ตอนที่ 9 ไปหายใจไกลๆฉันก็พอ
วาตะตกใจไม่น้อยที่อยู่ ๆ ก็ถูกกอดด้านหลังจากคนตัวเล็ก ซึ่งเขาไม่คิดว่าหนูยิ้มจะกล้าทำถึงขนาดนี้เพราะอยู่ในมหาวิทยาลัย แต่ดีที่บริเวณนี้ไม่มีใครผ่านไปมา เพราะเป็นทางด้านหลังของหอประชุม
“หนูยิ้มขอโทษ พี่วาตะอย่าโกรธหนูยิ้มอีกเลยนะคะ” หนูยิ้มเอ่ยด้วยเสียงที่เศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่ได้ทำให้วาตะโกรธน้อยลง ทว่าความโกรธมันกลับพุ่งสูงขึ้นมากกว่าเดิม
“แค่คำขอโทษจากผู้หญิงที่หักหลังฉัน หึ เธอคิดว่ามันจะพอเหรอ” วาตะหันกลับมาเผชิญหน้าหนูยิ้มอีกครั้ง ก่อนเอ่ยออกมา
“หนูยิ้มรู้ว่ามันไม่พอ แต่เรื่องนั้นหนูยิ้มไม่รู้เรื่อง” หนูยิ้มเอ่ยขึ้น เพราะเรื่อง 4 ปีก่อนเธอเด็กเกินกว่าจะรู้เรื่องว่าพ่อและแม่เธอทำอะไรลงไป
“ไม่รู้เรื่องแต่เที่ยวพูดว่านอนกับฉัน จะแต่งงานกับฉัน พูดมาได้ไม่รู้เรื่อง” วาตะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่โกรธจัด
“เอ่อ” หนูยิ้มพูดไม่ออกเพราะทุกอย่างที่วาตะพูดออกมามันเป็นสิ่งที่หนูยิ้มเคยพูดแบบนั้น ในตอนนั้นเธอรู้ตัวเองว่ารักวาตะจริงๆแต่ไม่เคยถามความรู้สึกเขาก่อน
“ใช่สิ พ่อแม่เธอก็คงจะสอนให้เธอเที่ยววิ่งมาอ่อยผู้ชายคนอื่นแบบนี้อีกสินะ” วาตะบอกออกมาอย่างดูแคลนหนูยิ้ม
“พี่วาตะ…พี่จะว่าจะด่าอะไรหนูยิ้มก็ได้ แต่อย่าว่าอย่าด่าพ่อกับแม่เลย ส่วนเรื่องเงินหนูยิ้มจะหามาคืนให้พี่นะคะ”
“แค่คืนเงินเธอคิดว่าฉันจะให้อภัย ฝันไปเถอะ อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก” วาตะพูดจบก็ดึงแขนของหนูยิ้มที่กอดเขาอยู่ออกไปและเดินไปไม่หันหลังกลับมามองหนูยิ้มเพื่อเดินตรงจะกลับไปยังคณะของตัวเองทันที
“งั้นพี่อยากจะให้หนูยิ้มทำอะไร หนูยินดีรับโทษทั้งหมด” หนูยิ้มตะโกนไล่หลังคนที่ไม่แม้แต่จะหันกลับมามองตัวเอง เธอที่รู้ว่าวาตะยังโกรธตัวเองอยู่และน่าจะโกรธมาก ๆ ด้วย
“ผู้หญิงอย่างเธอ ไม่มีค่าพอที่จะเอาเข้ามาให้ชีวิตฉันหรอก ไปหายใจไกลๆฉันก็พอ” วาตะพ่นคำพูดที่บั่นทอนความรู้สึกหนูยิ้มออกมาก่อนเดินจากไป
หนูยิ้มถอนหายใจออกมา ก่อนจะเดินกลับไปทางหอประชุม ซึ่งตอนนี้น้อยหน่ายังคงยืนรอหญิงสาวด้วยท่าทีร้อนใจ
“ไปไหนมา” น้อยหน่าเอ่ยถามขึ้น เมื่อเห็นว่าเพื่อนของเธอกำลังเดินเข้ามาหาตัวเอง
“ไปคุยกับพี่วาตะมา”
“แล้วพี่เขาว่ายังไงบ้าง” น้อยหน่าเอ่ยถามอย่างลุ้น ๆ
“พี่วาตะโกรธเรามากเลย ไม่แม้แต่จะมองหน้าเราแต่เราไม่ถอดใจหรอกน้อยหน่า”
“ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวค่อย ๆ ง้อไป” น้อยหน่าเอ่ยอย่างปลอบใจเพื่อนสนิท ถึงแม้ว่าจะยังไม่รู้เรื่องลึกๆของเพื่อนก็ตาม เธอได้แต่ให้กำลังใจหนูยิ้มเพราะตลอดระยะเวลาที่เรียน ม.ปลาย ด้วยกัน หนูยิ้มจะบอกเสมอว่าตัวเองมีคนที่รักอยู่แล้วแต่เขายังโกธรเธออยู่
วันศุกร์สุดสัปดาห์
แม้เวลานี้จะเป็นเวลาบ่ายของวัน แต่กลับไม่มีแสงแดดให้เห็นเหมือนอย่างเช่นทุกวัน มีเพียงท้องฟ้าที่มืดครึ้มยังไม่มีเม็ดฝนลงมาแต่เตรียมตั้งท่าจะตกมาแต่ไกล
ซึ่งวันนี้เป็นวันประกาศรายชื่อของผู้ที่จะถูกคัดเลือกให้เป็นแอมบาสเดอร์ของมหาวิทยาลัย และในการตัดสินการแสดงความสามารถในรอบแรกหนูยิ้มผ่านการคัดเลือก
“หมายความว่าไง คัดเลือกสองคน ทั้ง ๆ ที่ได้ถ่ายแบบคู่กับพี่วาตะคนเดียว” น้อยหน่าเอ่ยถามหนูยิ้มอย่างไม่เข้าใจ หลังจากได้รู้กฎจากรุ่นพี่
“กันเป็นตัวสำรองไงแต่อีกคนก็ยังได้ถ่ายคู่กับนักศึกษาชายอีกคนนะคะ ”
“งั้นก็ล็อกมงไปเลย ประกาศชื่อไปเลย ทำอย่างกับไม่มีใครรู้ว่าใครจะได้” น้อยหน่าเอ่ยอย่างไม่ชอบใจ เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ที่มองดูก็รู้ว่าใครจะได้
“อาจจะเป็นเราก็ได้” หนูยิ้มบอกอย่างให้กำลังใจตัวเอง
“สำรองแล้วจะหวังอะไรได้…เห้ย เราขอโทษ” น้อยหน่าที่พลั้งปากพูดออกไปอย่างไม่คิดเมื่อมองดูหน้าหนูยิ้มที่เจื่อนลงไป น้อยหน่าจึงเอ่ยขอโทษหนูยิ้มออกมา
“ช่างมันเถอะ เราก็ทำให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง ”
“จ้า เป็นกำลังใจให้หนูยิ้มเสมอนะ”
“เดี๋ยวเรามานะ พี่วาตะมาโน้น...ไปขอกำลังใจก่อนนะ”
ไม่ทันได้พูดจบประโยค เป็นหนูยิ้มที่วิ่งเข้าไปทักทายวาตะที่กำลังเดินเข้ามาให้ห้องประชุมเพื่อทำการคัดเลือกแอมบาสเดอร์วันสุดท้าย
“พี่วาตะ วันนี้พี่อย่าลืมเชียร์หนูยิ้มด้วยนะคะ” หนูยิ้มเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นวาตะกำลังเดินเข้ามาภายในหอประชุม โดยเธอวิ่งมาดักรอก่อนสักครู่ด้วยเสียงทักที่สะกดความหอบเหนื่อยไว้
“ทำไมฉันต้องเชียร์เธอ” วาตะเอ่ยออกมาด้วยความเฉยชา น้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ไม่เชียร์ก็ได้ แต่วันนี้หนูยิ้มจะทำให้เต็มที่และต้องได้ยืนถ่ายรูปคู่กับพี่วาตะค่ะ” คำพูดของหนูยิ้มเป็นเหมือนการประกาศ ว่าหญิงสาวต้องได้ที่หนึ่ง หรือไม่ก็ต้องเป็นตัวสำรองเพื่อจะถ่ายรูปกับวาตะ
“มั่นหน้าไปหรือเปล่า…พี่วาตะเชียร์เอมี่ด้วยนะคะ” เอมี่มองหนูยิ้มอย่างไม่ชอบใจ ก่อนที่จะหันไปเอ่ยอย่างออดอ้อนวาตะ
“พี่ไม่ลืมเชียร์แน่นอน วันนี้ยังไงเอมี่ก็เต็มที่นะ” วาตะพูดอย่างไม่สนใจว่าหนูยิ้มจะคิดอย่างไร พร้อมทั้งยังเอื้อมมือไปปัดปรอยผมของเอมี่เหมือนที่เคยทำให้หนูยิ้มเมื่อครั้งอดีต ท่าทีของทั้งสองคน ทำให้หนูยิ้มแทบอยากจะวิ่งหนีออกไป เพื่อหลบหลีกภาพบาดตาบาดใจ
จากนั้นทั้งวาตะและเอมี่ก็เดินเข้าหอประชุมไปพร้อมกัน เหลือเพียงหนูยิ้มที่ยืนมองทั้งสองคนอยู่
“ไหวไหม” น้อยหน่าเอ่ยถามพร้อมเดินเข้ามาประคองเพื่อนของตัวเอง
“ไหวสิ ทำไมจะไม่ไหว” แต่ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะได้พูดคุยกันมากไปกว่านั้น
“หนูยิ้ม” เสียงที่ดังเรียกความสนใจของสองสาวให้หันไปมองในทันที ซึ่งไม่ได้มีแค่ทั้งสองคนเท่านั้น เพราะวาตะก็หันไปมองคนที่เรียกหนูยิ้มเช่นกัน
“เจเจ มาได้ไง” หนูยิ้มเอ่ยด้วยความดีใจ เมื่อได้เจอเพื่อนสนิทของตัวเองอีกครั้ง
“เรามาเรียนคณะเศรษฐศาสตร์ที่นี่ พอได้ยินว่ามีคนชื่อหนูยิ้มลงแข่งแอมบาสเดอร์เราเลยรีบมาดู”
“นายจะไปดูทุกคนที่ชื่อหนูยิ้มไม่ได้นะ” น้อยหน่าเอ่ยแซวเพื่อนของตัวเองที่แอบชอบหนูยิ้มมาตั้งแต่สมัยเรียน
“น้อยหน่า เราไม่ได้ตามไปดูทุกคนว่าแต่เธอเถอะ รู้ว่าหนูยิ้มมาเรียนที่นี่ไม่บอกเราสักคำ”
“ทำไมหนูยิ้มต้องบอกนายด้วยล่ะ”
“ฝากไว้ก่อนเถอะน้อยหน่า” เจเจมองน้อยหนาอย่างคาดโทษ
“เลิกเถียงกันได้แล้วเพื่อนๆ” หนูยิ้มเอ่ยห้ามทั้งสองที่เอาแต่เถียงกันไปมา
“เราเข้าหอประชุมไปก่อนนะ จะถึงเวลา”
“เดี๋ยวสิ…” เจเจไม่เพียงแต่เรียกคนตัวเล็กเท่านั้น เพราะเขายังจับมือของหนูยิ้มเอาไว้ ซึ่งการกระทำนั้นทำให้คนที่มองดูอยู่กัดกรามเข้าหากันแน่นอย่างไม่พอใจ
“ว่าไงเจเจ”
“สู้ ๆ นะ” หนูยิ้มพยักหน้ารับก่อนเดินลงไปที่เวทีเพื่อจะเตรียมตัวในการแสดงความสามารถรอบคัดเลือก
“ขอบใจนะเจเจ”
หนูยิ้มผละจากเพื่อนสองคนเพื่อเดินเข้าไปหอประชุมและสายตาก็บังเอิญสบตาของวาตะที่จ้องเขม็งมาที่เธอ หนูยิ้มรับรู้ได้ทันทีว่าสายตาคมคู่นั้นไม่ชอบใจแน่ๆและคิดในใจอย่างเข้าข้างตัวเอง
‘พี่ยังไม่ลืมหนูยิ้ม พี่วาตะยังหวงหนูยิ้มอยู่’