“อุ๊ย!!!” สมชายหันไปสบตากับดวงมณีที่ยืนทำหน้าถมึงทึงตรงประตู “ไม่กล้าทิ้งร้านนี้ไปหรอกค่ะ เดี๋ยวไม่มีใครช่วยเจ๊ทำงาน”
พูดจบ สมชายเดินออกจากครัวไปอย่างเร็ว ดวงมณีมองเมริสาตาขวาง เธอรู้สึกขนลุกกับสายตาคู่นี้จริงๆ
“หล่อนช่วยงานแต่ในครัวนะ ห้ามออกไปเสิร์ฟในงานเลี้ยงเด็ดขาด” สั่งเสร็จก็หันหลังกลับไป
“ถ้าฉันทำงานไม่ดี แล้วเรียกฉันกลับมาทำไม”
อัญชลีมองลูกสาวด้วยสายตาเห็นใจ “ตั้งใจทำงานล่ะ”
เมริสาพยักหน้าช้าๆ หัวใจห่อเหี่ยว “ทำไมทุกคนต้องมองเมย์เหมือนเป็นเด็กด้วย เมย์โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว อายุยี่สิบสามแล้วนะ รู้จักการละเทศะดี รู้ว่าอะไรควรไม่ควร ไม่ทำให้งานใหญ่เสียหรอกน่า”
“แล้วถ้ามีคนจับก้นจะทำไง”
“ตบ!!!”
เมริสาเผลอตอบ ก่อนจะหุบปาก พนักงานในครัวพากันหัวเราะ “เสียท่าจนได้”
เมื่อเตรียมของสดเสร็จเรียบร้อย พนักงานของร้านก็ช่วยกันขนของขึ้นรถหกล้อคันใหญ่อย่างขะมักเขม้น โดยใช้เวลาเพียงไม่นานก็เสร็จ รถขนของเดินทางล่วงหน้าไปก่อน โดยมีดวงมณีและสมชายควบคุมดูแล ส่วนพนักงานขึ้นรถตู้คันใหญ่เพื่อตามไปยังท่าเรือในวันรุ่งขึ้น
คืนนี้ เธอจึงยังได้นอนพักผ่อนที่ห้องอย่างสบายกาย แม้จะมีแผลถลอกเล็กๆ ที่ข้อศอกให้ปวดเล่น มีเพียงใจของเธอเท่านั้นที่ยังรู้สึกไม่สบายและเป็นกังวล
“บอกแม่ดีไหม” เธอควรเล่าเรื่องลูกสาวตัวดีของท่าน ให้ท่านได้รับรู้ถึงพฤติกรรมของเจ้าหล่อนรึเปล่า “แต่ถ้าบอก ก็พาลจะไม่สบายใจเอา...ถ้าไม่บอก มารู้ทีหลัง จะโกรธเรารึเปล่า”
เธอถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ทำไมเธอต้องไปรับรู้เรื่องของยัยไอริสด้วย เธอควรจะอุดหูและไม่ฟังเธอพล่ามในตอนนั้น
เมริสาพยายามสะกดตัวเองให้หลับ เพื่อจะได้เลิกคิดเรื่องวุ่นวายในหัว ด้วยพรุ่งนี้มีงานสำคัญต้องทำ เธอจะได้ขึ้นเรือสำราญที่หรูและใหญ่ที่สุดในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
เช้าวันต่อมา เมริสาเด้งตัวตื่นขึ้นเพราะเสียงเคาะประตู เธอหันมองนาฬิกาก็รู้ว่าตัวเองสายแล้ว เจ้าหล่อนรีบลุกจากที่นอน รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยไม่อาบน้ำ แล้วลงไปข้างล่างทันที
“ขอโทษค่ะ เมย์สายไปนิด” ปรากฏว่าในร้านว่างเปล่า มีเพียงคนงานรถผู้ชายคนเดียวที่ต้องทำหน้าที่เฝ้าร้าน
“เขาไปกันหมดแล้ว”
“โธ่ แล้วเมย์จะไปยังไงล่ะคะ เขาขึ้นเรือที่ท่าเรือไหนรู้ไหมคะ”
คุณลุงคนรถบอกชื่อท่าเรือน้ำลึกแก่เธอ หญิงสาวไม่รอช้า ออกจากร้านไปโบกแท็กซี่ แจ้งพิกัดที่ต้องการไป หลายคันปฏิเสธเธอ เพราะความไกล แต่แล้วก็มีแท็กซี่ใจดีตอบรับไปส่ง
หญิงสาวนั่งรถพลางสวดภาวนาให้เธอไปทัน กำหนดเรือออกจากท่าคือเที่ยงตรง หากไปช้ากว่านั้นก็อด
สองชั่วโมงต่อมา รถแท็กซี่ก็เลี้ยวเข้าไปยังบริเวณท่าเรือขนาดยักษ์ หญิงสาวขอบคุณลุงแท็กซี่ที่พาเธอมาทันเวลาจนได้ เธอจ่ายเงินให้ลุงแท็กซี่แล้วลงจากรถ
“คนเยอะแยะไปหมด” เธอหันมองโดยรอบ เห็นผู้คนมากมายเดินเกลื่อนกระจายเต็มท่าเรือ รวมทั้งรถหรูยี่ห้อแพงๆ ที่ทยอยกันเข้ามาจอดจนเต็มแน่นไปทั้งลานจอด “อย่างกับงานพรมแดงแน่ะ นี่เรามาผิดท่าเรือรึเปล่า”
เมริสาตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศที่แสนคึกคักจนอุทานไม่ได้หยุดปาก ขณะเดินฝ่าฝูงชนที่แต่งกายหรูหราอลังการ ไปยังสะพานเชื่อมลำเรือ และเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมองความสูงของเรือเอมี่ที่ลอยลำอย่างตระหง่านอยู่ตรงหน้า
“ว๊าว...สิบชั้นแน่ะ เทียบได้กับโรงแรมหกดาวเลยนะเนี่ย”
“หันไปทางไหนก็เจอแต่คนหล่อ...ล่ำ เร้าใจ” สมชายมายืนข้างๆ หญิงสาวแล้วกระซิบที่หู “ฉันนึกว่าแกจะมาไม่ทันเสียแล้ว”
เมริสาหันมากอดสมชายแน่น “ฉันลุ้นแทบแย่ กลัวตกเรือ แต่ในที่สุด สวรรค์ก็ยังเข้าข้างฉัน”
“เออๆ อย่ามัวแต่ดีใจ คนอื่นเขาขึ้นเรือกันหมดแล้ว รีบไปกันเถอะ”
“แล้วทำไมเจ๊ยังอยู่ล่ะ”
“ฉันมารอดูผู้ชาย” สมชายหัวเราะคิกคัก ระริกระรี้ “ไหนๆ ก็ต้องอยู่แต่ในครัว ก็ต้องตักตวงตอนที่มีโอกาส”
“แหม นึกว่ามารอรับฉันเสียอีก” เธอหันกลับไปมองคนหรูหราพวกนั้น ซึ่งกำลังทยอยกันขึ้นเช่นกัน หากแต่เป็นส่วนหน้าของลำเรือ “ทางโน้นสำหรับแขกของงานใช่ไหม...แต่งตัวเนี๊ยบกันทุกคนเลยนะคะ ดูปราดเดียวก็รู้ว่าบนเรือลำนี้คงเต็มไปด้วยคนดังและเหล่านักธุรกิจที่มีชื่อเสียงและร่ำรวย...เอ๊ะนั่น...”
เธอชะงักเมื่อเห็นใครบางคน แม้จะไกล แต่เธอก็จำร็อกกี้ได้แม่น เขากำลังเดินขึ้นเรือพร้อมกับชายหนุ่มอีกสองสามคนที่แต่งกายเรียบหรูดูดี
“อะไรยะหล่อน หรือว่าเจอหนุ่มในสเป๊ก” สมชายพยายามมองตามอย่างใคร่รู้ “คนไหนยะคนไหน เผื่อใจเราตรงกัน เจ๊จะได้หลีกทางให้ เพราะถึงยังไง เจ๊ก็สวยกว่า เจ๊หาใหม่ได้ง่ายๆ”
“เปล่าหรอกเจ๊ เรารีบขึ้นเรือกันเถอะ เดี๋ยวเรือออกเสียก่อนจะอดล่องเมดิเตอร์เรเนียน”
หญิงสาวพูดจบก็เดินนำไปก่อน สมชายที่ยังชะเง้อคอมองผู้ชาย ปาดน้ำลายแล้วรีบเดินตามหญิงสาวไป
“ทางนี้ย่ะ”
ในที่สุด เธอและผู้จัดการก็ไปเดินต่อแถวพนักงานของร้านอาหารไทยที่กำลังรอลิฟต์เพื่อลงไปยังชั้นสามซึ่งเป็นส่วนของห้องครัว
เธอเห็นมารดายืนอยู่ตรงหัวแถว กำลังสนทนากับเจ้าของร้านหน้าเครียด เธอคิดว่าคงไม่พ้นเรื่องงานเป็นแน่ เธอละสายตาจากหัวแถว หันมองความอลังการและยิ่งใหญ่ภายในลำเรือ
“โซนของคนงานยังขนาดนี้ ถ้าเป็นส่วนของแขกจะขนาดไหน” คิดแล้วตื่นเต้น อยากไปเห็นให้มันรู้เสียเดี๋ยวนี้ หากไม่มีกฎของทางร้านบังคับเอาไว้ล่ะก็ จ้างให้ก็ไม่มายืนต่อแถวหรอก
ครั้นเมื่อถึงที่ทำงาน...
“ว๊าว..ครัวใหญ่มาก อย่างกับครัวในโรงแรมหกดาวแน่ะ”
เมริสารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กจริงๆ เธอวิ่งพล่านไปทั่วเพื่อชมสถานที่อันทันสมัยและสะดวกสบาย เธอเดินนำขบวนไปก่อน จนเจอป้ายชั่วคราวที่แขวนไว้หน้าทางเข้าโซนที่สี่
“ครัวของเมริสาอยู่ทางนี้ค่ะ”
ดวงมณีสะบัดหน้าใส่เจ้าหล่อนทันที “ถ้าไม่ติดกับว่ามันดังจนกลายเป็นโลโก้อาหารไทยในแถบนั้น ฉันเปลี่ยนชื่อร้านไปตั้งนานแล้วย่ะ”
สมชายนำพนักงานเข้าไปด้านใน “ใช่จะมีแค่ครัวไทยนะ...ยังมีครัวญี่ปุ่น ครัวจีน ครัวอิตาลี” สมชายอธิบายพลางทอดสายตาไปยังห้องครัวอื่นๆ ซึ่งเป็นครัวเปิดสามารถมองเห็นกันได้ทุกซอกทุกมุม “เชฟอิตาลีก็น่ากินไม่น้อยนะ อุ้ย!! ไม่ใช่ ฉันหมายถึงอาหารอิตาลีก็น่าลอง ฉันจองคนนั้น”
สาวครัวไทยพากันหัวเราะขบขัน
“ตอกบัตร เข้าทำงานได้แล้ว” ไม่ใช่คำสั่งของดวงมณี แต่เป็นคำสั่งจากเชฟใหญ่
“เมนูพิเศษที่สั่งเพิ่มเข้ามา ขอสุดฝีมือเลยนะอัญ” ดวงมณีย้ำให้เชฟใหญ่รู้อีกรอบ “เค้กวันเกิดของประธานบริษัทอาร์แอนด์ดีจากครัวไทยต้องดีที่สุด เพราะทุกครัวได้รับโจทย์มาเหมือนกัน หากคุณมัสซิโม เจ้าของบริษัทจะเลือกเพียงชิ้นเดียวนำขึ้นเวที” เจ๊ดวงไม่ได้บอกแค่เชฟใหญ่คนเดียว แต่บอกกับทุกคนด้วย “หากเค้กของเราได้รับเลือก นอกจากจะได้เงินรางวัลแล้ว เราทุกคนจะได้ล่องเรือเอมี่ฟรีหนึ่งทริป”
ทุกคนร้องเย้พร้อมกัน
“ยังไม่ได้รางวัลเลยนะ อย่าเพิ่งดีใจ”