ตอนที่ 1 ลูกไม่รักดี
@บ้านโชติกุลวงศ์
เสียงเจ้าของบ้านที่ดังสนั่นจากการทะเลาะกับลูกชายคนเล็ก ทั่วทั้งบ้านเกิดความโกลาหลเมื่อ ดร.ทศพล และ ดร.เพ็ญประภา เพิ่งกลับมาจากสถานีตำรวจเพื่อไกล่เกลี่ยเรื่องของลูกชายคนเล็กและรับตัวจากสถานีตำรวจกลับบ้าน
“ฉันเคยบอกแกกี่ครั้งแล้ว ห้ามแกไปยุ่งกับเพื่อนแบบนั้น แล้วเป็นไงงามหน้าไหม” เสียงตวาดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้คนที่ถูกตำหนิได้แต่ก้มใบหน้าลงอย่างไม่กล้าเงยใบหน้าขึ้นสบสายตาของผู้เป็นพ่อ
“ผมไม่ได้ไปเพื่อตั้งใจจะทำแบบพวกนั้นจริง ๆ นะครับ” วาตะ เด็กหนุ่มในวัย 18 ปี เอ่ยขึ้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนวันนี้เขาไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น เขาเพียงแค่ไปงานปาร์ตี้ฉลองงานวันเกิดของเพื่อนเท่านั้น แต่ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้
งานฉลองวันเกิดแต่กลับมีตำรวจบุกเข้ามาเพื่อทลายปาร์ตี้ยาเสพติดของกลุ่มลูกหลานไฮโซและหลังจากนั้นทุกคนในงานปาร์ตี้ก็ต้องไปตรวจปัสสาวะที่สถานีตำรวจ
“ไหน ๆ เรื่องนี้ก็จบไปแล้ว ช่างมันเถอะคุณ” เพ็ญประภา โชติกุลวงศ์ หรือที่ใคร ๆ ก็รู้จักเธอในนามของ ดร.เพ็ญประภา เอ่ยบอกสามีพร้อมเดินเข้าไปหาลูกชายของเธอ
“คุณก็ให้ท้ายมันจนเสียคน ยังไงเรื่องนี้ก็ต้องสั่งสอนมันบ้าง” ดร.ทศพล โชติกุลวงศ์พ่อของเด็กหนุ่มเอ่ยด้วยความโมโห
จะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไร เมื่อลูกชายของเขาเล่นไปถูกตำรวจจับเพราะมั่วสุมปาร์ตี้ซึ่งในงานมีทั้งวัยรุ่นที่อายุไม่ถึง 20 ปี และมีทั้งเรื่องเพศ เรื่องยา ลูกชายของเขาอยู่กับเพื่อน ๆ ที่เพิ่งพากันเรียนจบมัธยมปลาย แม้ว่าเจ้าตัวจะพยายามปฏิเสธมาแค่ไหนก็ตามว่าไม่ได้เป็นคนทำเรื่องทั้งหมด แต่เขาก็ไม่อาจจะเชื่อได้ ยังโชคดีที่ผลตรวจปัสสาวะปกติ
“เอาเลยครับพ่อจะทำอะไรก็เอาเลย” วาตะ โชติกุลวงศ์ ลูกชายคนคนเล็กของ ดร.เพ็ญประภาและ ดร.ทศพล เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง เขาไม่หวังว่าคนอื่นจะเชื่อสิ่งที่พูด แต่หวังให้พ่อและแม่เชื่อสักครั้งว่าเขาไม่ได้เป็นคนตั้งใจไปทำแบบนั้น
วาตะพูดจบก็วิ่งตรงขึ้นไปยังชั้นสองของบ้านเพื่อไปยังห้องนอนของตัวเอง เขาเองก็นึกว่าเป็นเพียงงานเลี้ยงวันเกิดของเพื่อนและควบกับงานฉลองจบการศึกษามัธยมปลายเท่านั้น
“วาตะ ลูก วาตะ” เพ็ญประภาเอ่ยเรียกลูกชายของเธอที่อยู่ ๆ ก็ขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน
หลังจากเรื่องนี้เกิดขึ้นข่าวทุกช่องออกข่าวเกี่ยวกับการจับกุมปาร์ตี้ยาของกลุ่มไฮโซวัยรุ่น แม้ว่าวาตะจะถูกตำรวจจับไปพร้อมกับเพื่อนแต่เขาไม่ได้เสพจึงถูกปล่อยตัวออกมา และตั้งแต่วันที่ทะเลาะกับพ่อแม่ เขาก็เอาแต่เก็บตัวเงียบไม่ยอมไปไหน จนเวลาล่วงเลยมาเกือบอาทิตย์
“การที่แกเอาแต่อยู่ในห้องมันไม่ได้ทำให้แกจะรอดจากการถูกลงโทษได้หรอกนะ” ทศพลพูดขึ้นเมื่อลูกชายของเขาเดินลงมาจากชั้นบนของบ้าน
“งั้นก็ลงโทษเลยครับ ส่งผมให้ตำรวจเลยก็ได้ ถ้าพ่อคิดว่าผมทำผิด”
“อย่ามาประชดฉัน แกมันลูกไม่รักดี” ทศพลพูดขึ้นด้วยความโมโหพร้อมเอาแต่มองคนที่ท้าทายเขา
“ผมไม่ได้ประชด พ่อก็พูดว่าผมมันเลวเลยสิ”
“แกนี่มันจริงๆเลย”
“พอเถอะคุณ ส่วนวาตะ พ่อกับแม่ตกลงจะให้ลูกไปอยู่ที่บ้านยายที่สระแก้วสักพัก”
“อะไรนะ ให้ผมไปอยู่กับยาย” วาตะเอ่ยถามอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน บ้านของยายอยู่ห่างจากกรุงเทพเกือบ 300 กิโลเมตร แถมยังเป็นชนบทอีกต่างหาก ห่างไกลความเจริญแบบขั้นสุด ตอนนี้ไม่รู้ว่ามีไวไฟเข้าหรือยัง
“ใช่ ฉันจะให้แกไปอยู่ที่นั่น เตรียมตัวด้วยพรุ่งนี้ฉันกับแม่แกจะไปส่งที่นั่น แล้วอยู่กับยายทำตัวดีๆ ปรับปรุงตัวเอง ช่วยงานอะไรได้ก็ช่วย”
“ครับ” วาตะตอบออกมาอย่างไม่มีทางให้เลือก ถึงแม้เขาจะไม่อยากไปแต่ก็ยังดีกว่าที่จะต้องอยู่บ้านในช่วงนี้อยู่ดี
วันต่อมา
14.00 น.
การเดินทางที่แสนยาวนานได้สิ้นสุดลงเมื่อรถยนต์ของทศพลและครอบครัวได้เคลื่อนตัวเข้ามาภายในบ้านของคุณยายนวลจันทร์แม่ของเพ็ญประภา
“ลงมาได้แล้ว” ทศพลเดินมาเปิดประตูให้กับลูกชายที่เอาแต่นั่งอยู่บนรถไม่ยอมลงมาจากรถ
วาตะพยายามมองสำรวจที่นี่อย่างเพ่งพิจารณาแม้ว่าจะไม่ได้มีสภาพที่แย่เหมือนเมื่อตอนที่เขามาครั้งล่าสุดเมื่อสองปีที่แล้ว แต่สำหรับเด็กในเมืองแบบเขาก็ไม่ได้ดีใจ เลยสักนิด วาตะมาบ้านยายหลายครั้งแแล้วและปีที่แล้วเขาบ่ายเบี่ยงเพราะไม่อยากมา แต่ตอนนี้ไม่คิดว่าจะได้มาอยู่ที่นี่
“นั่นวาตะเหรอลูก” ยายนวลจันทร์เอ่ยเรียกหลานชายที่เพิ่งลงจากรถ
“ครับ คุณยาย สวัสดีครับ” วาตะยกมือไว้หญิงชราด้วยความนอบน้อม ก่อนเดินเข้าไปยังบ้านของผู้เป็นยาย
“เป็นไงมาไง ถึงพากลับมาที่นี่” ยายนวลจันทร์เอ่ยถามลูกเขยกับลูกสาวโดยเธอลอบมองไปยังหลานชายของเธอ
“ไปก่อเรื่องเอาไว้ครับคุณแม่ ผมเลยเอามาดัดนิสัย กะจะให้อยู่ที่นี่สักปี” ทุกครั้งที่ทศพลพูดเรื่องที่ลูกชายของเขาทำผิด เขามักจะหงุดหงิดอยู่ตลอดเวลา
“แล้วเรื่องเรียนละ”
“คงต้องให้หยุดไปก่อนสักปี ยังไงหนูฝากวาตะไว้กับแม่หน่อยนะคะ”
“ได้ ๆ ยังไงก็อย่าให้มันนานมาก เดี๋ยวจะเป็นเรื่องเอา ลูกจะเตลิดไปมากกว่านี้ ” ยายนวลจันทร์ยังคงเตือนสติสองสามีภรรยา ด้วยความที่ลูกสาวโทรมาบอกเล่าถึงสถานการณ์ก่อนหน้านั้นแล้ว
คุณยายเองเป็นคุณครูมาก่อน เรื่องนี้คงทำให้วาตะน้อยใจไม่น้อย ด้วยพี่ชายพอเรียนจบมัธยมปลายก็ได้ไปเรียนต่อต่างประเทศตามที่พี่ชายต้องการ แต่ตัวเองกลับต้องมองอยู่นอกเมืองแบบนี้แทน
คุณยายอาศัยอยู่ที่สระแก้วกับจันทราลูกสาวคนโตและครอบครัวแต่ไม่ได้อยู่บ้านหลังเดียวกันแต่ปลูกบ้านอยู่ห่างกันไม่กี่ถึง 300 เมตร
หลังจากพ่อและแม่ของเด็กหนุ่มมาส่งเขาเสร็จ ก็พากันกลับโดยไม่ได้บอกลาวาตะเลยสักครับ ไม่ค้างสักคืน แม้ว่าวาตะจะไม่ได้แสดงออกว่าตัวเองน้อยใจ แต่ลึก ๆ เขาก็เสียใจกลับเรื่องนี้ไม่น้อย
วาตะได้แต่มองรถยนต์ของพ่อและแม่เคลื่อนตัวออกไปจากบ้านของยายอยู่ใต้ต้นมะม่วงหน้าบ้าน โดยไม่ได้คิดจะเรียกหรือทำอะไรเลย วาตะมองจนรถวิ่งไปลับสายตา น้ำตาก็คลอสองตาคมของเขา ใบหน้าหวานของวาตะดูเศร้าอย่างปิดไม่มิด
“พี่ชาย พี่คะ”
“เรียกฉันเหรอ” วาตะชี้มาที่ตัวเองพร้อมมองใบหน้าของเด็กสาวซึ่งเธอมัดผมเป็นทรงหางม้า พร้อมกับใส่ชุดนักเรียนมัธยมต้น
วาตะรีบสลัดความเศร้าทั้งหมดออกไปไม่ให้เด็กสาวได้เห็นเขาน้ำตาคลอเบ้า
“ใช่ค่ะ พี่ช่วยเก็บบอลให้หนูหน่อยได้ไหมคะ อย่าให้ยายนวลจันทร์เห็นนะคะ” เด็กสาวพูดพร้อมทำท่าแอบที่รั้วบ้านของวาตะ
“วาตะมีอะไรหรือเปล่า” เสียงของหญิงชราดังออกมาเมื่อเห็นว่าหลานชายทำเหมือนกำลังคุยอยู่กับใคร
“เปล่าครับยาย”
“ถ้าจะเข้าบ้านยายฝากปิดประตูรั้วด้วย”
“ได้ครับ…อ้ะนี่” วาตะยืนมองจนแน่ใจว่ายายเดินเข้าบ้านไปแล้ว เขาก็ยืนลูกบอลให้เด็กสาว
“ขอบคุณนะคะ”
“อืม ไม่เป็นไร”
“เดี๋ยวสิ พี่ชื่ออะไรคะ หนูชื่อหนูยิ้มนะคะ”
“วาตะ พี่ชื่อวาตะ” วาตะมองหน้าเด็กสาวแต่ต้องสะดุดตากับนัยย์ตาสีฟ้าอ่อนสว่าง เมื่อเขาพูดจบก็เดินเข้าบ้านไป ไม่ต่างจากเด็กสาวที่วิ่งออกจากประตูบ้านยายนวลจันทร์เพื่อไปเล่นต่อ และเธอมีความคิดในใจว่า
“พี่ชายคนนี้หล่อจังเลย”