ตอนที่ 7
บุรุษแห่งไฟ!!
“ช่างสังเกตข้าเก่งนัก ...อย่างกับเป็นเมียข้าเลย”
เสียงทุ้มข้างหูทำให้ขนอ่อนในกายของธารทิพย์ลุกชูชัน ในตอนนี้ร่างของเธอเบียดแนบชิดกับอกเขา มือหนาของนายฮ้อยเปลี่ยนจากกุมข้อมือเธอมาเป็นกดสะโพกงามงอนไว้แน่น
กลิ่นกายบุรุษของเขาผสานกับกลิ่นยาสูบจางๆ ใกล้เพียงปลายจมูก ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มอยู่ห่างเพียงคืบลมหายใจอุ่นร้อนของเขาเป่ารดรินยังสันจมูกของเธอ จนธารทิพย์ต้องกลั้นลมหายใจตัวเองเมื่อรู้สึกว่าหัวใจเธอเริ่มจะเต้นแรงผิดปกติ
“ฉะ ฉันก็เพิ่งเห็นว่าปานนายฮ้อยมันสะดุดตาดี”
เธอเอ่ยเบาๆพยายามกลั้นลมหายใจของตัวเองเมื่อรู้สึกถึงความดุดันจากอีกฝ่าย ยิ่งรู้สึกได้ว่าร่างกายเธอเบียดเสียดกับจุดแข็งเครียดของเขา ธารทิพย์ก็ยิ่งเหมือนว่าตัวเองประหม่าจนแทบจะสะกดกั้นไม่ได้
“เอ็งเป็นคนแรกที่ทักรอยปานข้าเช่นนี้”
นายฮ้อยเอ่ยเบาๆ ลมหายใจอุ่นร้อนของเขาคล้ายลงมาชิดใกล้เธอยิ่งกว่าเดิม ธารทิพย์รู้สึกเหมือนแขนขาตัวเองเริ่มจะอ่อนระทวยและอยากจะผลักใสตัวเขาออกนัก แต่เหมือนเธอจะทำเช่นนั้นไม่ได้
“ฉะฉันไม่ได้เป็นเมียนายฮ้อยนี่นา”
เธอพึมพำเบาๆ ในเมื่อเขาบอกว่าเธอสังเกตอย่างกับเป็นเมียเขา ...เธอใช่เมียเขาที่ไหนกันเล่า แล้วถ้าหากเขามีเมียอยู่แล้วการมาเอ่ยเช่นนี้จนทำให้เธอหวั่นไหวจะเป็นการดีเช่นไร
“แล้วเอ็งอยากเป็นรึไม่?”
เขาถามเสียงทุ้มต่ำ
“หือ?”
ธารทิพย์ถึงกับชะงักกับคำพูดของเขา ด้วยไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคนี้จากใบหน้าหล่อเหลานี้
“เอ็งอายุเท่าไหร่แล้ว?” มือหนาช้อนคางมนเธอให้เชิดขึ้น เพื่อสบตาและจ้องลึกเข้ามาข้างใน
เขาถามอายุเธอเพื่ออะไรกัน? หรือว่านี่เป็นบทสัมภาษณ์หนึ่งของนายฮ้อยในการคัดสรรคนเข้าร่วมทัพควาย
“ว่าไง? ข้าถามว่าอายุเท่าไหร่”
นายฮ้อยถามย้ำอีกครั้งกลิ่นยาสูบอ่อนๆจากลมหายใจของเขาปัดเป่าลงมาอีกครั้ง อุ้งมือหนากดสะโพกงามงอนของเธอให้แนบกับลำตัวมากขึ้น มืออีกข้างปลายนิ้วแข็งไล้ตามแผ่นหลังของเธอภายใต้เสื้อหม้อฮ่อมตัวหลวม
ลำคอของธารทิพย์คล้ายจะแห้งผาก
“ยี่สิบสี่ปีสิบเดือน”
เธอบอกเขาเสียงแผ่วเบา เมื่อหน้าหล่อเหลาโน้มมาใกล้จนลมหายใจอุ่นร้อนเป่ายังปรางแก้มนวล ปลายจมูกของเขาปัดไปมาอยู่บริเวณผิวแก้มจนเธอรู้สึกร้อนผ่าวจนหน้าเริ่มจะแดงก่ำดั่งลูกตำลึงสุก
“อีกกี่เดือนจะครบยี่สิบห้าปี”
เขาเอ่ยถามต่อเบาๆ ด้วยน้ำเสียงแหบต่ำ แต่นั่นทำให้ลมหายใจของธารทิพย์คล้ายจะขาดห้วง
“ประมาณเดือนกว่าวันที่ยี่สิบเดือนธันวาก็ครบยี่สิบห้า”
ไม่แน่ใจว่าเขาจะซักอายุของเธอให้ละเอียดเช่นนี้ไปเพื่อเหตุใด แต่เธอก็ตอบคำถามเขาอย่างว่าง่าย และคล้ายจะได้ยินเสียงเขาคำรามต่ำในลำคอเบาๆ ฝ่ามือหนาเริ่มบีบเคล้นสะโพกเธอหนักหน่วงขึ้น
เขากำลังจะกลั่นแกล้งเธอหรืออย่างไร?
“อีกเดือนกว่างั้นรึ”
นายฮ้อยพึมพำเบาๆในใจ ก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ ดวงตาคู่สีนิลมองสำรวจตามกรอบหน้างามของเธออย่างพินิจพิจารณา ใบหน้ารูปใข่ริมผีปากอิ่มจิ้มลิ้มรับกับผมดำขลับยาวสลวย ผิวขาวเนียนละเอียดหอมละมุน
เธอคงไม่รู้ตัวว่าตัวเองงดงามยิ่งกว่าสตรีนางไหน
“ทำไมเหรอ นายฮ้อยถามอายุฉันทำไม?”
เธอเม้มปากเล็กน้อย เอ่ยถามเขาเบาๆ
เขาหัวเราะเล็กน้อย มองริมผีปากอิ่มของเธอก่อนจะไล้นิ้วเรียวแข็งไปมายังเรียวปากอย่างแผ่วเบา ใจจริงอยากจะดันร่างบางนี้ออกจากกายนัก ด้วยคิดว่ายังไม่ถึงเวลาอันสมควร แต่ความนุ่มนิ่มที่แนบชิดก็ไม่สามารถทำให้เขาทำเช่นนั้นได้
“ตอนแรกข้าว่าจะหาที่ปลอดภัยให้เอ็งก่อน แล้วหากเสร็จกิจที่ตลาดกลางจึงจะไปรับกลับ แต่...”
ชายหนุ่มชะงักคำพูดไว้แค่นั้น เมื่อสบตากับนัยน์ตาคู่สีน้ำตาลที่มองเขาอย่างฉงน
“ฉันไม่เข้าใจ ตอนแรกนายฮ้อยจะส่งฉันกลับรถไฟไปกรุงเทพพระนครไม่ใช่เหรอ?”
ธารทิพย์เลิกคิ้วเล็กน้อย สับสนกับท่าทีของเขานัก หากว่าเธอไม่เจอกับหลวงพ่อวันที่ฟื้นจากในน้ำว่าให้ติดตามบรุษที่มีสัญลักษณ์แห่งไฟคนที่จะมาช่วยเธอจากน้ำ เธอคงจะไม่มุ่งมั่นเพื่อติดตามเขาเป็นแน่
เพราะดูลักษณะแล้ว นายฮ้อยเพลิงเป็นคนที่อ่านยาก..
แม้เขาจะหล่อเหลาเพียงใด แต่ก็เหมือนเขาอันตราย
“ข้าถึงถามย้ำหลายรอบไงว่าเอ็งอยากจะร่วมขบวนทัพกับข้าจริงหรือไม่?”
เขาหลุบตามองริมผีปากเธออีกรอบ แววตาคู่สีนิลคล้ายจะดำมืดขึ้น เหมือนสะกดกั้นอารมณ์บางอย่างที่อยู่ภายในใจ
“อยากซิ”
“อยากอะไร?”
นี่เขายั่วยวนเธอหรืออย่างไรกัน?
“อยากร่วมขบวนทัพกับนายฮ้อย ฉันอยากกลับบ้านและนายฮ้อยเป็นคนเดียวที่จะพาฉันกลับไปยุคปัจจุบันได้”
เธอบอกเขาเสียงเข้มด้วยน้ำเสียงที่สั่นระริกด้วยคล้ายความอดกลั้นสิ้นสุดลง นั่นทำให้นายฮ้อยตระหนกเล็กน้อยเมื่อเห็นดวงตาคู่สวยคล้ายมีหยาดน้ำใสเอ่อล้น
“ร่วมก็ร่วม แล้วจะร้องให้ทำไมรึ?”
เสียงของเขาอ่อนโยนลงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน นานแล้วที่เขาไม่ได้เห็นน้ำตาของผู้หญิง ตั้งแต่พ่อและยายของเขาเสียไป ชีวิตก็คลุกคลีกับวัวควายและผู้ชายมาตลอด
“อือ..ฮึก นายฮ้อยไม่เข้าใจดอก ฉันไม่ใช่คนยุคนี้และฉันก็ไม่รู้ว่าฉันมาที่นี่ได้ยังไงเพื่ออะไร? และจะกลับบ้านไปหาพ่อแม่ได้ยังไง” เธอร่ำให้และซุกหน้ากับแผงอกแกร่งของเขา แม้ก่อนหน้าจะเริ่มทำใจได้แล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนจะหมดวันเธอก็ยิ่งรู้สึกสับสนมากขึ้น
นายฮ้อยเพลิงเหมือนจะเข้าใจ เขายืนนิ่งให้เธอร้องให้กับอกกำยำของเขาโดยไม่เอ่ยคำใดออกมา ได้แต่ลูบมือหนายังเรือนผมสลวยเพื่อปลอบประโลมอย่างใจเย็น
“ดีขึ้นรึไม่?”
เขาเอ่ยถามเบาๆ เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก และเหมือนร่างเล็กจะนิ่งเงียบและดันร่างของเขาออก มือนิ่มยกขึ้นปาดน้ำตาและพยักหน้าน้อยๆคล้ายจะบอกว่าเธอไม่เป็นไร
“ขอบคุณมาก ฉันขอไปนอนก่อนนะ”
เธอเตรียมผละห่างจากเขา แต่มือหนากลับตรึงท้าทอยเธอไว้ให้หันหน้ามาใกล้ ก่อนจะโน้มหน้าลงประกบจูบยังเรียวปากอิ่มของเธออย่างหนักหน่วง “อ๊ะ...”