ตอนที่ 3 ความไว้ใจ
ความสัมผัสระหว่างวาตะและหนูยิ้มในตอนนี้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งวาตะยอมรับว่าเขาไม่ได้มองหญิงสาวเป็นเพียงแค่น้องสาว เพียงแต่ไม่ได้แสดงออกมาเท่านั้นเพราะตอนนี้หนูยิ้มยังอายุน้อยอยู่ คงไม่รู้เรื่องพวกนี้
“พ่อครับหนูยิ้มละครับ” วาตะเอ่ยถามเลิศชัยที่กำลังเก็บร้านกาแฟของตัวเองอยู่
“น่าจะอยู่ในบ้าน” เลิศชัยเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้มทำให้วาตะที่ได้ยินคำตอบพยักหน้ารับก่อนจะชะเง้อคอมองเข้าไปภายในบ้านของอีกฝ่าย
“ผมเข้าไปหาหนูยิ้มนะครับ”
“เข้าไปเลยลูก” เลิศชัยเอ่ยอนุญาตอย่างไม่ลังเลเพราะอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่วาตะมาหาลูกสาวของเขา หนูยิ้มเองก็ไม่ค่อยจะมีเพื่อนด้วยความที่คนในพื้นมักวิจารณ์เรื่องหน้าตาลูกครึ่งของลูกสาว หนูยิ้มจึงไม่มีเพื่อนสนิทเลย
“หนูยิ้ม” วาตะเอ่ยเรียกคนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนพื้น ทั้ง ๆ ที่ยังเช้าอยู่แถมยังเป็นวันหยุดอีกต่างหาก
“พี่วาตะมาได้ไงคะ” หนูยิ้มเอ่ยถามด้วยความดีใจ เธอไม่คิดว่าวาตะจะเข้ามาหาตัวเองแบบนี้
“เดินเข้ามา”
“หนูยิ้มไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อย” วาตะหัวเราะออกมาอย่างชอบใจเมื่อเห็นท่าทางของหนูยิ้มที่แสดงออกมาด้วยท่าทีน่ารัก
“อ้าวเหรอ แล้วทำอะไรอยู่”
“กำลังทำรายงานค่ะ แต่หนูยิ้มไม่คอม” หนูยิ้มเอ่ยด้วยใบหน้าเศร้าถึงแม้ว่าตอนนี้จะพัฒนาเรื่องเทคโนโลยีไปมากแล้วแต่สำหรับนักเรียนที่ยากจน ไม่มีคอมพิวเตอร์ยังสามารถเขียนได้อยู่แต่รายงานที่ครูสั่งนั้นส่วนใหญ่เพื่อนๆก็จะใช้คอมพิเตอร์ทำรายงานกัน ซึ่งบ้านหนูยิ้มค่อนข้างมีฐานะยากจน ซึ่งเป็นไปได้ยากที่หนูยิ้มจะมีคอมพิวเตอร์ใช้ในการเรียน
“งั้นไป พี่พาไปบ้านยายเพราะพี่มีโน๊ตบุ๊ค”
หนูยิ้มพยักหน้ารับอีกฝ่ายด้วยความดีใจ ก่อนจะวิ่งไปขอพ่อกับแม่เพื่อออกไปทำรายงานที่บ้านพี่วาตะโดยมีวาตะตามไปขออนุญาตด้วย
หลังจากวาตะพาหนูยิ้มออกไปได้เพียงไม่นานเท่านั้น กลุ่มของเจ้าหนี้นอกระบบดอกเบี้ยสุดโหดก็เดินเข้ามาภายในบ้านของหนูยิ้ม กลุ่มเจ้าหนี้รายวันที่พ่อกับแม่หนูยิ้มยืมเงินนอกระบบมาตามมาทวงเงินที่บ้านเพราะไม่ได้ส่งดอกเบี้ยเขา
“เห้ย พวกมึงสองผัวเมียจะเอายังไง” เจ้าของเงินเอ่ยออกมาหลังจากเดินเข้ามาภายในบ้าน
“โธ่เสี่ย ตอนนี้ผมยังไม่มีเลย” เลิศชัยเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่อ้อนวอน พร้อมเดินเข้ามาหาเสี่ยเจ้าของเงินที่พวกเขาไปกู้มา
“ไม่มี กูมาถามกี่ครั้งพวกมึงก็พูดแบบนี้ หรือพวกมึงจะลองดี”
“ไม่จ้า” โฉมฉายเอ่ยด้วยเสียงเบา ๆ พร้อมความกังวลใจ
“ภายในอาทิตย์นี้ พวกมึงต้องเอาเงินมาให้กูแสนหนึ่ง”
“แสนหนึ่ง แต่พวกเรากู้เสี่ยแค่สามหมื่นเองนะ” เลิศชัยเอ่ยด้วยความตกใจ
“มึงเข้าใจคำว่าดอกเบี้ยไหม”
“แต่เสี่ย…”
“กูไม่สนถ้าพวกมึงไม่เอามาจ่าย หรือมึงจะให้กูเอาลูกสาวมึงไปขายชายแดน”
“ไม่นะเสี่ย งั้นได้ ๆ เสี่ยใจเย็น ๆ ก่อนนะ เดี๋ยวผมจะหามาคืนให้เสี่ย” เลิศชัยได้ยินคำขู่ของอีกฝ่าย ก็รีบเอ่ยออกมาด้วยความรีบร้อน เขาไม่มีทางปล่อยให้ลูกสาวถูกเสี่ยคนนี้พาไปแน่นอนไม่ว่าอย่างไรเลิศชัยก็ต้องหาเงินมาให้ได้
“ดีกูจะรอ” เมื่อได้ยินคำตอบที่พอใจเสี่ยเจ้าของเงินก็พาลูกน้องเดินออกไปด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
“พี่เลิศ พี่ไปรับปากพวกมันแบบนั้นพี่จะหาจากไหนมาคืนมัน” โฉมฉายเอ่ยถามสามีขึ้นมาด้วยความร้อนใจ เพราะเงินมากมายขนาดนั้นเธอกับสามีไม่มีทางหามาได้แน่นอน
“พี่ไม่รู้ แต่หนูยิ้มมันลูกพี่ พี่ไม่ยอมให้มันมาเอาไปขายหรอก” คำพูดของเลิศชัยทำให้ภรรยาของเขานิ่งเงียบลงทันที
ไม่ต้องบอกก็พอจะดูออกว่าหนูยิ้มไม่ใช่ลูกของเลิศชัย เพราะอย่างไรหน้าตาของหนูยิ้มมันฟ้อง แต่อีกฝ่ายกลับรักและเอ็นดูเด็กสาวราวกับลูกแท้ ๆ
ครั้งอดีตแม่ของหนูยิ้มไปทำงานในเมืองท่องเที่ยวด้วยความที่ไม่ประสากับการใช้ชีวิต เธอจึงตั้งท้องกลับมาบ้าน เธอไม่ต้องการทำแท้งเด็กในท้องตั้งใจจะคลอดลูกและดูแลเพียงคนเดียว แต่ช่วงที่ตั้งท้องได้ประมาณสี่เดือนก็ได้รู้จักกับเลิศชัย เขาก็ไม่ได้รังเกียจเธอและลูกสาวของเธอ
เลิศชัยรักและเลี้ยงดูหนูยิ้มเหมือนลูกตัวเองและบวกกับทั้งคู่ไม่มีลูกด้วยกัน ทำให้หนูยิ้มเป็นลูกรักและเป็นแก้วตาดวงใจของพ่อแม่ ถึงแม้ว่าผู้คนที่พบเห็นจะมีนินทาเรื่องหน้าตาที่ออกไปทางลูกครึ่งของหนูยิ้มก็ตาม
สองวันต่อมา
“อ้าว...วาตะมากินข้าวด้วยกันสิลูก” เลิศชัยเอ่ยเรียกคนที่มาส่งลูกสาวเขาเหมือนเช่นในทุกวัน
“ครับ” วาตะไม่คิดที่จะปฏิเสธทั้งสองเพราะตอนนี้เขาก็ยังไม่อยากกลับบ้านเหมือนกัน
“ไปค่ะพี่วาตะ”
“เดี๋ยวพ่อกับแม่ไปยกกับข้าวมาให้นะ นั่งรอกันก่อน” เลิศชัยหันไปมองใบหน้าของโฉมฉาย ก่อนเดินเข้าไปในห้องครัวราวกับทั้งสองสามีภรรยากำลังวางแผนเพื่อทำอะไรบางอย่างอยู่
“มันจะดีเหรอพี่” โฉมฉายเอ่ยด้วยความลังเลในขณะที่สามีขอเธอกำลังใส่อะไรบางอย่างลงไปในน้ำดื่มของเด็กหนุ่มสาวทั้งสอง
“เอาเถอะ ยายนวลจันทร์แกเป็นคนมีเงินยังไงเราเรียกไปเท่าไหร่ก็ต้องยอม อีกอย่างเด็กสองคนเหมือนชอบพอกันอยู่ ถือว่าเป็นค่าวางสินสอดก่อน” เลิศชัยรู้ว่าสิ่งที่เขากำลังทำมันผิด แต่เขาก็ไม่มีทางให้เลือก เพราะถ้าไม่ทำแบบนี้หนูยิ้มอาจจะถูกพาไปขาย เขาจึงเลือกคิดหนทางหาเงินให้ได้เร็วที่สุด
“แต่นั่น...ลูกเรานะพี่”
“ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าเด็กมันชอบพอกัน เราก็ให้เด็กๆมันผูกข้อไม้ข้อมือเงียบๆ หนูยิ้มก็เรียนต่อไปก็ได้ ” เลิศชัยพูดจบก็ยกอาหารมาเข้ามาภายในบ้าน ซึ่งตอนนี้วาตะกับหนูยิ้มกำลังนั่งรออยู่
“อาหารมาแล้ว ทานกันเยอะ ๆ นะลูก” เลิศชัยเดินนำอาหารมาวางลงตรงหน้าของเด็ก ๆ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ทำให้เด็กน้อยทั้งสองไม่ทันได้สังเกตท่าทีแปลกไปของผู้ใหญ่ทั้งสองคน รวมถึงความไว้เนื้อเชื่อใจที่เด็กหนุ่มสาวมีให้กับทั้งคู่
“โอ้โห้ ทำไมน่ากินแบบนี้คะเนี่ย พ่อกับแม่จัดมาเต็มเลย ต้องอร่อยมากแน่ๆ” หนูยิ้มเอ่ยพร้อมดวงตาที่ลุกวาวเมื่อเห็นอาหารตรงหน้า ซึ่งท่าทีของเธอถูกดวงตาทั้งสามคู่จับจ้องมองด้วยความเอ็นดู โดยเฉพาะวาตะ ที่มองหนูยิ้มไม่ละสายตา
“น่ากินก็กินเยอะ” แม้ว่าสีหน้าของหนูยิ้มจะดูมีความสุข แต่พ่อและแม่ของเด็กสาวกับยิ้มออกมาได้ไม่เต็มที
“พี่วาตะกินเยอะๆนะคะ” หนูยิ้มบอกวาตะและตักข้าว ตักอาหารให้วาตะอย่างกระตือรือร้น
“ขอบคุณครับ ” วาตะตอบและยิ้มให้หนูยิ้มอย่างเอ็นดู
วาตะที่เข้าออกบ้านหนูยิ้มบ่อยครั้งจนตอนนี้เขาเชื่อใจในมิตรภาพที่เกิดขึ้น ความรู้สึกดีๆที่มีให้เด็กสาวเริ่มก่อตัวแต่เขายังไม่อยากบอกหนูยิ้มออกไปเพราะว่าหนูยิ้มยังอายุน้อยมาก ตอนนี้หนูยิ้มอายุเพียง 15 ย่าง 16 ปี และเขาเองนั้น 18 ย่าง 19 ปีแล้ว
หลังจากที่วาตะและหนูยิ้มนั่งทานข้าวกันอยู่ และสักพักเด็กหนุ่มสาวทั้งสองคนก็ค่อยๆหลับฟุบลงไปโดยมีการเฝ้ามองจากผู้ใหญ่สองคนที่เป็นคนลงมือทำสิ่งเลวร้ายแก่เด็กทั้งสองคน
‘ทุกอย่างต้องพังเพราะความเห็นแก่ได้ของทั้งคู่’