เช้าวันอาทิตย์ บ้านเฌอลีน
“โอ๊ยยย คุณแม่คะ เฌอปวดหัว ปวดท้อง เป็นไข้ จะตายอยู่แล้วมั้ง”
เสียงฉันดังลั่นออกมาจากห้องนอน ขณะที่ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง มือกดหน้าผากตัวเองทำทีสั่นๆ
ราวกับเป็นไข้หวัดใหญ่ คุณแม่เดินเข้ามาพร้อมถ้วยโจ๊ก ยกคิ้วมองฉันอย่างไม่เชื่อหู
“ป่วยเหรอเฌอ? แต่เมื่อคืนยังเห็นลูกโพสต์สตอรี่ว่าไปกินชานมไข่มุกกับเพื่อนอยู่เลยนะ”
“กะ ก็เพิ่งจะป่วยนี่คะ!” ฉันรีบกลิ้งคลุมโปงทำเสียงอู้อี้
“สงสัยวันนี้จะไปทานข้าวไม่ไหวแล้วค่ะ เดี๋ยวไปแพร่เชื้อให้ผู้ใหญ่จะไม่ดีนะคะคุณแม่”
ยังไม่ทันที่ฉันจะได้ดีใจคิดว่าจะรอด เสียงเข้มๆ แต่เปี่ยมด้วยอำนาจก็ดังขึ้นตรงหน้าประตูห้องนอน
“ยัยเฌอ! หยุดแกล้งป่วยได้แล้ว!”
คุณย่าโสม!!
ฉันสะดุ้งโหยง รีบโผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม แทบจะร้องไห้
“คุณย่า หนูไม่ไหวจริงๆ นะคะ”
คุณย่าโสมยืนเท้าเอว มองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า ถ้าป่วยจริงๆ หลานจะมีแรงกลิ้งไปกลิ้งมาในผ้าห่มแบบนั้นเหรอ
“ก็มันหนาวนี่คะ” ฉันรีบหาข้ออ้าง
“หนาวอะไรกัน แอร์ยังปิดอยู่เลย!” คุณย่าพูดเสียงเข้ม แต่สายตากลับเอ็นดูในความดื้อของฉัน
“แต่งตัวซะ เรามีนัดสำคัญ จะมาทำเป็นป่วยหนีไม่ได้หรอก”
“คุณย่าาาา หนูไม่อยากไปจริงๆ นะคะ หนูไม่ชอบการคลุมถุงชน” ฉันบ่นเสียงงอแง
คุณย่าเดินเข้ามานั่งข้างเตียง ลูบหัวฉันเบาๆ
“หลานไม่ต้องคิดมากหรอกเฌอ แค่ไปนั่งกินข้าว รู้จักกันไว้ ถ้าไม่ถูกใจก็ไม่มีใครบังคับ
แต่ถ้าไม่ไปย่าเสียหน้านะลูก”
ฉันกัดปากแน่น ใจอ่อนเพราะประโยคสุดท้ายทุกที
“เห้อ!! โดนคุณย่าจับทางได้ตลอด”
“ก็ได้ค่ะ เฌอไปก็ได้ แต่เฌอบอกเลยนะ แค่ไปกินข้าว คุณย่าห้ามตกลงอะไรทั้งนั้น!!”
คุณย่ายิ้มออกมาอย่างพอใจแต่แฝงความเจ้าเล่ห์ “นั่นแหละจ้ะ ที่ย่าอยากได้ยิน หลานสาวย่าเก่งที่สุด”
ฉันถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะกุมหน้าผากเหมือนจะเป็นลม
“นี่ฉันหนีไม่พ้นจริงๆ ใช่มั้ย!”
สองชั่วโมงต่อมาห้องอาหารโรงแรมหรู แชนเดอเลียร์ระยิบระยับ โต๊ะอาหารยาวที่ถูกจัดไว้เรียบร้อย
พนักงานโรงแรมยืนประจำตำแหน่งราวกับงานเลี้ยงผู้ดี ผมก้าวเข้ามา สูทสีดำตัดกับเสื้อเชิ้ตขาวสะอาดตา
ร่างสูงสง่าเรียกสายตาจากแขกโต๊ะอื่นๆ ได้ไม่ยาก
“งานดูตัวงั้นเหรอ มาลองดูกันหน่อยว่าเหยื่อจะเป็นใคร”
“เนม หลานชายยายมาแล้ว”
เสียงคุณยายผมดังขึ้นเมื่อผมเดินมาถึงโต๊ะที่มีคุณหญิงผู้สูงศักดิ์อีกท่านหนึ่งนั่งรอพร้อมครอบครัว
ผมยกยิ้มสุภาพตามมารยาททันที แต่รอยยิ้มกลับชะงักไปในวินาทีถัดมา
หญิงสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เงยหน้าขึ้นมาพร้อมดวงตากลมโตที่ผมคุ้นเคยเกินไป
“เฌอลีน วัฒนกุล” คนไข้ตัวแสบของผม
เธอเองก็เบิกตากว้างเหมือนโลกหยุดหมุน มือที่กำแก้วน้ำสั่นจนแทบหลุด
“คุณ…คุณหมอ!?”
“ที่แท้ก็คนไข้ซนๆ ของผมนี่เอง” ผมหัวเราะเบาๆในลำคอ
“ห๊ะ!” เสียงเธอสูงจนคุณแม่เธอรีบสะกิดให้เบาลง
คุณยายทั้งสองหันไปมองหน้ากันแล้วหัวเราะอย่างถูกใจ
“ดูเหมือนทั้งคู่จะรู้จักกันมาก่อนแล้วนะ ไม่ต้องเสียเวลาแนะนำตัวกันแล้ว”
ผมก้าวไปนั่งเก้าอี้ข้างเธอโดยไม่สนใจสายตาคนรอบโต๊ะ โน้มตัวเข้าใกล้กระซิบเสียงทุ้มชิดหูจนเธอสะดุ้งวูบ
“คราวนี้หนีไม่พ้นแล้วนะครับ ว่าที่คู่หมั้น”
เธอหันขวับมาจ้องตาเขม็ง หน้าแดงจัด
“ใครจะหมั้นกับคุณ!!”
แต่สายตาผมกลับเปล่งประกายยิ่งกว่าเดิม ราวกับเจอของถูกใจที่ท้าทายที่สุดในชีวิต
“หึ…ยัยเด็กซน เธอไม่พ้นมือผมแล้วล่ะ” ผมพึมพำกับตัวเองในใจ
ท่ามกลางโต๊ะอาหาร เฌอลีนพยายามนั่งนิ่งที่สุด แต่สายตายังคงชำเลืองใส่คนข้างๆ อย่างหงุดหงิด
“ทำไมต้องมานั่งติดกันด้วยคะ” เธอบ่นเสียงเบา แต่ดันเผลอออกมาพอให้คนทั้งโต๊ะได้ยิน
เนมหันมายกคิ้ว มุมปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยอย่างกวนๆ
“พี่ขอนั่งข้างว่าที่คู่หมั้น มันน่ารังเกียจขนาดนั้นเลยเหรอครับน้องเฌอ”
“ใครเป็นน้องคุณ” ฉันตอบกลับทันควัน
ทั้งโต๊ะชะงักไปชั่วอึดใจ ก่อนเสียงหัวเราะเบาๆ ของคุณย่าฉันจะดังขึ้นกลบเกลื่อนบรรยากาศ
“เฌอลีน หลานพูดอะไรแบบนั้น” คุณย่าโสมรีบปรามด้วยรอยยิ้ม แต่สายตาดุปรอทแตก
“ไม่เอานะลูก ผู้ใหญ่อยู่กันเต็มโต๊ะ อย่าทำตัวเสียมารยาท”
“แต่ว่า” เฌออ้าปากจะเถียง
“ไม่มีแต่!” คุณย่าโสมสวนกลับทันที ก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นจิบอย่างสง่างาม
“พูดกับพี่เขาดีๆหน่อย เราเป็นเด็ก ต้องรู้จักเคารพผู้ใหญ่”
“เรียกพี่เนม ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยลูก”
ฉันหันขวับมามองคุณย่าทันที หน้าแดงจัด
“คุณย่า! หนู” ฉันหันกลับมามองค้อนคนเจ้าเล่ห์ที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ค่ะ พี่เนม!!!”
พี่เนมยิ้มกว้างอย่างพอใจ เขาโน้มตัวเข้าใกล้กระซิบข้างหูฉัน
“เก่งมากครับ น้องเฌอของพี่เนม!!”
“ค…คุณ!” เธอแทบจะระเบิด แต่พอเงยหน้าขึ้นเห็นคุณย่าโสมจ้องอยู่ ก็ต้องกัดฟันแน่น
หันหน้ากลับมาแล้วพูดเบาๆ แทบไม่ออกเสียง
“พี่เนม!”
หัวใจฉันเต้นแรงจนแทบทะลุอก ขณะที่รอยยิ้มพอใจของเขาฉายชัดเต็มใบหน้า
บทสนทนาบนโต๊ะเต็มไปด้วยเรื่องธุรกิจ สุขภาพ และการเมืองในวงสังคม
คุณย่าฉันกับคุณยายพี่เนมหัวเราะคุยกันถูกคอ ส่วนคุณพ่อคุณแม่ก็สลับถามสารทุกข์สุขดิบไปตามมารยาท
ฉันนั่งนิ่งพยายามทำตัวเรียบร้อยที่สุด แต่หัวใจยังเต้นไม่เป็นกระส่ำเพราะคำว่า
“พี่เนม” ที่หลุดปากไปเมื่อครู่ รู้สึกเหมือนเสียศักดิ์ศรีไปครึ่งชีวิต!
ยังไม่ทันตั้งสติได้ดี จู่ๆ เก้าอี้ข้างๆ ก็เลื่อนเข้ามาใกล้ ใกล้จนไหล่ฉันแทบชนกับไหล่เขา
“คุณหมอ!” ฉันหันไปกระซิบเข่นเสียง แต่ก็ต้องรีบยิ้มกลบเมื่อสายตาผู้ใหญ่ปรายมองมา
เขายกช้อนตักซุปขึ้นอย่างใจเย็น ริมฝีปากหยักยกขึ้นเล็กน้อย
“เรียกพี่สิครับ เดี๋ยวผู้ใหญ่สงสัย”
ฉันกัดฟันกรอด ไอ้พี่หมอนี่! ได้คืบจะเอาศอก ได้ห้าจะเอาสิบจริงๆ!!
ทันใดนั้น ความรู้สึกอุ่นร้อนแล่นวาบตรงหลังมือ ฉันเผลอสะดุ้งเมื่อมือใหญ่ใต้โต๊ะเลื่อนมาทาบลงบนมือฉันที่วางอยู่บนตัก
“เอามือออกนะคะ!” ฉันก้มกระซิบเสียงลอดไรฟัน
เขาแสร้งทำเป็นคุยกับผู้ใหญ่ฝั่งตรงข้าม “ครับ เรื่องความร่วมมือทางวิชาการ น่าสนใจมากจริงๆ”
แต่ปลายนิ้วกลับกดเบาๆ บนหลังมือฉันอย่างจงใจ หัวใจฉันเต้นแรงจนแทบจะโผล่ขึ้นมาบนโต๊ะ
ขณะที่ใบหน้ายังต้องฝืนยิ้มตามมารยาท ไม่ให้ใครจับได้ เขาหันมาสบตา รอยยิ้มเจ้าเล่ห์สะกิดใจ
“เด็กดีของพี่เนม” เขากระซิบแทบไม่ขยับปาก
ฉันกัดริมฝีปากแน่น แอบสะบัดมือออกแรงๆ ใต้โต๊ะ เสียงช้อนกระทบจานดัง เพี๊ง! จนผู้ใหญ่หันมามอง
“เอ่อ เฌอทำช้อนตกอ่ะค่ะ” ฉันรีบแก้ตัว หน้าร้อนผ่าวจนอยากมุดโต๊ะหนี
เสียงหัวเราะในลำคอของเขาดังลอดออกมาเบาๆ เหมือนกำลังได้ชัยชนะรอบสอง
“โอ๊ยยย ให้ตายเถอะ! แล้วฉันจะรอดจากมื้ออาหารนี้ไปได้ยังไงเนี่ย!!”