงทุ้มต่ำปลุกให้เธอลืมตาขึ้นช้า ๆ ก่อนจะเดินลงจากรถแล้วขึ้นลิฟต์กระจกไปชั้นบนสุดของโรงแรมที่มองเห็นวิวกลางเมืองได้อย่างชัดเจน เพลงรักตื่นตาตื่นใจกับวิวด้านล่างเป็นอย่างมาก มองดูลิฟต์ที่ขึ้นสูงขึ้นจนเห็นแม่น้ำสายที่ใหญ่ที่สุดกำลังเล็กลงเรื่อย ๆ
จนเมื่อประตูลิฟต์เปิดออก การันต์ได้พาเธอเดินมายังหน้าห้องพักห้องหนึ่ง เขากดรหัสเพียงพริบตาประตูห้องก็เปิดออก และไฟในห้องก็สว่างวาบเผยให้เห็นเฟอร์นิเจอร์ราคาแพงยับ พื้นหินอ่อน และข้าวของเครื่องใช้ที่แพงลิบ
เพลงรักเดินตามเขาเข้าไปด้วยความตื่นเต้น สายตามองนั่นมองนี่แต่ขาก็ก้าวตามไม่หยุด จนเมื่อการันต์นั้นหยุดเดินก็ทำให้เธอชนเข้ากับแผ่นหลังของเขาอย่างจัง
แรงกระแทกส่งผ่านมาที่แผลแตกบนหัวจนเธอทรุดตัวลงกับพื้นและใช้มือจับแผลไว้ด้วยความเจ็บ เดิมทีเธอลืมไปแล้วว่าร่างกายมีบาดแผล แต่ใครจะรู้ว่าทันทีที่กระแทกกับแผ่นหลังของเขาก็เหมือนกับค้อนหนัก ๆ มาทุบที่ศีรษะของเธออย่างแรง
“อึ่ก” ความรู้สึกแสบร้อนแล่นผ่านขมับ และเลือดที่ดูเหมือนจะหยุดไปนานได้ซึมออกมาเล็กน้อย การันต์หันกลับมามองด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนจะดึงแขนเธอให้ลุกขึ้น
“นี่คือที่อยู่ของเธอ” คำพูดนั้นเย็นเฉียบเหมือนเขากำลังตอกย้ำสถานะของเธอ
“และฉันซื้อเธอมา.. นั่นหมายความว่าเธอเป็นสิ่งของของฉัน และฉัน.. ก็ดันเป็นคนหวงของมากหวังว่าเธอจะเข้าใจ” เพลงรักเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ก่อนพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร
เมื่อเห็นว่าเธอเหมือนจะเข้าใจแล้ว การันต์จึงชี้ไปที่กล่องปฐมพยาบาลบนโต๊ะ
“จัดการกับแผลของเธอซะ ฉันไม่ชอบให้ของของฉันมีรอย มันเกะกะลูกตา!”