ตอนที่ 5
กฎของทัพควาย
....ไหนบอกทัพควาย ห้ามผู้หญิงร่วมขบวน!!
แล้วสาวสวยนางนี้คือใครกันรึ? รึว่าเป็นเมียของนายฮ้อยเพลิงกันแน่! ธารทิพย์ได้แต่เบิกตามองอย่างฉงน ด้วยคาดว่าหากนี่เป็นเมียของนายฮ้อยจริงเธอจะได้ขอเจรจากับหล่อนเพื่อหาแนวทางร่วมขบวนนี้ให้ได้
“ขอบใจเจ้ามากคะนิ้ง แล้วรำพึงละเป็นอย่างไรบ้างรึ?”
นายฮ้อยเพลิง เอ่ยด้วยเสียงราบเรียบเมื่อ คะนิ้ง วางกาน้ำชาร้อนยังโต๊ะสำรับเล็กตรงหน้า ไม่ห่างจากสำรับของธารทิพย์มากนัก และหญิงสาวทั้งสองก็เงยหน้าสบตากันเพียงครู่
ธารทิพย์ตกตะลึงในความงดงามผุดผาดของคนตรงหน้าที่สวยสดงดงามราวกับรูปปั้นสลัก กรอบหน้างามรูปใข่นั้นประกอบด้วยโครงหน้าที่สมบูรณ์ด้วยปากนิดจมูกหน่อย ผิวพรรณของหล่อนขาวละเอียดราวกระเบื้องเคลือบ
หญิงงามในทัพควายใหญ่ขนาดนี้ อาจจะเป็นคนสำคัญของนายฮ้อยแน่นอน ไม่เช่นนั้นไม่มีทางที่จะร่วมขบวนซึ่งละเมิดกฎของคาราวานได้
“รำพึงนอนพักจ้ะ เห็นว่าไม่สบายฉันเอายาจากหมอสรวงให้กินเรียบร้อยแล้ว น่าจะหลับไปแล้วกระมัง”
สาวคะนิ้งตอบเบาๆ สุรเสียงของหล่อนกังวานใสชวนฟังยิ่งนัก จนธารทิพย์อดที่จะเอียงคอเล็กน้อยเพื่อมองกริยาที่แสนงดงามนั้นไม่ได้
สวยขนาดนี้ ...คงเป็นเมียนายฮ้อยแน่นอน
“ถ้าไม่ดีขึ้น ให้บอกหมอสรวงนะข้าว่ายาฝรั่งนั้นบางทีก็สู้ยาต้มตำหรับเก่าแก่ของหมอเขียวไม่ได้”
นายฮ้อยบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ดวงตาคู่สีนิลคล้ายมีแววครุ่นคิดเล็กน้อยเมื่อหันมามองธารทิพย์ “อ้อ เดี๋ยวข้าจะรบกวนฝาก แม่นางคนนี้พักเพิงด้วยกับเจ้าด้วยละกันนางชื่อทิพย์จะร่วมขบวนคาราวานกับเราไปจนถึงตลาดกลาง”
คำบอกนั้นทำให้ ธารทิพย์ยิ้มออกมาอย่างลิงโลด
“อ้อได้ซิ เพิงที่ไอ้บากทำให้ค่อนข้างใหญ่พอสมควร นอนสามคนกำลังดีเลย ไปด้วยกันก็ดีจะได้ช่วยกันดูรำพึงด้วย ถ้ากินเสร็จก็ตามข้ามาที่เพิงนะทิพย์ เดี๋ยวข้าไปดูพี่สาวเสียหน่อย”
คะนิ้ง บอกเสียงหวาน และหันมายิ้มให้เธออย่างเป็นมิตร ก่อนจะขอตัวออกจากเพิงไป ทิ้งให้เธอนั่งกินข้าวกับนายฮ้อยเพลิงสองคนในที่พักของเขา
“อิ่มแล้วรึ?”
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถาม เมื่อธารทิพย์เลื่อนถาดสำรับให้ห่างจากตัว ความจริงอาหารอร่อยมากแต่เธอกินข้าวเหนียวกับปลาทอดกับกุ้งรวนไปนิดเดียวก็ดันรู้สึกอิ่มแล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอหิวมากที่แทบจะกินช้างได้ทั้งตัวทีเดียว
คงเพราะเป็นข้าวเหนียวด้วยกระมัง
“ไหนนายฮ้อยบอกว่าทัพควายไม่ให้ผู้หญิงเข้าร่วมขบวนไง ใยถึงมีสองสาวรำพึงกับคะนิ้งร่วมมาด้วย ถ้าอย่างนั้นฉันไปด้วยก็ไม่น่าจะผิดกฎอันใดนี่นา”
เธอไม่วายเอ่ยย้อนกับคำพูดก่อนหน้าของเขา ขณะที่ชายตามองหลังของ คะนิ้งคนสวยที่เดินไปยังเพิงพักที่อยู่ไม่ห่างจากเพิงของนายฮ้อยนัก ดวงอาทิตย์เริ่มจะคล้อยต่ำ เพิงคนงานอื่นๆรอบด้านเริ่มจะจุดไฟกองใหญ่ส่องแสงสว่างไสวไปทั่ว
“ข้าบอกแล้วไง ว่าต้องเป็นเหตุจำเป็นจริงๆ”
นายฮ้อยผ่อนลมหายใจเล็กน้อยเมื่อมองหน้าเธอ
“เหตุจำเป็น ถ้าอย่างงั้นสองคนนั้นเป็นคนสำคัญแน่เลย ...คะนิ้งเป็นเมียนายฮ้อยเหรอ?”
ธารทิพย์เอ่ยถามอย่างที่ตัวเองสงสัย นั่นให้หน้าหล่อเข้มชะงักเล็กน้อย ด้วยไม่คาดว่าจะเจอผู้หญิงที่เอ่ยถามตรงๆเช่นนี้
“ไม่ใช่เมียข้าดอก”
“จริงเหรอ?”
หน้าเนียนใสยื่นเข้าไปใกล้จน นายอ้อยเพลิงได้กลิ่นกายหอมอ่อนๆจากตัวเธอ คิ้วหนาเข้มของเขาขมวดเข้าหาอีกครั้ง
“ซักข้าเช่นนี้ เอ็งสงสัยอะไรรึ?”
ตั้งแต่ปกครองทัพควาย และลูกน้องเกือบร้อยคนยังไม่เคยมีใครสักคนกล้าซักไซ้และแสดงอาการแบบนี้กับเขาเลยสักครั้ง แต่ผู้หญิงจากน้ำมูลคนนี้กลับอุกอาจนัก
“ก็สงสัยนิดหน่อย”
ธารทิพย์เลิกคิ้วสูง “คือฉันเองก็พอได้ยินเรื่องกฎต่างๆของทัพควายมาบ้าง แต่ไม่รู้ว่าในขบวนของนายฮ้อยเพลิงมีข้อกำหนดอะไรที่มากกว่าที่อ่านมารึไม่ และฉันเห็นว่ามีผู้หญิงสาวสวยสองคนมาร่วมขบวนอยู่ก่อนแล้ว ก็เลยอดจะสงสัยไม่ได้”
เธอเอ่ยอย่างที่ใจตัวเองสงสัย
“ใยข้าต้องบอกให้เอ็งรู้ทั้งหมด เอ็งเป็นแค่ผู้ร่วมขบวนเท่านั้น แค่ข้าให้มานั่งกินข้าวในเพิงเดียวร่วมกับข้าก็ดีแค่ไหนแล้ว!! นี่ถ้าไม่เห็นว่าเอ็งเป็นผู้หญิงข้าคงให้ไปนั่งกินรวมกับพวกไอ้บากไอ้เข้มแล้ว”
เสียงของนายฮ้อยดุเข้มขึ้น นั่นทำให้ธารทิพย์ถอยห่างออกจากเขาเล็กน้อย
ชิ!! ถามแค่นี้ก็ทำเป็นไม่พอใจด้วย!
“......”
หญิงสาวหน้าเจื่อนลงเล็กน้อย และก้มหน้ามองนายฮ้อยกินอาหารอย่างเงียบๆ โดยไม่ซักไซ้อะไรต่อ เธอสังเกตว่าเขากินข้าวเหนียวและกับข้าวเยอะมากจนเกลี้ยงถาด อาจเป็นเพราะพวกเขาใช้พลังงานค่อนข้างเยอะกระมัง
เพราะอาหารขนาดนั้นปกติเธอกินสามมื้อไม่รู้จะหมดมั้ย
“ว่าแต่เอ็งมาทำอะไรที่นี่รึ?”
นายฮ้อยเป็นฝ่ายเอ่ยถามเธอขึ้นเมื่อกินอิ่มเรียบร้อยแล้ว ธารทิพย์จึงหันหน้ามามองเขาอีกครั้ง
“แล้วฉันจำเป็นต้องตอบนายฮ้อยมั้ย”
เธอย้อนเขากลับจากที่เขาพูดเมื่อสักครู่ หน้าหล่อเหลาถอนหายใจเล็กน้อย
“จำเป็น! หากเอ็งต้องการร่วมขบวนกับข้า เพราะกฎของทัพ คนแปลกหน้าทุกคนที่จะเดินทางกับทัพข้าจะต้องผ่านการทดสอบและตอบคำถามข้าทุกคน เพราะมันคือการร่วมชะตาเดียวกัน ข้าจะไม่รับคนที่ไม่รู้จักและไว้ใจเข้าร่วมทัพเด็ดขาด”
การร่วมทัพควายนั้นเป็นสิ่งสำคัญยิ่งนักในการคัดกรองผู้คน ไม่เช่นนั้นอาจเกิดความเสียหายวุ่นวายและยากที่จะควบคุมหากเกิดปัญหาอันใดขึ้น
“ถ้าฉันบอกความจริงไปทั้งหมดนายฮ้อยจะเชื่อฉันไหม?”
เธอบอกเขาเสียงอ่อย หันมามองหน้าหล่อเหลาอย่างขอความเห็นใจ ด้วยใจลึกๆไม่ได้อยากจะยียวนอะไรสักอย่าง แต่หากบอกเรื่องราวไปเขาจะหาว่าเธอบ้าหรือไม่?
ตอนนี้ควรรักษาตัวเองให้รอดก่อนจะดีกว่า
“ลองเล่ามาซิ ข้าเป็นคนมีเหตุผล”
น้ำเสียงของเขาดูหนักแน่นและเป็นทางการ นั่นทำให้หญิงสาวผ่อนลมหายใจออกมาเล็กน้อย
“ฉันไม่ใช่คนในยุคนี้หรอก ความจริงฉันเป็นนักศึกษาแพทย์ที่มาฝึกงานที่ศูนย์ช้างได้สองวันเท่านั้น และวันนี้กำลังจะกลับหอพักกับเพื่อนก็ลื่นล้มตกน้ำมูล จากนั้นก็รู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ที่นี่อย่างที่นายฮ้อยเห็นนั่นแหละ”
เธอบอกเขาตามความจริง โดยตัดส่วนที่ว่าได้เจอหลวงพ่อก่อนหน้าที่จะฟื้นแล้วมาเจอทัพควายของเขาที่นี่
“อืม”
“เห็นไหมละ ว่าแล้วนายฮ้อยต้องไม่เชื่อฉันแน่นอน”
ธารทิพย์เอ่ยอย่างตัดพ้อ เมื่อสบตากับดวงตาคู่สีนิลเข้มที่มองเธอราวกับว่าสิ่งที่เธอบอกเป็นเรื่องตลกเสียเต็มประดา
“ไปนอนพักที่เพิงคะนิ้งเสียเถิด เดินไหวรึไม่”
เสียงของเขานายฮ้อยอ่อนลงเล็กน้อย นั่นทำให้ธารทิพย์ถอนหายใจออกมา แต่ก็ทำใจไว้พอควรแล้วว่าถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีทางเชื่อเธอแน่นอน ดังนั้นเธอจึงลุกขึ้นเดินกระโผกกระเผลก อย่างระวัง แม้จะเริ่มรู้สึกหายเจ็บแล้วก็ตาม
“ไหวฉันเดินไปเองได้”
นายฮ้อยมองตามหลังของหญิงสาวจนลับตา และเธอหายเข้าไปยังเพิงที่พักของคะนิ้ง เขาจึงผ่อนลมหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามร่างของชายชราที่เดินเข้ามาในเพิง
“ว่าไงท่านหมอ”
ชายผู้นั้นที่มีผมสีดอกเลาอยู่เต็มศรีษะ อายุอานามน่าจะราวเกือบหกสิบปีได้ เดินมาย่อกายลงนั่งข้างนายฮ้อย ก่อนจะเอื้อมมือรับจอกชาร้อนจากเขา
เขาคือ หมอสรวง ผู้เป็นทั้งหมอยาและหมอโหราศาสตร์คนสำคัญเก่าแก่ของทัพควายตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อของนายฮ้อยเพลิง และเป็นคนที่ประมุขทัพควายไว้วางใจที่สุด
มือเหี่ยวย่นนั้นยกจอกชาขึ้นจิบอยางช้าๆ สายตาคมกริบดั่งผู้ผ่านโลกมามากเพ่งมองและสบตานายฮ้อยอย่างครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงแหบเครือว่า
“เจอแล้วใช่มั้ย ...ผู้หญิงน้ำมูลตามคำทำนาย”
***************