ตอนที่ 8 หนูยิ้มขอโทษ
เหล่านักศึกษาต่างพากันให้ความสนใจเรื่องการสมัครเป็นแอมบาสเดอร์ของมหาวิทยาลัย เช่นเดียวกับหนูยิ้ม ในความจริงหนูยิ้มรู้มาก่อนแล้วว่าวาตะเป็นแอมบาสเดอร์ของมหาวิทยาลัยนี้
เธอตามข่าวของเขาไม่ได้เลยเพราะหนูยิ้มพบว่าเขาไม่เล่นโซเชี่ยล แต่อยู่ๆเธอก็ได้พบว่ามีโฆษณาของมหาวิทยาลัยโปรโมตออกอากาศทางโทรทัศน์และเวปไซด์ต่างๆ เธอจำวาตะได้ทันที
และจากนั้นเธอก็ค้นหาข้อมูลของมหาวิทยาลัยนี้เพื่อต้องการเข้าเรียนที่นี่แม้จะมีช่วงคาบเกี่ยวที่จะได้เจอเขาอีก 1 ปี เพราะเขาอยู่ปี 4 แล้ว
ด้วยความที่เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง ราคาค่าเทอมจึงแพงเอามากๆเธอตัดสินใจบอกพ่อแม่และเก็บเงินด้วยตัวเองเพื่อเป็นทุนการศึกษา และตั้งแต่ย้ายไปที่ จ.น่าน กิจการร้านข้าวขาหมู หมูแดง หมูกรอบ และข้าวมันไก่ ขายดีในทุกวัน ทำให้พ่อแม่มีเงินที่จะสามารถส่งหนูยิ้มเรียนที่นี่ได้
“โอ้โห หนูยิ้มนี่มันคุณสมบัติเหรอ ยังกะจะไปประกวดมิสเวิลด์” น้อยหน่าที่เห็นคุณสมบัติการสมัครเอ่ยโวยวายออกมาทันที ซึ่งต่างจากหนูยิ้มที่ตอนนี้เธอคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย เพราะจากที่เห็นคุณสมบัติพวกนี้เธอสามารถเป็นได้อย่างง่ายดาย
“นั่นสิ หนูยิ้มจะทำได้เหรอ นี่มีการใช้ภาษาด้วยนะ” ฝ้ายพูดพร้อมแสดงเหมือนตกใจออกมาเพราะตอนที่เรียน ม.ต้น ด้วยกันเรื่องภาษาอังกฤษเป็นปมหนึ่งที่หลายคนมักล้อเลียนหนูยิ้มว่าหน้าตาลูกครึ่งแต่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้
“พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง เรื่องภาษาแค่นี้หนูยิ้มเก่งอยู่แล้ว” น้อยหน่าเอ่ยสวนฝ้ายออกไปอย่างไม่ชอบใจ
น้อยหน้ารู้ดีว่าหนูยิ้มสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีเพราะเรียน ม.ปลาย มาด้วยกัน น้อยหน่าผู้ซึ่งไม่ไว้ใจฝ้ายเพราะหลายครั้งที่ฝ้ายนั้นพูดเหมือนแซะหนูยิ้มตลอด
“เอาเถอะ สมัครไปก่อนเถอะ เรื่องอื่นค่อยว่ากัน”
“ก็ได้” น้อยหน่าที่ถูกเพื่อนสนิทห้ามปราม มองหน้าของฝ้ายอย่างไม่พอใจ ก่อนหันมาสนใจใบสมัครเหมือนกับที่หนูยิ้มกำลังให้ความสนใจอยู่
หลังจากกรอกใบสมัครเสร็จ รุ่นพี่ก็ให้น้อง ๆ นักศึกษาแยกย้ายกลับบ้าน โดยในตอนนั้นหนูยิ้มพยายามมองหาวาตะ แต่ก็ไม่เจอที่สำคัญตอนนี้เอมี่ก็หายไปแล้วด้วย หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจ ไม่อยากคิดเลยว่าทั้งสองคนอาจจะไปด้วยกันแล้ว
“หนูยิ้ม”
“ห๊ะ ว่าไง” หนูยิ้มที่เหม่อมองหาใครบางคนอยู่เอ่ยออกมาก่อนจะหันกลับมามองใบหน้าเพื่อนสนิท
“มองหาอะไรอยู่เหรอ”
“เปล่านะ”
“งั้นกลับกันเถอะ”
ทางด้านของวาตะ เมื่อเขาเห็นว่าหนูยิ้มลงสมัครแอมบาสเตอร์ของมหาวิทยาลัยชายหนุ่มก็ไม่คิดจะพูดอะไรออกมา เพียงแต่เดินเลี่ยงหายออกไป โดยไม่บอกแม้แต่เอมี่ เขาไม่ได้ไปกับเอมี่นั่นเอง
“ไปไหนมา มึงไปไสมา” เพื่อนสนิทอย่างโจฮันที่พูดภาษาถิ่นบางครั้งเอ่ยถามวาตะที่อยู่ ๆ ก็เดินหายออกไปจากกลุ่ม ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้พวกเขากำลังทดสอบเครื่องกลอยู่เพื่อทำโปรเจคจบ
“ไปสูดอากาศมา”
“ไปสูดอากาศ อารมณ์ไหนว่ะเนี่ย” ธามขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างไม่อยากจะเชื่อในคำตอบของเพื่อนสนิท
“หึ…โผล่ไปงานประชุมรับน้องปี 1 มา มึงก็แค่พูดตรง ๆ” อคิณณ์มองออกว่าเพื่อนของตัวเอง ไปงานรับน้องมาเช่นกัน
“เชี่ย…กูแค่ไปเรื่องงานเท่านั้น ไปแจ้งเรื่องสมัครแอมบาสเดอร์ให้รุ่นพี่ไปบอกเด็กใหม่” วาตะที่ถูกเพื่อนจับได้ก็เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
“ก็แค่เนี่ยจะโกหกเพื่ออะไรครับ หรือมีเป้าหมายเฉพาะ กูว่าแม่นแท้ๆ” โจฮันยังคงเอ่ยแซวเพื่อนสนิทของเขาไม่หยุด
“เสือกจริง ๆ ตัวมึงเอาให้รอด” วาตะพูดจบก็หันไปสนใจเครื่องกลต่อ
หลังจากวันที่หนูยิ้มกรอกใบสมัครไป ตอนนี้รุ่นพี่ที่ดูแลรับผิดชอบเรื่องแอมบาสเดอร์ได้แจ้งให้คนที่สมัครไปคัดเลือกที่หอประชุม เพื่อแสดงความสามารถ ซึ่งวันนี้วาตะจะมาร่วมเป็นกรรมการคัดเลือกด้วยตัวเอง
“วันนี้ขอให้น้อง ๆ แสดงความสามารถให้เต็มที่นะคะ ส่วนเรื่องผล พี่จะประกาศให้ทราบวันศุกร์”
หลังจากรุ่นพี่ที่จัดงานแจ้งรายละเอียดเรื่องลำดับขั้นตอนการคัดเลือกให้กับน้อง ๆ เสร็จ การคัดเลือกก็เริ่มต้นขึ้น
หนูยิ้มแสดงทักษะของเธอให้คนอื่น ๆ ได้เห็น ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการพูดภาษาอังกฤษหรือแม้แต่การแสดงความสามารถด้านอื่น ๆ หนูยิ้มก็แสดงออกมาได้ดี ไม่ต่างจากเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ
แถมเรื่องรูปร่างหน้าตาของหนูยิ้มก็ค่อนข้างโดดเด่น เรียกว่าได้เปรียบเพราะหนูยิ้มเป็นสาวลูกครึ่งเครื่องหน้าจัดว่าครบเครื่อง หน้าตาความสวยไม่แพ้คนอื่นๆเลยทีเดียว
แต่ถึงอย่างนั้นหนูยิ้มจะมีคู่แข่งที่เก่งแทบทุกอย่างไม่ต่างจากหนูยิ้ม นั้นก็คือเอมี่ ผู้หญิงที่ใครๆต่างมองว่าเป็นผู้หญิงของวาตะ ซึ่งระหว่างการแสดงความสามารถทั้งวาตะและเอมี่ ทั้งสองก็มีการส่งสายตากันอยู่ตลอดเวลา
“หนูยิ้ม เก่งภาษาขนาดนี้เลยเหรอ ไม่น่าเชื่อเลยนะ” ฝ้ายเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้นเมื่อหนูยิ้มเดินเข้ามาหาเพื่อนอย่างน้อยหน่าซึ่งอีกฝ่ายยืนอยู่ ข้าง ๆ กับตัวเอง
“แล้วทำไม หนูยิ้มจะเก่งภาษาอังกฤษไม่ได้ ในเมื่อหนูยิ้มฝึกฝนมาตลอด” น้อยหน่าเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
“น้อยหน่า” หนูยิ้มเรียกเพื่อนสนิทพร้อมใช้มือของตัวเองจับลงที่ข้อมือเพื่อเป็นการเตือนสติไม่ให้มีเรื่อง
หนูยิ้มรู้ว่าฝ้ายหมายถึงเรื่องอะไร เพราะเธอเป็นลูกครึ่งก็จริง แต่เป็นลูกติดท้องของแม่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อเป็นใคร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นคนประเทศอะไร ดีที่พ่อเลิศชัยคนนี้ยอมรับและรักหนูยิ้มเหมือนลูกคนหนึ่ง
ซึ่งโรงเรียนเก่าหนูยิ้มโดนบูลลี่เรื่องนี้มาตลอด แต่หญิงสาวก็ไม่ได้สนใจ แถมยังพยายามพัฒนาด้วยตัวเองมาตลอด จนทำให้ตอนนี้หนูยิ้มเก่งภาษาอังกฤษมากกว่าเดิม
“เราก็แค่ถาม ทำไมต้องโกรธด้วยก็ไม่รู้” ฝ้ายที่ต้องการตอกย้ำปมของหนูยิ้ม ได้แต่มองทั้งสองเล็กน้อยพร้อมแสร้งทำให้หน้าเศร้าออกมา
“เดี๋ยวเรามานะ” หนูยิ้มเอ่ยออกมาก่อนรีบเดินเลี่ยงออกไป ทำให้น้อยหน่าที่ถูกทิ้งไม่ทันได้เอ่ยเรียกเพื่อนสนิท
หนูยิ้มที่เห็นว่าวาตะกำลังจะกลับหลังจากกิจกรรมจบลง ซึ่งชายหนุ่มต้องเดินไปทางด้านหลังหอประชุมเพื่อกลับคณะ หนูยิ้มจึงรีบเดินไปเพื่อดักรอ
“พี่วาตะ” วาตะตกใจไม่น้อยที่อยู่ ๆ หนูยิ้มก็โผล่ออกมาอย่างไม่ทันจะตั้งตัว
“ทำบ้าอะไรของเธอเนี่ย ตกใจหมด” วาตะตวาดใส่หนูยิ้มออกมา ทำให้เจ้าของใบหน้าสวยก้มหน้าลงอย่างสำนึกผิด
“คือหนู…”
“ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับเธอ” วาตะรู้ว่าหนูยิ้มมาดักรอเพราะอยากคุยกับเขา แต่เขาไม่อยากคุยกับเธอ
“แต่พี่วาตะคะ หนูยิ้มอยากขอโทษ หนูยิ้มขอโทษสำหรับเรื่องที่ผ่านมา” หนูยิ้มเอ่ยด้วยเสียงที่เบาลง จนสัมผัสได้ว่าตอนนี้คนตัวเล็กประหม่าแค่ไหน เธอเอ่ยออกไปทั้งที่ก้มหน้าไม่ยอมสบตาวาตะเอาเสียเลย
“ทำไมเงินที่ได้ไปไม่พอหรือไง หรือจะเอาอะไรอีก ฉันบอกเลยนะถ้าอยากได้อะไรอีก...อย่าฝัน” วาตะพูดจบก็เดินต่อทันทีเพราะไม่อยากเสียเวลากับผู้หญิงที่เคยหักหลังเขามาก่อน
หนูยิ้มที่เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังเดินไปโดยไม่คิดจะสนใจเธอเลย หญิงสาวจึงพุ่งเข้าไปโอบกอดวาตะจากทางด้านหลังทันที สองมือของหนูยิ้มโอบเอววาตะไว้แน่นพร้อมแนบหน้าลงบนแผ่นหลังหนาและเอ่ยขอโทษออกมาอีกครั้ง
“หนูยิ้มขอโทษ”