ตอนที่ 2 เพื่อนคนเดียว
นับตั้งแต่ที่วาตะย้ายมาอยู่ที่บ้านของยายนวลจันทร์ ตอนนี้ระยะเวลาก็ผ่านมาจะครบอาทิตย์แล้ว พ่อกับแม่ของเขายังไม่มีการโทรมาถามไถ่ชีวิตของลูกชายที่เอามาทิ้งไว้กับยาย แถมวาตะก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ที่บ้านไม่ออกไปไหน
“วาตะ ยายจะออกไปซื้อกาแฟกับปาท่องโก๋ เอาน้ำเต้าหู้ไหมลูก” ยายนวลจันทร์เอ่ยถามหลานชายที่เพิ่งเดินลงมาจากชั้นบนของบ้าน
“เดี๋ยวผมไปซื้อให้เองครับ” วาตะเอ่ยอาสาเพราะมันต้องเดินออกไปไกลพอสมควร แม้ว่ายายของเขาจะแข็งแรง แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ส่วนเขามีรถมอเตอร์ไซค์คันใหม่ที่พ่อยังซื้อส่งมาไว้ให้ใช้
“นี่เงินนะลูก อยากกินอะไรก็ซื้อมาเลย” ยายนวลจันทร์ไม่คิดจะปฏิเสธความหวังดีของหลานชาย เพราะเธอไม่อยากให้วาตะอยู่แต่เพียงในบ้าน
“ครับ”
วาตะเดินออกมาจากบ้านเพื่อตรงไปยังร้านกาแฟซึ่งจะเปิดเฉพาะช่วงเช้าให้คนในหมู่บ้านได้มานั่งดื่มและพูดคุยกัน คล้าย ๆ สถานที่ที่หลายคนในพื้นที่ต่างจังหวัดเรียกว่า สภากาแฟของผู้สูงวัย
“พี่ชาย!” เสียงหวานของเด็กสาวที่มัดผมหางม้าที่กำลังช่วยแม่ของเธอหยิบปาท่องโก๋ใส่ถุงเอ่ยเรียกวาตะออกมา
“รู้จักกันเหรอลูก” แม่ของเด็กสาวเอ่ยถามลูกสาว เธอไม่เคยเห็นวาตะมาก่อนจึงไม่รู้ว่าลูกสาวของเธอจะรู้จักอีกฝ่าย
“พี่ชายเป็นหลานยายนวลจันทร์ค่ะ เพิ่งมาจากกรุงเทพ” ณภาดา นวลศจี หรือ ที่ใคร ๆ ก็เรียกกันว่าหนูยิ้ม เอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เธอส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรให้กับวาตะ
“อ๋อ หลานป้านวลจันทร์ที่เอง เอาอะไรเหรอพ่อหนุ่ม” แม่ของหนูยิ้มเอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นว่าวาตะไม่คิดที่จะเอ่ยสั่งอะไรออกมา
“กาแฟร้อน 1 ถุง ปาท่องโก๋ 30 และก็น้ำเต้าหู้ไม่ใส่เครื่อง 2 ถุงครับ” วาตะเอ่ยสั่งอย่างตะกุกตะกัก เพราะนี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้ออกมาจากบ้านเพื่อพบปะผู้คนในสังคมใหม่ โดยออเดอร์ที่เขาสั่งเป็นสิ่งที่ยายซื้อกลับบ้านในทุกวัน
“ได้เลยค่ะ” หนูยิ้มเอ่ยขึ้นก่อนจะเริ่มจัดของตามที่วาตะต้องการ
“พี่ชายชื่ออะไรเหรอคะ หนูยิ้มลืมค่ะ”
“วาตะ พี่ชื่อวาตะ”
“ชื่อเหมือนคนญี่ปุ่นเลย ทำไมถึงชื่อนี้แปลกจัง” หนูยิ้มเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
“เธอก็หน้าลูกครึ่งแต่ชื่อหนูยิ้ม มันไม่แปลกกว่าเหรอ ตาก็สีฟ้าอีกต่างหาก” คำพูดของวาตะทำให้หนูยิ้มเงียบลงทันทีและสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างถนัด เพราะเรื่องหน้าตาของเธอที่เป็นลูกครึ่ง มันเหมือนเป็นปมในใจ หนูยิ้มถูกล้อมาตั้งแต่เด็กว่าเป็นเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยง บ้างก็คาดการณ์ว่าแม่จะถูกพ่อฝรั่งทิ้งมาก่อน หนักสุดก็ว่าแม่ไปมีชู้จนตั้งท้องกับฝรั่ง อย่างไรแม่ของเธอก็ถูกว่าในทางเสียหาย ทำให้หนูยิ้มไม่ชอบให้ใครพูดถึงหน้าตาลูกครึ่งของเธอ
แต่ก่อนนี้เธอก็ร้องขอแม่ให้ย้อมผมสีดำ ขอใส่คอนแทคเลนส์สีดำหรือน้ำตาลเข้มไปโรงเรียนเพราะไม่อยากให้เพื่อนล้อ เนื่องจากเป็นชนบททำให้เด็กวัยเดียวกันหลายคนมองเธอแปลกแยกไป
“อ้ะ...นี่เงิน” วาตะไม่รู้ว่าเด็กสาวตรงหน้าเป็นอะไรไป แต่เขาก็ไม่ได้คิดใส่ใจเธอมากขนาดนั้น เขาพูดในสิ่งที่เขามองเห็นว่าเป็นเรื่องจริง และเพราะเขามาจากสังคมที่เปิดกว้าง
หลังจากวันที่วาตะอาสาไปซื้อปาท่องโก๋ให้ยายนวลจันทร์ในวันนั้นเขาก็รับหน้าที่นั้นมาตลอด และทำให้วาตะกับหนูยิ้มได้พูดคุย ทำความรู้จักและสนิทสนมกันมากขึ้น
ซึ่งทั้งสองไม่ได้เพียงแค่เจอกันที่ร้านกาแฟเท่านั้น แต่วาตะอาสาไปรับไปส่งหนูยิ้มที่โรงเรียน ในตอนนี้หนูยิ้มยังเรียนอยู่ ม.3 เพราะเขาไม่มีอะไรจะทำ วัน ๆ จะให้เขาอยู่แต่บ้านเขาก็แสนเบื่อ
ทั้งคู่สนิทกันมากขึ้นจนในหมู่บ้านหรือเพื่อนของหนูยิ้มคิดว่าทั้งสองคนคบกันแต่ในความจริงทั้งคู่ยังไม่ได้มีการตกลงคบกันแต่อย่างใด
“จะไปไหนอีกแล้วลูก” ยายนวลจันทร์เอ่ยถามหลานชายที่เดินไปหยิบกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ทั้ง ๆ ที่วันนี้เป็นวันหยุดทำให้วาตะไม่ต้องไปรับไปส่งหนูยิ้ม
“ผมจะไปรับหนูยิ้มไปขับรถเล่นครับ”
“วัน ๆ ก็ขลุกอยู่กับน้องคนนั้นไม่คิดจะทำอะไรเลยหรือไงลูก” แม้ว่ายายนวลจันทร์จะไม่ชอบพ่อและแม่ของหนูยิ้มแต่เพราะลูกสาวบ้านนั้นเป็นเพื่อนคนเดียวของหลานชาย เธอเลยไม่อยากจะทำให้หลานชายเสียใจถ้าจะไม่ให้ทั้งสองเข้าใกล้กัน
“ก็มันไม่มีอะไรทำเลยครับ”
“อย่างนั้นก็ระวังตัวด้วย รถก็อย่าไปขับเร็วมาก เดี๋ยวพาลูกเขาล้มจะเป็นเรื่องเอา”
“ครับ”
“อีกอย่างนะลูก ที่นี่ไม่เหมือนที่กรุงเทพ เวลากับไหนมาไหนกับเด็กสาวคนนั้น คนเขาจะมองในทางเสียหายเอา ยายเป็นห่วงนะลูก”
“ไม่มีอะไรครับยาย”
เมื่อวาตะฟังคำของยายตัวเองเสร็จ เขาก็เดินมาหารถมอเตอร์ไซค์คันโปรดของตัวเอง วาตะขึ้นค่อมและขับออกไป
ตอนนี้กลายเป็นว่าทั้งสองตัวติดกัน บางคนมองว่าเป็นหนุ่มแว๊นกับสาวสก๊อยที่มักจะซ้อนท้ายกันไปที่นั่นที่นี่ให้ผู้คนเห็นประจำ บางครั้งมีงานเทศกาลรถแห่ทั้งสองคนก็ออกมาเต้นตามงานสนุกสนานตามประสาวัยรุ่น
วาตะเริ่มรู้สึกว่าชีวิตของเขาไม่ได้จมอยู่แต่เรื่องของพ่อแม่แล้ว เขามีชีวิตที่มีสีสันมากขึ้น ได้พูดคุย ได้หัวเราะมาขึ้น หนูยิ้มเหมือนเป็นเพื่อนคนเดียวของเขาเลยก็ว่าได้
“หนูยิ้ม…” วาตะขับรถมาจอดหน้าบ้านของณภาดาซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ณภาดากำลังรดน้ำต้นไม้อยู่
“พี่วาตะ” เด็กสาวเรียกอีกฝ่ายด้วยความดีใจ เธอไม่คิดว่าเด็กหนุ่มจะมาหาเธอแบบนี้
“ไปขี่รถเล่นกัน”
“เอ่อ หนูยิ้มไปขอแม่ก่อนนะคะ” วาตะพยักหน้าให้เด็กสาวที่วิ่งเข้าไปภายในบ้านด้วยความเร็ว
วาตะรอเพียงไม่นานหนูยิ้มก็วิ่งออกมาจากบ้านด้วยความเร็ว หลังจากได้รับอนุญาตจากผู้เป็นแม่กับพ่อ
“ลูกสาวไอ้เลิศชัยเนี่ยมันนิสัยเหมือนแม่มันจริง ๆ ไปกับคนโน้นที่คนนี่ที เดี๋ยวได้ใจแตก” ป้าสองคนที่อยู่ข้าง ๆ บ้านของหนูยิ้มเอ่ยขึ้นทั้ง ๆ ที่หนูยิ้มกับวาตะยังไม่ได้ขับรถออกไป
“นั่นสิ เดี๋ยวก็ท้องป่องหาพ่อไม่ได้เหมือนแม่มัน”
“หนูยิ้มจะเป็นยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องของพวกป้าสองคน เอาเวลาไปหาเงินมาส่งดอกยายนวลจันทร์ดีกว่ามายืนนินทาเรื่องคนอื่นดีกว่านะครับ” วาตะเอ่ยว่าอย่างหมดความอดทนจึงตอบกลับไป เพราะเขามาเก็บดอกเบี้ยให้ยายนวลจันทร์บ่อยครั้ง ในตลาดเขารู้หมดว่าใครเป็นหนี้ยายนวลจันทร์บ้าง ก่อนจะขับรถมอเตอร์ไซค์ออกมา
“หนูยิ้มอย่าไปคิดมากกับคำนินทาที่พวกนั้นพูดเลยนะ”
“ค่ะ หนูยิ้มชินแล้ว” หนูยิ้มเอ่ยตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ทำให้วาตะสบายใจไม่น้อย
วาตะและหนูยิ้มเป็นเพื่อนเล่นกันและไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด แต่เสียงเล่าลือของทั้งสองภายในหมู่บ้านก็ไม่ได้ไปในทางที่ดี แต่ยายนวลจันทร์ของวาตะก็ไม่ได้ว่าอะไรหลานชาย เพราะวาตะไม่ได้ทำอะไรเสียหาย
แม้แต่จะพาหนูยิ้มเข้ามาในบ้านตอนที่ยายไม่อยู่ยายนวลจันทร์ก็ไม่เคยดุด่าว่ากล่าววาตะ ทำให้นวลจันทร์ค่อนข้างไม่สนใจที่คนอื่นพูด แต่หญิงชราก็มักจะบอกให้หลานชายของเธอระวังเรื่องพ่อและแม่ของหนูยิ้ม เด็กสาวอาจจะไม่คิดแต่ผู้ใหญ่ก็ไม่แน่
วันนี้เป็นอีกวันที่วาตะมาจอดรถรอรับหนูยิ้มที่หน้าโรงเรียน นักเรียนทั้งชายหญิงตามมองมาที่วาตะเพราะด้วยความที่รูปร่างสูงเพรียว ผิวขาว หน้าหวาน ปากนิดจมูกหน่อย จึงเป็นจุดสนใจของทุกคน
“หนุ่มที่ไหนมารอสาวเนี่ย” เสียงนักเรียนสาวคุยกัน
“หนุ่มหล่อคนนี้เป็นวาสนาใครกันนะ”
“อยากนั่งซ้อนท้ายรถจังแก”
ทันใดนั้นก็เป็นเสียงของเด็กสาวที่เดินออกมาจากหน้าประตูโรงเรียน หนูยิ้มตกใจที่เห็นวาตะ เธอจึงตะดกนเรียกเขาเสียงดัง
“พี่วาตะ” หนูยิ้มวิ่งเข้ามาหาวาตะ และเป็นวาตะที่สวมหมวกกันน็อคให้หนูยิ้ม
“เกาะแน่นๆนะน้อง...ไป”
“ กลับบ้านค่ะ”
หนูยิ้มนั่งค่อมท้ายรถของวาตะและกอดเอวเขาด้วยความเคยชิน ยังดีที่วันนี้เป็นวันที่สวมชุดพละ และทั้งสองคนขี่รถผ่านสายตาคนมากมายที่จับจ้องอยู่และมีเสียงใครบางคนพูดตามหลังมาว่า
“สงสัยได้ท้องป่องก่อนเรียนจบแน่ๆ”