หากนางจะต้องไปอีกสองร้านก็กลัวว่าจะกลับไปเอาของที่ฝากไว้ และไปที่เกวียนที่จอดรออยู่หน้าประตูเมืองไม่ทัน
ร้านเครื่องหอมที่เลี่ยงรุ่ยพามา เป็นร้านใหญ่ไม่น้อย แต่ของด้านในก็มีเพียงแค่ถุงหอมกับกำยานที่ใช้จุดเท่านั้น กลิ่นที่มีก็เป็นกลิ่นหอมอ่อนๆ
นางหยิบถุงหอมขึ้นมาดูอย่างสนใจ กลิ่นมีให้เลือกอยู่ไม่น้อย แต่นางก็ยังไม่เข้าใจว่าเพียงแค่ห้อยไว้ที่เอว จะส่งกลิ่นหอมออกมาได้มากเพียงใด หลินเยว่จึงได้ซื้อกลับมาหนึ่งถุง ตอนที่จ่ายเงินมือของนางก็สั่นไม่น้อย เพราะต้องเสียเงินไปถึงสองตำลึงเงิน
ราคาที่นางเสียไปเป็นราคาที่ถูกที่สุดในร้านแล้ว นางไม่อยากจะเชื่อ เพียงแค่ถุงผ้าปักลวดลายสวยๆ ใส่กลีบดอกไม้แห้งเพียงเล็กน้อย จะมีราคานับสิบตำลึงเงิน ของนางที่ซื้อกลับมา ถุงผ้ามิได้มีลวดลายอันใด ราคาจึงเพียงแค่สองตำลึงเงินเท่านั้น
หลินเยว่ มิได้เอาถุงหอมห้อยไว้ที่เอว เพราะนางลองแล้ว กลิ่นที่ออกมาก็ไม่เห็นจะชัดเจนเท่าไหร่ นางจึงลองใส่ไว้ในอกเสื้อของนางแทน
“เจ้าทำอันใด” เลี่ยงรุ่ยตกใจไม่น้อย เมื่อเห็นหลินเยว่นางล่วงเข้าไปในสาบเสื้อระหว่างที่เดินอยู่บนถนน
“ข้าว่าห้อยไว้ที่เอว กลิ่นมันไม่หอมมากนัก จึงลองใส่ไว้ที่อกเสื้อแทน”
“หลิน เยว่” เลี่ยงรุ่ยเอ่ยเสียงลอดไรฟันออกมาอย่างไม่พอใจ เขาจะบอกนางเช่นไรดีว่าสตรีมิควรกระทำเช่นนี้ในสถานที่โล่งแจ้ง
“โอ๊ะ” แต่ดูเหมือนหลินเยว่นางไม่ได้สนใจเสียงตำหนิของเลี่ยงรุ่ย เพราะนางเห็นร้านเครื่องประทินโฉมจึงได้เร่งฝีเท้าไปทันที
และนางก็ไม่ได้ทันมองว่านางเพิ่งจะเดินผ่าน บุรุษและสตรีคู่หนึ่งที่มองมาทางนางอย่างประหลาดใจ
วันนี้เป็นวันที่สามของการแต่งงาน สตรีที่แต่งออกต้องเดินทางกลับบ้านเดิม เกาซินเซียนก็เช่นกัน นางกับตู้ฮุ่ยเหอกำลังเดินทางกลับบ้านเดิม แต่นางแวะมาซื้อขนมให้มารดานางเสียก่อน
เมื่อเห็นหลินเยว่ที่เดินมากับบุรุษชาวบ้าน นางก็อดที่จะยืนมองอย่างสนใจไม่ได้ เพราะพี่สาวต่างมารดาของนาง ดูไม่เหมือนกับสตรีที่อมทุกข์ที่ถูกแย่งงานแต่งงานไปเลยสักนิด
นางดูเหมือนจะสดใสมากกว่าเดิมเสียอีก ซินเซียนขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ มารดานางที่เลือกให้หลินเยว่แต่งเข้าตระกูลจาง
เพราะสาวใช้ที่จวนมาจากหมู่บ้านจิ่วหาน นางแนะนำให้รู้จักนางฮั่วซื่อ ที่มีชื่อเสียงเรื่องความร้ายกาจ ทั้งยังรังเกียจหลานชายจนทุบตีแทบจะทุกวัน
นางเจินซื่ออยากให้ลูกเลี้ยงมีชะตาชีวิตเช่นเลี่ยงรุ่ยหลานชายของนางที่ถูกกดขี่ราวกับทาสในเรือน
“นั่นอาเยว่มิใช่หรือ” ตู้ฮุ่ยเหอที่เพิ่งได้สติเอ่ยถามภรรยาของตน
“เจ้าค่ะ พี่สาวก็คงกลับบ้านเช่นกัน” ซินเซียนเอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจ
ถึงอย่างไรหลินเยว่ก็สู้นางในยามนี้ไม่ได้สักนิด ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าที่สวมใส่ หรือเครื่องประดับบนเรือนร่างของนาง
“ไปเถิดประเดี๋ยวจะสาย” ตู้ฮุ่ยเหอไม่กล้าที่จะสู้หน้าหลินเยว่ในยามนี้ เพราะเขาเป็นฝ่ายที่ทำผิดต่อนาง
หลินเยว่นางเข้าไปดูของในร้านเครื่องประทินโฉมก็พบว่าราคาที่วางขายไม่ใช่ถูกๆ เลย สีผึ้งธรรมดาก็มีราคาถึงสองร้อยอิแปะแล้ว หากมีสีอ่อนด้วยแล้ว ราคาจะสูงกว่าห้าถึงสิบตำลึงเลยทีเดียว
“มีสบู่หรือไม่” นางเอ่ยถามคนขายที่เข้ามาดูแลนาง
“เอ่อ สิ่งใดคือสบู่เจ้าคะ” หลินเยว่เลิกคิ้วมองหญิงสาวตรงหน้า
“ที่ใช้เวลาอาบน้ำอย่างไรเล่า”
“อ้อ แม่นางคงหมายถึงจ้าวเจี่ยว(ฝักต้นตั๊กแตนนิยมนำมาใช้อาบน้ำ และซักผ้า เมื่อถูจะเกิดฟอง) สิ่งนั้นไม่มีขายเจ้าค่ะ ตามเรือนหรือริมลำธารล้วนมีขึ้นเต็มไปหมด” คนงานในร้านมองหลินเยว่ เหมือนมองคนโง่
แต่นางก็หาได้สนใจสายตาของคนขายไม่ เพราะนี่คือสิ่งที่นางต้องการ หากสบู่ยังไม่มีขาย เช่นนั้นนางก็ทำสบู่ออกมาขายเสียเลย
เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว หลินเยว่ก็ออกจากร้านเครื่องประทินโฉมไปโดยไม่ได้ซื้อสิ่งใดติดมือไปด้วย
“ท่านอยากได้อะไรหรือไม่” หลินเยว่เอ่ยถาม เมื่อทั้งสองกำลังจะกลับไปเอาของที่ฝากไว้ที่ร้านข้าวสาร
“ไม่มี” เลี่ยงรุ่ยเขาไม่รู้ว่าต้องการอันใด
“แต่ข้าอยากจะซื้อตำราและเครื่องเขียนให้ท่าน” หลินเยว่นางอยากให้เลี่ยงรุ่ยเริ่มอ่านเขียนเสียที
เขาเม้มปากแน่น เพราะรู้ดีว่าเงินที่มีอยู่ในตอนนี้ยังมีไม่มากนัก หากนำมาใช้ซื้อตำราหรือเครื่องเขียนของเขาคงหมดลงไปไม่น้อย
“ข้ารู้ว่าท่านกังวลเรื่องอันใด” นางแกว่งมือของเขาเล่น แต่เลี่ยงรุ่ยรีบดึงมือของนางให้หยุดทันที
เพราะสายตาของชาวบ้านที่เดินผ่านไปผ่านมา ล้วนแต่มองมาทางนางอย่างตำหนิ
“ไม่มีสตรีใดที่จะจับมือบุรุษในที่โล่งแจ้งเช่นนี้” เขากระซิบบอกนาง เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่เข้าใจของนาง
“แม้แต่ท่านที่เป็นสามีของข้าก็ไม่ได้รึ” นางกลอกตาอย่างเบื่อหน่าย เรื่องนั้นก็ไม่ได้ เรื่องนี้ก็ไม่ได้
“อาเยว่ ข้าไม่อยากให้ผู้ใดตำหนิเจ้าได้” เขารู้ว่านางไม่สบอารมณ์ยังได้บอกเรื่องที่เขาเป็นห่วงออกมา
“เอาเถิด ท่านพาข้าไปร้านตำราก็พอ” นางโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ ทั้งสองเร่งเดินไปที่ร้านตำรา
ทางด้านซินเซียนเมื่อกลับมาถึงที่เรือนตระกูลเกา นางเจินซื่อก็ยิ้มหน้าบานออกมาทันที เมื่อบุตรเขยนำของกลับมามอบให้นายท่านเกาและนางถึงสองคันรถ บุตรสาวก็ช่างกตัญญูรู้ว่านางชอบขนมที่ตรอกเฟิ่งหยวนก็ไปต่อแถวซื้อมาให้นาง
หลังจากที่รับมื้อเช้าพร้อมกันเรียบร้อยแล้ว นายท่านเกาก็พาตู้ฮุ่ยเหอแยกตัวไปพูดคุยที่ห้องตำรา ซินเซียนนางจึงได้ชวนมารดาของนางกลับไปที่เรือน
“ท่านแม่ เมื่อครู่ข้าพบนังหลินเยว่เจ้าค่ะ” ซินเซียนเมื่อเข้ามาในห้องของมารดาก็เอ่ยเล่าเรื่องที่พบหลินเยว่ออกมาทันที
เจินซื่อดูตกใจไม่น้อยกับเรื่องที่บุตรสาวนำกลับมาเล่าให้นางฟัง เพราะยาที่นางให้หลินเยว่กินเข้าไป หากกินน้อยก็เพียงแค่ลุกจากเตียงไม่ได้หลายวัน เพราะมีอาการแขนขาอ่อนแรง
แต่ที่นางให้กินเป็นจำนวนมาก หากไม่ตายอย่างน้อยก็ต้องนอนติดเตียง จนไม่อาจกลับมาเรียกร้องสิ่งใดที่จวนตระกูลเกาได้อีก
ยิ่งรู้ว่าหลินเยว่นางไม่ได้มีสภาพเช่นที่นางคิด ทั้งยังดูมีความสุขไม่น้อย นางเจินซื่อก็อดเป็นกังวลไม่ได้
ตอนที่นางเปลี่ยนตัวเจ้าสาว นางบอกสามีว่า หลินเยว่นางมิค่อยจะแข็งแรงหากแต่งเข้าจวนตระกูลตู้ไป เกิดมีบุตรไม่ได้ ตระกูลเกาคงจะผิดใจกับตระกูลตู้ได้
อย่างไรนายท่านเกาที่เป็นเพียงคหบดีก็ต้องเพิ่งขุนนางเช่นนายอำเภอตู้ จึงได้แต่ยินยอมให้นางเจินซื่อจัดการทั้งหมด