ร่างสูงล้วงเครื่องมือสื่อสารสุดหรูที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงยีนแบรนด์ดัง เลื่อนหน้าจออยู่เพียงชั่วครู่เมื่อเจอหมายเลขที่ต้องการจึงกดโทร.ออก
“พี่บีบี้ว่างหรือเปล่าครับ”
พี่บีบี้หรือเจิมศักดิ์เป็นผู้จัดการส่วนตัวของเขาที่เป็นคนไทยแท้ เจิมศักดิ์รู้จักคนในวงการฮอลลีวูดค่อนข้างมากและก็เป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้เขาก้าวเข้าสู่วงการนักแสดงอีกด้วย
“สำหรับเจมส์พี่ว่างเสมอแหละจ้า”
เจิมศักดิ์ร่างชายแต่มีจิตใจเป็นหญิงมักจะหยอดคำหวานใส่เทอร์รี่เสมอ แรกๆ เขาก็ไม่คุ้นชิน หลังๆ ก็เริ่มจะชินเพราะได้ร่วมงานกันมาก็เกือบจะสิบปี
เทอร์รี่ยิ้มนิดๆ กับคำตอบกลับของอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยเรื่องที่กำลังรบกวนจิตใจของเขาอยู่ในขณะนี้
“ผมมีเรื่องรบกวนพี่หน่อยน่ะครับ” น้ำเสียงที่จริงจังของเขาทำให้เจิมศักดิ์เลิกหยอกเย้า ก่อนจะรีบปรับเสียงอย่างเป็นงานเป็นการ
“ว่ามาเลยจ้ะ”
เทอร์รี่เล่ารายละเอียดให้เจิมศักดิ์ฟัง เมื่อฟังเรื่องราวจบ เจิมศักดิ์ถึงกับกรีดร้อง
“อุ๊ยตายว้ายกรี๊ด! อกพี่บีบี้จะแตก”
เสียงกรีดร้องของอีกฝ่ายแม้เทอร์รี่จะไม่ได้เห็นท่าทางของเจิมศักดิ์ด้วยตา แต่ก็เดาได้ไม่ยากว่าเจิมศักดิ์คงกำลังเอามือหนาที่ออกจะเจ้าเนื้อหน่อยๆ ทาบอกตนเองอยู่อย่างแน่นอน
“จัดการให้ผมด้วยนะครับ ผมอยากทราบเรื่องให้เร็วที่สุด”
“ได้จ้ะ เดี๋ยวพี่บีบี้คนนี้จัดการให้”
หลังจากวางสายเจิมศักดิ์แล้ว เทอร์รี่ก็หมดอารมณ์ที่จะอ่านนิยายแนวสืบสวนที่ตั้งใจเอาไว้ ก่อนจะหยิบนิยายทั้งสองเล่มเดินกลับไปที่คฤหาสน์หลังงาม นัยน์ตาคู่คมจ้องมองนิยายเจ้าปัญหาที่อยู่ในมืออย่างเอาเป็นเอาตาย ก่อนจะรีบก้าวเข้าไปยังห้องนอนที่อยู่ชั้นสองของตัวคฤหาสน์ จับหนังสือนิยายเจ้าปัญหายัดใส่ตู้เซฟราวกับว่ามันเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ห้ามหายเป็นอันขาด
วันวิสากลับบ้านที่ต่างจังหวัดในเย็นวันศุกร์ บ้านของเธอตั้งอยู่ในอำเภอหนึ่งในจังหวัดลพบุรี ลักษณะบ้านเป็นบ้านไม้สองชั้นมีใต้ถุนกว้างบริเวณใต้ถุนบ้านจะมีโต๊ะม้าหินอ่อนที่ล้อมรอบด้วยเก้าอี้ทรงสี่เหลี่ยมที่มีพนักพิงสีเดียวกันสี่ตัว และหน้าบ้านมีต้นมะขามขนาดใหญ่อยู่สองต้น มารดาของเธอนำเปลผ้าร่มสีแดงเลือดนกไปผูกเอาไว้เพราะรู้ดีว่าเธอชอบมานอนเล่นบริเวณนี้ ในช่วงกลางวันสามารถสูดอากาศสดชื่นเข้าปอดได้แบบเต็มๆ ซึ่งอากาศบริสุทธิ์แบบนี้หาได้ยากมากในเมืองหลวงที่เธอต้องทำงาน ในทุกวันหยุดหรือยามที่มีเวลาว่าง เธอจึงเลือกที่จะกลับบ้านเพราะสบายทั้งกายและสบายทั้งใจ
ช่วงบ่ายแก่ๆ ของวันเสาร์ วันวิสาหยิบหนังสือนิยายของนักเขียนที่เธอชื่นชอบติดมือมาด้วยหนึ่งเล่ม เธอกำลังคิดถึงนิยายเรื่องแรกของตัวเองที่เพิ่งจะวางแผงไปได้ไม่ถึงสองสัปดาห์ก็อดที่จะปลื้มปริ่มไม่ได้ เมื่อได้เห็นผลงานของตนเองโลดแล่นอยู่ในร้านหนังสือ และตามร้านค้าออนไลน์ที่มีหนังสือของเธอวางขายอยู่เช่นกัน เรื่องที่เธอได้พัฒนาจากนักอยากเขียนสู่นักเขียน พ่อกับแม่ยังไม่ทราบเรื่องนี้ ท่านทั้งสองรู้ดีว่าเธอชื่นชอบการอ่านนิยายเป็นชีวิตจิตใจ แต่ยังไม่รู้หรอกว่าเธอพัฒนาขึ้นมาอีกขั้น เอาไว้มีโอกาสเหมาะๆ ค่อยบอกอีกทีแล้วกัน
ร่างบางที่บนใบหน้าประดับด้วยแว่นสายตาหนาเตอะ ค่อยๆ หย่อนสะโพกลงบนเปลผ้าร่มสีแดงเลือดนก ก่อนจะเอนตัวลงนอนอย่างสบายอกสบายใจ แต่มือบอบบางยังไม่ทันจะได้เปิดหนังสือไปหน้าแรก เสียงเครื่องมือสื่อสารเคลื่อนที่ก็ส่งเสียงกรีดร้องรบกวนเวลาอันแสนสุขของเธอเสียก่อน
วันวิสาล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงขาสามส่วนมองหมายเลขที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นเบอร์สำนักพิมพ์ เธอจึงไม่ลังเลที่จะกดรับ
“น้ำขิงพูดค่ะ”
“น้องน้ำขิงมีคนโทรมา.ค่ะ เขาบอกว่ารูปที่เราใช้ทำเป็นปกนิยายเป็นรูปละเมิดลิขสิทธิ์น่ะค่ะ และเจ้าของก็ต้องการจะฟ้องร้องด้วยค่ะน้องน้ำขิงแต่พี่บอกกับเขาไปว่ารูปที่เราเอามาใช้เป็นรูปที่ถูกลิขสิทธิ์เพราะน้องน้ำขิงบอกว่าซื้อมาจากช่างภาพคนหนึ่งใช่ไหมคะ”
“ใช่ค่ะ น้ำขิงซื้อมาจากรุ่นพี่ค่ะ”
“ก็นั่นน่ะสิคะ แต่ทางนั้นเขาไม่ยอมค่ะ เขาจะฟ้องร้องให้ได้เลย”
ใบหน้าเรียวสวยที่ดูมีชีวิตชีวาในคราแรก ห่อเหี่ยวลงจนน่าใจหาย ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง “ไม่เป็นไรค่ะ น้ำขิงจะเป็นคนรับผิดชอบเอง จะไม่ให้สำนักพิมพ์เดือดร้อนเป็นอันขาดค่ะ ตอนนี้น้ำขิงกลับมาบ้านที่ต่างจังหวัด เอาไว้วันจันทร์น้ำขิงกลับไปทำงานน้ำขิงจะหาทางไปคุยกับเขาเองนะคะ”
“ไม่ได้ค่ะ เขาต้องการคุยวันนี้เลย ไม่อย่างนั้นวันจันทร์เขาจะยื่นเรื่องฟ้องค่ะ”
“อะ…อะไรนะคะ” โอ้ย…นี่มันเวรกรรมอะไรของเธอกันนะ อยากจะบ้าตาย
“เขาให้เบอร์โทร.มาแล้วค่ะ ให้น้องน้ำขิงโทร.หาเขาก่อนแล้วจะแจ้งสถานที่นัดพบกันอีกที พี่ส่งเบอร์ไปให้ทางไลน์แล้วนะคะ”
“ค่ะๆ ขอบคุณมากค่ะ”
“อ้อ…แล้วเขาก็บอกด้วยว่าวันนี้และห้ามเกินหกโมงเย็นนะคะ”
“ได้ค่ะ” วันวิสารับคำอย่างอ่อนแรง ใบหน้าเรียวที่ตอนนี้ชื้นไปด้วยเหงื่อก้มมองนาฬิกาแฟชั่นที่ประดับอยู่บนข้อมือเล็ก
บ่ายสองกว่าแล้ว!
วันวิสารีบกุลีกุจอกลับขึ้นไปบนบ้าน มือบอบบางเก็บของใส่กระเป๋าสะพายอย่างเร่งรีบ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสวมชุดกระโปรงแสนสุภาพแทน กว่าเธอจะเดินทางไปถึงก็เฉียดหกโมงเย็นพอดี เท้าเล็กก้าวลงบันไดอย่างเร่งรีบก่อนจะวิ่งเข้าไปหาบิดาและมารดาที่อยู่หลังบ้าน
“จะกลับแล้วเหรอลูก”
ดุจดาวมารดาของเธอเอ่ยถาม เมื่อเห็นลูกสาวอยู่ในท่าเตรียมพร้อมเสียขนาดนั้น และกระเป๋าสะพายก็อยู่บนหลังบอบบางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“นั่นน่ะสิลูก ทำไมถึงรีบกลับ” วิชาบิดาของวันวิสาอดที่จะถามบุตรสาวไม่ได้ เพิ่งจะมาถึงเมื่อวานแท้ๆ แต่วันนี้ดันรีบกลับเสียอย่างนั้น
“คือน้ำขิงมีงานด่วนจ้ะ” วันวิสาตอบไม่เต็มเสียง “ถ้าถึงแล้วน้ำขิงจะโทร.บอกนะจ้ะ ตอนนี้น้ำขิงรีบจริงๆ”
“ถ้างั้นก็ไปเถอะลูก ขับรถดีๆ ล่ะ” ดุจดาวได้แต่อวยพรให้บุตรสาวเพียงคนเดียวเดินทางปลอดภัย ท่าทางเร่งรีบเสียขนาดนั้นอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้
รถญี่ปุ่นกลางเก่ากลางใหม่คันสีขาวค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากบ้านเล็กแสนอบอุ่น รถยนต์คันนี้เป็นของบิดาของเธอซึ่งเก็บเล็กผสมน้อยประกอบกับบิดาของเธอเป็นคนประหยัด จึงได้รถคันนี้มาไว้ในครอบครองซึ่งมันก็ผ่านมาเกือบจะเจ็ดปีแล้วละ แต่สภาพของมันก็ยังถือว่าดีเยี่ยม และมันก็ตกเป็นของเธอในวันที่เธอเรียนจบปริญญาตรี ซึ่งบิดาตั้งใจมอบให้เป็นของขวัญ
ขณะเดินทาง ใบหน้าเรียวสวยก็เต็มไปด้วยความกังวล ก่อนจะเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเมื่อนึกถึงรุ่นพี่ชายคนหนึ่งของเธอ ปกติแล้วทางสำนักพิมพ์จะเป็นผู้ออกแบบปกหนังสือ แต่ก็จะถามจากนักเขียนว่าต้องการปกแนวไหน แต่ประจวบเหมาะกับรุ่นพี่คนนั้นมาเสนอขายภาพถ่ายให้เธอ บอกว่าถูกลิขสิทธิ์แน่นอน เธอจึงส่งต่อให้สำนักพิมพ์ ซึ่งก่อนจะจัดพิมพ์สำนักพิมพ์ก็ย้ำกับเธอแล้วว่าถูกลิขสิทธิ์แน่หรือเปล่า และเป็นเธอเองที่ย้ำว่าไม่มีปัญหา ทางสำนักพิมพ์จึงจัดการตามที่เธอบอก ปัญหาที่เกิดขึ้นเธอจะเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมด
แต่ไม่คิดเลยว่าจู่ๆ หน้าปกนิยายของเธอที่เพิ่งจะวางแผงไปได้ไม่ถึงสองสัปดาห์จะมีปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ภาพ
“ไอ้พี่ป๋องตัวแสบ น้ำขิงไม่ปล่อยพี่ไว้แน่!”
วันวิสาตะโกนลั่นอยู่ภายในรถ ก่อนจะเร่งระดับความเร็วเพิ่มขึ้นมาอีกนิด เพราะเกรงว่าจะไม่ทันเวลาที่อีกฝ่ายกำหนดไว้
เวลาหกโมงเย็นคือเส้นตายของเธอ
ถ้าไม่อย่างนั้นเธอคงได้ไปโชว์ตัวต่อหน้าศาลที่เคารพเป็นครั้งแรกอย่างแน่นอน!