บทนำ

1977 Words
“เบบี๋คะ ลืมอะไรรึเปล่า จดไว้นะคราวหน้าพี่จะเอามาให้ค่ะ” ‘น้ำเหนือ’ ผู้ชายรูปร่างกำยำสูงใหญ่กว่า 185 ซม. ใบหน้าเข้มดุดันดู บวกกับผิวสีน้ำผึ้งกับกล้ามเนื้อชัดเจนจนทำให้น่าเกรงขามเข้าไปใหญ่ แต่กลับสวนทางกับคำพูดคำจาน่ารักบ้องแบ๊วที่มีไว้ให้เพียงแค่น้องสาวสุดหัวแก้วหัวแหวนอย่าง ‘น้ำอิง’ เท่านั้น “คราวหน้านี่วันไหนเหรอคะ ?” น้ำอิงเอ่ยถามพี่ชายที่รับหน้าที่เป็นคนงานช่วยขนของเข้าหอ เนื่องจากเธอถึงวัยที่จะต้องย้ายตัวเองออกจากบ้านเกิดเมืองนอนมาเรียนต่อปริญญาตรีที่เมืองหลวง และเห็นได้ชัดว่าใบหน้าพี่ชายของเธอเป็นห่วงเธอมากถึงมากที่สุด “ถ้าเบบี๋รีบใช้พี่เอามาให้พรุ่งนี้ได้เลยค่ะ” ใบหน้าหล่อเข้มยิ้มแฉ่งไม่มีท่าทีล้อเล่นซักนิด สำหรับน้องสาวแล้ว อยุธยา ฯ-กรุงเทพ ฯ ก็แค่หน้าปากซอยเท่านั้น สาวน้อยใสซื่อสุดน่ารักผู้เป็นดั่งดวงใจอายุห่างกับพี่ชายถึง 5 ปี บัดนี้โตจนเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว น้ำเหนือแทบไม่อยากจะเชื่อ สำหรับเขาเธอยังตัวแค่เนี้ยเอง ย้ายมาอยู่เมืองที่มีแต่แสงสี เสือ สิง กระทิง แรดเต็มไปหมด เขาไม่ค่อยวางใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะน้ำอิงบอกว่าตัวเองโตแล้ว โตอะไรกัน...สำหรับพี่ชาย เธอเหมือนเพิ่งเดินได้เมื่อวานนี้เอง น้ำอิงหัวเราะกับพี่ชายเพียงคนเดียวของตัวเอง ดูท่าทางแล้วน่าจะเป็นห่วงเธอน่าดู แต่ก็ช่วยไม่ได้นี่...สายตาของเขาเธอคงตัวกระจ้อยร่อย เป็นเบบี๋ตัวเล็กของพี่ชายตลอดไป “นี่พี่เหนือแน่ใจนะคะว่าจะให้พี่ออยมาอยู่เป็นเพื่อนอิงอ่ะ พี่เหนือเป็นห่วงเกินเหตุไปแล้วนะคะ” “ให้มันมาอยู่เป็นเพื่อนซักสอง สามวัน มันอยู่แถวนี้มานานน่าจะบอกว่าอะไรอยู่ตรงไหนได้ไงคะ” ‘พี่ออย’ ที่ว่า คือลูกพี่ลูกน้องของพวกเขา และเป็นพี่สาวของเพื่อนสนิทของน้ำอิงอย่าง ‘เป้’ เธอเพิ่งจะเรียนจบจากมหาวิทยาลัยที่นี่และกำลังทำงานอยู่แถวนี้เช่นกัน แถมพี่เหนือก็ฝากฝังไปเป็นภาระเธออีกด้วย “ก็ได้ค่ะ” น้ำอิงพยักหน้าเพราะถึงจะเถียงยังไง พี่เหนือก็คงไม่ยอมปล่อยให้อยู่คนเดียวตอนนี้แน่นอน จึงคิดว่าจะปล่อยเลยตามเลยไปก่อนแล้วกัน “พี่กลับก่อนนะคะ พี่ต้องไปเช็กอะไหล่ที่โรงงาน เดี๋ยวจะดึกดื่นเอา” คนพูดไปก็หน้าเศร้าไป “พรุ่งนี้ไปรับน้องใช่ไหมคะ ?” “ค่ะ” “ถ้ารุ่นพี่กวนตีน ด่ามันไปเลยนะคะ เดี๋ยวพี่มาเคลียร์เอง” เธอยกมือขึ้นมากุมขมับ ดูสิ สอนอะไรแต่ละอย่าง ทำแบบนั้นเธอคงอยู่ยากขึ้นถ้ามีปัญหากับคนอื่น “ล้อเล่นค่ะ ทำตัวน่ารัก ๆ นะคะ คนอื่นจะได้เอ็นดู” “รับทราบ !” มือเล็กยกขึ้นมาตะเบ๊ะอย่างแข็งขัน “ถึงเวลากลับแล้วค่ะ” “ค่ะ...ไม่ต้องลงไปส่งหรอกเดี๋ยวพี่ลงไปเอง พักผ่อนนะคะ” เมื่อรอยยิ้มอบอุ่นของพี่ชายส่งมาให้พร้อมฝ่ามืออุ่นซึ่งกำลังลูบศีรษะแผ่วเบา เธอก็ฉีกยิ้มรับ พยายามกลั้นน้ำตาตัวเองสุดฤทธิ์พี่ชายจะได้กลับอย่างสบายใจ “ขับรถดี ๆ นะคะ” โบกมือลากันอยู่นานพอสมควร หลังประตูห้องปิดลงเธอก็เบะน้อย ๆ น้ำตาก็ล่วงหล่นลงมาจนได้ เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาเลยที่คนอย่างน้ำอิงต้องออกมาอยู่คนเดียวอย่างเต็มตัว ความรู้สึกมันโหวง ๆ อย่างช่วยไม่ได้กับการปรับตัวครั้งยิ่งใหญ่ของเด็กวัยที่ถึงจุดผลัดเปลี่ยนจากเด็กมัธยมฯปลายมาอยู่ในสังคมที่ใหญ่ขึ้นเป็นเท่าตัวในรั้วมหาวิทยาลัย ในตอนมัธยมฯตอนปลายน้ำอิงมีแต่เพื่อนผู้ชายซึ่งพวกนั้นก็ไม่มีใครมาเรียนที่เดียวกับเธอเลยแม้แต่คนเดียว อาจด้วยคะแนนที่สูงจนสู้ไม่ไหว และปัจจัยอื่น ๆ ทำให้เหลือแค่เธอหัวเดียวกระเทียมลีบ ไม่พร้อมอยู่คนเดียวแค่ไหนก็ต้องพร้อม... สูดน้ำมูกตั้งสติก็หันกลับไปแกะลังกระดาษที่มีแต่ของใช้ออกมาจัดของ พี่ออยบอกว่าเธออาจจะมาช่วงเย็นซึ่งตอนนี้บ่ายสามเองคงจะอีกนานกว่าจะมาถึง นี่ถือว่ายังดีที่มหาวิทยาลัยของเธอไม่บังคับว่าปี 1 ต้องอยู่หอใน ทำให้เลือกได้ว่าที่จะอยู่ข้างนอก ซึ่งพ่อกับแม่ก็เห็นด้วยเพราะการอยู่รวมกับคนอื่นที่ไม่รู้จักหากมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นก็มีแต่ต้องทนอยู่เท่านั้น และคนแบบเธอคงจะประหม่าจนทำอะไรไม่ถูกแน่ อืดด อืดด อืดดด ! เสียงสั่นเรียกเข้าทำให้เธอละความสนใจจากที่กำลังเรียงหนังสือการ์ตูนใส่ชั้น พอหันไปดูโทรศัพท์ที่วางไว้ที่พื้นก็พบว่าสายที่เข้ามาคือเป้ ลูกพี่ลูกน้องพ่วงตำแหน่งเพื่อนสนิทโทรมานั่นเอง “ว่าไง” เสียงนุ่มน่าฟังไม่ได้เล็กแหลมเท่าสาวหวาน แต่ก็ไม่ได้แหบห้าวขนาดผู้ชายตอบรับหลังจากกดรับสาย [เป็นไงบ้างวะเพื่อน] “ก็ไม่ยังไง กำลังเก็บของอยู่ มึงมีอะไรรึเปล่า” เธอเปิดลำโพงแล้วกลับมาแกะเชือกที่มัดกองหนังสือเพื่อจัดเข้าชั้นอีกครั้ง [พวกกูเป็นห่วงไง] คิ้วเล็กย่นเข้าหากันเพราะปลายสายมีหลายเสียงดังแทรกเข้ามาตลอด ไม่นานเพื่อนก็เฉลย [นี่ไอ้ก็อตกับไอ้แจ๊คก็อยู่ด้วยกัน พวกมันมาบ้านกู] “...” เธอเงียบไม่ได้พูดอะไรตอบกลับ ท่าทางกระตือรือร้นของบรรดาเพื่อน ๆ ของเธอทำให้อยากจะร้องไห้ ปกติก็ไม่ได้ขี้แยขนาดนี้นะ ไม่รู้ทำไมช่วงนี้อ่อนไหวง่าย ๆ แบบนี้ และเริ่มรู้สึกคิดถึงบ้านทั้งที่เพิ่งออกมาที่นี่ไม่ถึงสิบสองชั่วโมงด้วยซ้ำ [เป็นไงบ้างวะไอ้อิง...สาวมหาลัยแม่งสวยมั้ย ว่าง ๆ กูไปหาได้ป่ะอยากส่องหญิงกรุงเทพฯ ว่ะ] เสียงทุ้มของก็อตแทรกเข้ามาอย่างตื่นเต้นทำให้น้ำตาที่เกือบล่วงหดหายเข้าไปในเบ้าตาแทบจะทันที “ไอ้พวกทะลึ่ง ! ก็นึกว่าเป็นห่วงกูจริง ๆ ไอ้เป้มึงวางสายไปเลยกูไม่อยากคุยกับพวกมึงแล้ว” [555555555555555] พอได้ยินเสียงหงุดหงิดของเธอ พวกเพื่อน ๆ ในสายก็พากันหัวเราะชอบใจทันที [อ่ะย้อเย่นน่าาา แล้วเป็นไงวะ มีเพื่อนบ้างยัง] “เพื่อนอะไร พรุ่งนี้ถึงเข้าคณะ” [เอ้า อยากน้อยก็เพื่อนข้างห้องอะไรงี้อะ] ดวงตาโตกลอกตามองบนทันที นี่หอพักนะ ไม่ใช่หมู่บ้านที่มาใหม่แล้วจะได้สวัสดีทักทาย ตั้งแต่เธอเข้ามาก็ยังไม่เจอใครซักคนนอกจากป้าเจ้าของหอ ดูเหมือนว่าที่นี่จะอยู่ใครอยู่มัน ไม่มีมาผูกมิตรข้างห้องอะไรแบบนั้นหรอก ขอเพียงแค่ไม่สร้างปัญหาให้กันก็ถือว่าดีมากแล้วมั้ง “ไม่มี” เธอตอบไปตามความจริง เสียงเซ็งในสายก็ดังขึ้นมาทันทีทันใด [มึงนี่ใช้ไม่ได้ ! นี่พวกกูมาบ้านไอ้เป้เพื่อมานั่งคิดแล้วลิสต์วิธีการเข้าสังคมให้มึงเลยนะ] เสียงเข้มของแจ๊คเอ่ยเข้ามาอยากจริงจัง [หนึ่งเลยนะ มึงต้องดูก่อนว่าใครน่าไว้ใจ ใครพึ่งพาได้…] “เดี๋ยว !] พอได้ฟังแล้วรับรู้ถึงความไร้สาระของเพื่อนเธอก็ห้ามปรามทันทีเพราะขี้เกียจจะฟังเต็มทน [นี่พวกมึงว่างกันมากนักเหรอ แล้วมีสิทธิ์อะไรมาสอนกูไม่ทราบ ?” [เฮ้ย ! นี่พวกกูจริงจังน่า ไม่รักไม่นั่งสุมหัวกันขนาดนี้นะบอกก่อน ฟัง ๆ] “...” [มึงมองไว้ก่อนเลยใครใส่แว่นแสดงว่าเรียนเก่งอ่านหนังสือเยอะชัวร์ ตีสนิทไว้เผื่อเอาไว้ลอกการบ้าน] น้ำอิงยกมือขึ้นกุมขมับเกือบหลุดขำ แต่ก็ไม่ว่าอะไรเพราะพวกมันดูจริงจังกว่าที่คิดเลยไม่อยากขัดศรัทธา ถึงมันจะดูตลกมากกว่าใช้ประโยชน์ได้ก็เถอะ [สอง ใครมีรถมึงตีสนิทไว้เผื่อหลอกใช้ให้ไปส่งหอ ประหยัดตังนั่งวิน เอาไว้กินข้าวดีกว่า] “หมดยัง” [ยัง ๆ ...อะไรอีกวะไอ้เป้ที่มึงเขียนอ่ะ !] เสียงวุ่นวายเกิดขึ้นเล็กน้อยดังออกมา [อ้อนี่ ๆ ! มึงหาพวกที่ใจดี หัวอ่อน ว่าง่าย ๆ จะได้เอาไว้หลอกใช้หน่อย] “นี่มึงให้กูหาเพื่อนหรือหาเบ๊วะ มีแต่เพื่อหลอกใช้ทั้งนั้น” น้ำอิงส่ายหัวอย่างอ่อนใจ เธอก็พอรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะหาเพื่อนไม่ได้ แต่ก็ไม่คิดว่าแต่ละคำแนะนำจะออกมาเป็นแบบนี้ [เอาน่า อย่างน้อยมึงก็จะไม่ลำบากนะ หลอกใช้ไปก่อนค่อยเป็นเพื่อนกันทีหลังก็ยังไม่สาย] ก็อตว่างั้น คนตัวเล็กก็หัวเราะลั่น สุดยอดแห่งความคิดเลวทราม… “หมดยังเนี่ย” [ยัง ! มึงไม่ต้องทำตัวสวยมากนะเว้ย เกินหน้าเกินตาคนอื่นเดี๋ยวก็โดนหมั่นไส้อีก] มือที่กำลังจัดวางการ์ตูนชะงัก [แต่กูไปดูในเว็ปมาละว่าสาขาที่มึงอยู่มีผู้หญิงน้อยมากเลย อาจจะไม่เป็นอะไรมั้ง อย่างน้อยก็น่าจะรักกันไว้แหละ มีไม่ถึงสิบเลย] น้ำอิงยิ้มแห้ง ความจริงนี่ก็เป็นเรื่องที่เธอกังวลอยู่เหมือนกัน เธอเป็นพวกเด็กมีปัญหาด้านการเข้าสังคมกับคนเพศเดียวกัน เรียกได้ว่าโชคร้าย ไม่ค่อยจะถูกกับผู้หญิงด้วยกันเอง แม้ว่าตัวเธอเองจะอยากมีเพื่อนเป็นผู้หญิงมากแค่ไหนแต่สุดท้ายแล้วก็มักจะมีปัญหาทำให้ต้องแยกกันทุกที มันเคยเป็นความกลัวจนวันหนึ่งก็ยอมรับชะตากรรมว่าตัวเองอาจจะไม่มีดวงเรื่องเพื่อนผู้หญิงจริง ๆ แต่หากเป็นไปได้น้ำอิงก็อยากมีเพื่อนผู้หญิงในมหาวิทยาลัย แต่เธอดันเข้าสาขาที่มีผู้หญิงน้อยมาก ๆ อีกซะนี่ ความยากก็ยิ่งทวีคูณ “เออรู้น่า แล้วพวกมึงรายงานตัวกันมาแล้ว เป็นไงบ้าง” เธอเป็นฝ่ายถามไถ่กลับไปบ้าง เพื่อนทั้งสามคนเข้ามหาวิทยาลัยในจังหวัด ส่วนคนอื่น ๆ ก็แยกกันไปเข้ามหาลัยในจังหวัดอื่น ๆ [ก็ดีนะเว้ย เออ…แล้วออยมันไปหามึงยังวะ เห็นเฮียบอกว่าให้มันไปอยู่กับมึง แต่กูขอเตือนนะ มึงไม่ต้องไปหวังพึ่งมันมากหรอก อีนี่มันเอาเหี้ยอะไรที่ไหนล่ะ] เป้นินทาพี่สาวตัวเองอย่างสุดเซ็ง ซึ่งน้ำอิงก็ไม่ได้คาดหวังอะไรอยู่แล้ว ความจริงก็ไม่อยากรบกวนพี่ออยด้วยซ้ำแต่เฮียเป็นห่วงเธอเลยไม่อยากขัดใจ จึงทำเพื่อความสบายใจของที่บ้าน “ยังไม่มาเลย เดี๋ยวคงมาแหละ เออพวกมึง...แค่นี้ก่อนนะ กูว่าจะจัดของ แล้วก็รีดชุดไปมหา’ลัยพรุ่งนี้ด้วย” [โอเคมึง...ดูแลตัวเองดี ๆ นะเว้ย ใครแม่งกวนส้นตีนเดี๋ยวพวกกูไปถีบยอดหน้าให้ไม่ต้องห่วง] น้ำอิงถอนหายใจ...พวกนี้นี่ลูกน้องพี่เหนือของแท้ พูดเหมือนกันไม่มีผิด ทำอย่างกับเธอจะไปออกรบอย่างนั้น นี่เธอไปเรียนนะไม่ได้ไปหาเรื่องคนอื่น ทำไมทุกคนต้องคิดว่าเธอจะต้องไปเหยียบหางใครแน่ ๆ อย่างนั้นล่ะ แบบนี้มันเป็นลางไม่ดีเลย !
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD