ตอนที่ 6
ผู้หญิงแห่งลำน้ำมูล
เพิงที่พักของคะนิ้งกับรำพึงอยู่ไม่ห่างจากเพิงของ นายฮ้อยเพลิงเท่าใดนัก อาจเพราะเพื่อความปลอดภัยของผู้หญิงทั้งคู่เป็นหลัก ธารทิพย์ เดินมาไม่นานก็ถึงเพิงใบตองกุงที่ทำไว้อย่างง่ายๆ พอนอนพักได้สองสามคน และมีผ้ากั้นด้านนอกไว้เพื่อความเป็นส่วนตัว
“เข้ามาซิ เอ็งชื่อทิพย์ใช่รึไม่?”
คะนิ้ง เอ่ยบอกเมื่อเธอชะโงกหน้าเข้าไป และเห็นร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งนอนอยู่บนเสื่อด้านในคาดว่าคงเป็น รำพึง ตามนายฮ้อยบอก แม้จนป่านนี้เธอก็ยังไม่ทราบว่าทั้งสองเป็นใคร แต่น่าจะเป็นคนสำคัญของนายฮ้อยพอควร จึงได้ร่วมขบวนมาด้วยเช่นนี้ และยังได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี
“ใช่ฉันชื่อทิพย์ ขอรบกวนนอนพักด้วยคน”
ธารทิพย์ตอบหล่อน ด้วยประโยคว่ารบกวนตามความคุ้นชินในยุคสมัยปัจจุบัน คะนิ้งยิ้มละไมอย่างมีมิตรไมตรี
“เข้ามาซิเพิงกว้างนอนได้สามคนพอดีไม่อึดอัดดอก นี่รำพึงพี่สาวข้า หลับไปแล้วละกินยาแก้ใข้เข้าไปแต่เหมือนจะยังไม่หายตัวร้อนเลย”
คำบอกของคะนิ้ง ทำให้ธารทิพย์ปราดเข้าไปดูใกล้ๆ และเห็นว่าตัวของรำพึงสั่นเทิ้ม เมื่อสัมผัสตัวจึงสัมผัสได้ว่าร่างนั้นร้อนจี๋เพราะพิษใข้ และดูแล้วน่าจะอาการหนักพอสมควร แม้จะกินยาแผนปัจจุบันแล้วก็ตาม
“ฉันขอชามน้ำอุ่นกับผ้าด้วย เราต้องคอยชุบน้ำและเช็ดตัวทุกสิบห้านาทีเพื่อลดอุณหภูมิในร่างกาย”
เธอหันไปบอกคะนิ้ง นั่นทำให้อีกฝ่ายดูฉงนเล็กน้อย
“เช็ดตัวงั้นรึ ท่านหมอไม่เห็นบอกไว้”
“เชื่อฉันเถอะน่า ต้องรีบเช็ดตัวเลยก่อนที่จะช็อคหมดสติจะอันตรายยิ่งกว่า”
ธารทิพย์สั่งเสียงเข้มไม่มีเวลามาอธิบายให้มากความ
นั่นทำให้คะนิ้งรีบปรี่ไปหาชามน้ำอุ่นและผ้าสะอาดมาให้เธออย่างรวดเร็ว และธารทิพย์ก็จัดการเอาผ้าจุ่มน้ำบีบให้หมาดและเช็ดตามผิวของ รำพึงที่เริ่มจะสั่นเทิ้มทันที
“อะ...อือ ฮึกปล่อยข้าไป ยะ...อย่าข้าไม่ๆอย่าบังคับข้า”
เสียงร้องคล้ายละเมอไม่ได้สติของรำพึงทำให้เธอชะงักมือเล็กน้อย เขาว่ากันว่าคนเราจะพูดความจริงจากส่วนลึกของความรู้สึกในใจเวลาที่เราเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ ไม่ว่าจะตอนเมาหรือตอนเบลอ
ใครบังคับเธอกัน ...บังคับเรื่องอะไร?
เกือบเที่ยงคืนที่ธารทิพย์ คอยเช็ดตัวและป้อนยาให้รำพึงจนใข้ลดลงและอาการดีขึ้น ส่วนคะนิ้งนั้นหลับไหลตั้งแต่ยังไม่สี่ทุ่มอยู่ไม่ห่างจากรำพึงนัก เมื่อเห็นว่าอุณหภูมิในร่างกายเริ่มลดลงแล้วเธอจึงห่มผ้าให้กับรำพึง แล้วเดินเอาผ้ามาตากลมด้านนอก พลางก็นึกถึงคำพูดที่ได้คุยกับคะนิ้งเมื่อสักครู่
“ฉันกับพี่รำพึงเราเพิ่งได้ติดตามทัพควายของนายฮ้อยเพลิงเป็นครั้งแรกนี่แหละจ้ะ นายฮ้อยเขาเป็นคนดีฉันอยู่ด้วยแล้วสบายใจเลยขอมาร่วมขบวนด้วยอีกอย่างพวกลูกน้องในทัพก็ดูแลฉันกับพี่เป็นอย่างดี”
คะนิ้งบอกหล่อนแค่นั้น และไม่เปิดเผยข้อมูลอันใดเพิ่มเติม แม้ธารทิพย์จะตะล่อมถามทั้งทางตรงทางอ้อม จนเธอรู้สึกว่าจะเป็นการละลาบละล้วงอีกฝ่ายมากเกินไป จึงหยุดการซักถามไว้เพียงนั้น
ชั่งเถอะ!! ทั้งสองจะเป็นใครก็ไม่เห็นเกี่ยวกับเธอ
สิ่งที่เธอต้องรู้คือทำอย่างไรถึงจะสามารถกลับไปยุคปัจจุบันได้ ป่านนี้ทางสุเทพเพื่อนของเธอคงบอกอาจารย์และเพื่อนในค่าย และแจ้งข่าวไปยังพ่อกับแม่ที่กรุงเทพแล้ว ทุกคนคงจะร้อนใจในการหายตัวของเธออย่างแน่นอน
นึกแล้วหญิงสาวก็ถอนหายในออกมาอย่างอัดอั้น
“ยังไม่นอนอีกรึ?”
เสียงทุ้มนุ่มหูดังอยู่ข้างหลังของเธอ ก่อนที่ร่างหนาของ นายฮ้อยเพลิง จะเดินสาวเท้าเข้ามาใกล้ ธารทิพย์เบิกตามองเขาอย่างฉงนด้วยเธอมองไปยังเพิงพักของเขาเห็นว่าดับคบไฟไปนานพอควรแล้ว
ไฉนเขาเองก็ยังไม่หลับนี่จะหนึ่งยามแล้ว
“รำพึงไม่สบายใข้ขึ้นสูงฉันเลยต้องคอยเช็ดตัวให้เพิ่งจะดีขึ้นเมื่อสักครู่ตอนนี้หลับไปแล้ว”
เธอบอกเบาๆก่อนจะเบี่ยงตัว เพื่อจะเดินกลับเข้าเพิงตามเดิม แต่มือหนาคว้าข้อมือเธอไว้ก่อนจนร่างของธารทิพย์เซถลาเล็กน้อยเนื่องด้วยเธอไม่ระวังตัว และหันกลับมามองหน้าหล่อเข้มของเขาอย่างฉงน
“เดี๋ยวก่อน! มัวแต่ดูอาการของรำพึง แล้วเอ็งละเพิ่งขึ้นจากน้ำมูลมาดีขึ้นแล้วรึ?”
เสียงของเขาเหมือนจะอ่อนโยนลงกว่าปกติ นั่นทำให้คิ้วเรียวสวยของธารทิพย์ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
อารมณ์ไหนหว่าเนี่ย!! เมื่อหัวค่ำยังทำเสียงแข็งใส่อยู่เลย
“ฉันไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวนอนพักเสียหน่อยก็น่าจะดีขึ้น”
เธอเอ่ยบอกตามตรง ด้วยแปลกใจตัวเองเช่นกันในเมื่อเธอตกลงไปในกระแสน้ำที่เชี่ยวกรำและกินน้ำไปหลายอึกขนาดนั้น แถมยังโดนน้ำกระแทกร่างเข้ากับตลิ่งจนเจ็บร้าวไปทั่วตัว
แต่แปลกมากพอตอนนี้เธอกลับไม่รู้สึกอะไรเลย
ราวกับว่าไม่ได้รับอุบัติเหตุจากการตกน้ำเลยแม้แต่น้อย แถมยังรู้สึกสดชื่นกว่าเดิมด้วยซ้ำ
“เอ็งอยู่ในน้ำมูลตั้งครึ่งวันไม่ใช่รึ หากเป็นคนปกติคงสาหัสหรือไม่ก็อาจตายไปแล้ว กระแสน้ำมูลยามน้ำหลากนี้กลืนกินชีวิตสัตว์และผู้คนมานับไม่ถ้วนแล้ว”
เขาเอ่ยเสียงราบเรียบและพินิจพิจารณามองเธออย่างถี่ถ้วน เห็นว่าร่างบางตรงหน้าแทบจะไม่มีรอยฟกช้ำอันใด แถมจุดที่จ้ำเขียวตรงข้อเท้าก็เหมือนจะดีขึ้นจนแทบไม่เห็นร่องรอยอันใด
เธอคงเป็นผู้หญิงวิเศษจากลำน้ำมูลตามคำพยากรณ์
“ครึ่งวันเลยเหรอ”
หญิงสาวทวนคำของเขาเบาๆ ก่อนหลุบตามองมือหนาที่จับข้อมือของเธอไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ความอุ่นวาบจากอุ้งมือนั้นทำให้เธอรู้สึกวูบวาบไปทั่วร่างแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“เอ็งแน่ใจรึว่าอยากจะร่วมไปกับทัพควายของข้า”
เขาถามเสียงเข้มเหมือนอยากจะให้เธอตัดสินใจอีกครั้ง ทำให้ธารทิพย์ต้องเงยหน้ามองเขาอย่างฉงน
“แน่ใจซิ!”
ธารทิพย์ตอบอย่างหนักแน่น สบตาเขาผ่านแสงสลัวด้วยสายตามุ่งมั่นพลันสายตาก็เหลือบมองเห็นปานแดงรูปไฟตรงต้นคอของเขาที่โผล่พ้นสาปเสื้อหม้อฮ่อมที่เขาไม่ได้ติดกระดุม อาจเพราะช่วงกลางวันเธอไม่ทันสังเกต
เขามีปานแดงตรงนี้ด้วยในตำแหน่งใกล้เคียงกับเธอเลย
“หือ”
ดวงตาคู่สีนิลเข้มของนายฮ้อยเพลิงหลุบต่ำเล็กน้อย เมื่อร่างบางของหญิงสาวเบียดชิดเข้ามาใกล้ และยกมือนิ่มขาวขึ้นไล้นิ้วยังต้นคอเขาเบาๆ จนชายหนุ่มต้องขบสันกรามแน่นจนเป็นสันนูนเด่น
“นายฮ้อยมีปานแดงรูปไฟตรงต้นคอด้วยฉันเพิ่งสังเกต”
เธออุทานอย่างตื่นเต้นไม่เฉลียวว่าตัวเองได้เบียดกายแนบชิดกับร่างหนาที่มีมวลเนื้อแข็งเครียดนั้น และใบหน้าเธอโน้มเข้าไปชิดใกล้กับต้นคอเขาเพียงใด จนลมหายใจอุ่นร้อนรวยรดรินใส่ปรางแก้มเนียน หญิงสาวจึงได้สติและเตรียมจะผละออกห่าง
แต่เหมือนเขาจะไม่ยินยอม มือหนาตรึงเอวคอดเธอไว้แนบชิดกับตัว ก่อนจะก้มลงกระซิบบอกเบาๆข้างใบหูเล็กของเธอด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“ชั่งสังเกตข้าเก่งนัก ...อย่างกับเป็นเมียข้าเลย”
*******************