นางคิดว่าเขาเคยชินกับที่นอนแข็งๆ ที่มีเพียงเตียงไม้ไผ่ปูทับด้วยผ้าบางๆ
“ไม่ใช่” เลี่ยงรุ่ยได้ทีก็ขยับไปจนชิดกับนาง
“ที่นอนกว้างขวาง ท่านจะมานอนเบียดข้าเพื่ออันใด” นางลุกขึ้นไปมองที่นอนฝั่งของเลี่ยงรุ่ยที่กว้างจนคนอีกคนมานอนได้อย่างสบาย
“ข้าอยากนอนใกล้เจ้า” หลินเยว่เบิกตากว้างมองเลี่ยงรุ่ย
คืนนี้ที่ทั้งคู่นอนด้วยกัน เป็นเพียงคืนที่สามเท่านั้น เขาก็ทำหน้าหนาอยากนอนใกล้นางเสียแล้ว
“เอ่อ นอนนิ่งๆ เล่า ห้ามขยับอีก ข้าจะนอนแล้ว” นางพลิกตัวหันหนีไปอีกข้าง เพราะไม่อยากให้เขาเห็นว่านางกำลังหน้าแดง
เลี่ยงรุ่ยมิได้ขยับตัวอีก จนเมื่อหลินเยว่นางหลับสนิท เขาก็ลืมตาขึ้น พร้อมทั้งดึงนางเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดแทน
รุ่งเช้าเมื่อหลินเยว่นางตื่นขึ้น นางจึงได้รู้ว่าตัวนางอยู่ในอ้อมกอดของเลี่ยงรุ่ย นางจึงนอนนิ่งไม่ยอมขยับ เลี่ยงรุ่ยที่รู้ว่านางตื่นแล้วแต่ไม่ยอมที่จะขยับตัวก็รู้สึกขบขันไม่น้อย เขาจึงกระซิบข้างหูของนาง
“ตื่นแล้วเหตุใดถึงไม่ลุกเล่า” เสียงทุ้มต่ำยามตื่นนอนของเขา ทำให้นางอดจะขนลุกไม่ได้
หลินเยว่รีบพลิกตัวหนีไปอีกด้านทันที นางยกผ้าห่มขึ้นมาคลุมจนมิด เพราะตัวนางคิดว่าเป็นตัวเองที่เผลอเข้าไปกอดเขาตอนที่นอนหลับไม่รู้สึกตัว
“หึหึ” เสียงหัวเราะในลำคอของเลี่ยงรุ่ย ยิ่งทำให้หลินเยว่นางอับอายจนไม่กล้าจะเปิดผ้าห่มออก
“ประเดี๋ยวก็หายใจไม่ออก” เขาดึงผ้าห่มให้ออกจากตัวของนาง
“ข้า ข้า ไม่คิดว่าตนเองจะนอนดิ้นเพียงนี้” นางโผล่หน้าออกมา พร้อมทั้งเอ่ยบอกเขา
เลี่ยงรุ่ยเพียงแค่อมยิ้มมองนาง เขาไม่ได้บอกว่าเป็นเขาที่ดึงนางเข้ามาสวมกอดไว้ทั้งคืน ในเมื่อนางเข้าใจเช่นนี้ ก็ดีแล้ว จะได้ไม่คิดว่าเขาฉวยโอกาสกินเต้าหู้นาง
“ลุกเถิด เจ้าเป็นภรรยาข้า จะเป็นอันใดไปเล่า ประเดี๋ยวจะไม่ทันเกวียนวัวเข้าเมือง” เขามองนางด้วยสายตาที่เร่าร้อน จนหลินเยว่นางทำตัวไม่ถูกไม่รู้ว่าควรลุกออกจากผ้าห่มดีหรือไม่
เป็นเลี่ยงรุ่ยที่ดึงตัวนางให้ลุกขึ้น ก่อนจะพากันเข้าไปล้างหน้าล้างตาในมิติ แล้วกินอาหารรองท้อง ก่อนจะพากันเดินออกจากเรือนไปที่หน้าหมู่บ้าน
หมู่บ้านที่หลินเยว่นางมาอยู่ นางก็เพิ่งจะรู้ว่าเรียกว่า หมู่บ้านจิ่วหาน อยู่ที่เมืองหานตง ทิศตะวันออกของแคว้นต้าเยี่ยน หากจากเมืองหลวงถึงสองพันลี้ (1ลี้=500เมตร)
ทั้งสองจ่ายค่าเกวียนวัวเพื่อเดินทางเข้าเมืองคนละสามอิแปะ ต้องนั่งเกวียนไปถึงหนึ่งชั่วยาม (1ชั่วยาม=2ชั่วโมง) กว่าจะเดินทางถึงตัวเมืองหานตง หากเดินเท้าเลี่ยงรุ่ยบอกว่าต้องมีถึงสองชั่วยามกว่าจะถึง
หลินเยว่สีหน้าของนางหมองลง นางต้องนั่งอยู่ในเกวียนวัวที่โขยกเขยกเช่นนี้ไปตลอดทางเลยหรือ
เพราะความที่นางไม่เคยนั่งมาก่อน จึงทำให้การทรงตัวของนางไม่ค่อยจะมั่นคงนัก ยังดีที่เลี่ยงรุ่ยช่วยโอบประคองนางไว้ มิเช่นนั้นนางคงได้หน้าทิ่มลงพื้นเกวียนตั้งแต่เดินทางออกจากหมู่บ้านแล้ว
พอมาถึงที่ประตูเมือง ลุงถังคนขับเกวียนก็นัดแนะเวลาเดินทางกลับหมู่บ้านกับพวกเขา ก่อนที่เลี่ยงรุ่ยจะเดินพาหลินเยว่นางไปจ่ายค่าผ่านทางเข้าเมืองแล้วพากันเดินเข้าไปด้านใน
หลินเยว่มองผู้คนที่เดินสัญจรไปมา พร้อมกับร้านค้าที่ละลานตาไปหมด ชาวบ้านส่วนมากที่นำผักป่าหรือเนื้อสัตว์เข้ามาขาย หากไม่ไปส่งที่เหลาอาหารก็จะนำมาวางขายแบกับดินอยู่ที่ใกล้ประตูเมือง
“ทางด้านทิศใต้ก็ยังมีตลาดเช่นนี้อีก หากเจ้าอยากเที่ยวดูไว้ข้าจะพาไป” เลี่ยงรุ่ยเห็นว่านางสนใจจึงเอ่ยบอกนาง
“วันนี้คงยังไม่ไปดู มีของที่ต้องซื้ออีกไม่น้อยข้ากลัวจะไม่ทันกลับพร้อมเกวียนวัว” นางไม่มีทางยอมเดินอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นก็ต้องเสียเงินจ้างเกวียนวัวกลับหมู่บ้านแทน
“เช่นนั้นก็ไปกันเถิด” เลี่ยงรุ่ยเดินไปที่ร้านขายข้าวสารก่อนเป็นอันดับแรก แต่มิใช่ร้านที่จางซุนเป็นหลงจู๊แต่อย่างใด เพราะร้านของจางซุนขายราคาแพงกว่าร้านอื่นถึงสามอิแปะต่อชั่ง (1ชั่ง=500กรัม) ข้างร้านขายข้าวสารยังมีร้านขายไหและเครื่องเคลือบอยู่ด้วย จึงไม่ต้องเดินไปหาซื้อที่ใดให้ยุ่งยาก
หลินเยว่เมื่อเห็นขวดเครื่องเคลือบและตลับเครื่องเคลือบดวงตาของนางก็เปล่งประกายออกมา ก่อนจะเดินเข้าไปเลือกดูอย่างสนใจ
“ฮูหยิน ท่านต้องการสิ่งใดหรือขอรับ” เสี่ยวเอ้อเดินเข้ามาถามหลินเยว่ เมื่อเห็นนางเดินเข้ามาในร้าน
“ข้าอยากดูขวดกระเบื้องและตลับเท่านี้มีหรือไม่” นางทำมือให้เขาดูว่านางต้องการขนาดประมาณไหน
หลินเยว่นางต้องการขวดกระเบื้องเพื่อนำไปใส่สบู่เหลว ส่วนตลับนางต้องการนำไปใส่ลิปสติกที่นางคิดจะทำออกมาวางขาย
“ท่านลองเลือกดูขอรับ” เสี่ยวเอ้อ นำขวดและตลับหลายขนาดออกมาให้หลินเยว่นางได้ดู
ทุกแบบนางล้วนแต่ชื่นชอบทั้งสิ้น แถมยังคิดไว้แล้วด้วยว่าขวดสีนี้จะใส่ครีมอาบน้ำกลิ่นไหน หรือตลับลายไหนจะใส่ลิปสีใดดี
เลี่ยงรุ่ยเมื่อซื้อข้าวสารเรียบร้อยก็เดินเข้ามาหานางที่ด้านในร้าน เขาปล่อยให้หลินเยว่ได้เลือกดูของอย่างเต็มที่ โดยที่เขาไปนั่งรออยู่ด้านข้างของร้านแทน
“ราคาเท่าใดรึ” นางชี้ไปที่ขวดและตลับเคลือบที่วางอยู่ด้านหน้าของนาง
“ขวดเล็กสองตำลึง ขวดใหญ่สามตำลึง ตลับขนาดสองร้อยอิแปะ ตลับขนาดใหญ่สามร้อยอิแปะขอรับ”
หลินเยว่กลืนน้ำลายลงคอทันที เมื่อนางได้ยินราคาของเครื่องเคลือบ
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ไว้ข้าขอตัดสินใจก่อน” นางยิ้มแห้งมองเสี่ยวเอ้อ ก่อนที่จะเดินไปหาเลี่ยงรุ่ยแล้วรีบดึงเขาให้ออกเดินไปทันที
“หึหึ เป็นอันใดไป” เขาหยอกล้อนางที่ยังมีสีหน้าตกตะลึงไม่หาย
“แพงมาก” นางกระซิบบอกเขา
เมื่อก่อนซื้อของแทบไม่ต้องเอ่ยถามราคา แต่มาในยามนี้เงินที่ตัวก็มีไม่มาก จะซื้อสิ่งใดต้องคิดแล้วคิดอีก และนางก็ไม่คิดว่าราคาเครื่องเคลือบจะแพงเช่นนี้
“ข้าคิดว่าเจ้ารู้ราคาแล้วเสียอีก”
“จะรู้ได้อย่างไรเล่า” นางอดจะมองค้อนเขาไม่ได้ นางเพิ่งจะมาถึงได้กี่วันกันเอง
หลินเยว่เปลี่ยนความคิดทันที ที่จะนำสบู่เหลวออกมาขายในตอนนี้ เพราะราคาต้นทุนที่สูงจนนางต้องยอมถอยออกมา
“จะไปที่ใดต่อ” เลี่ยงรุ่ยเห็นหลินเยว่เหมือนจะมองหาอะไร จึงได้เอ่ยถามออกมา
“ข้าอยากจะไปดูร้านเครื่องหอม หรือเครื่องประทินโฉม” นางไม่รู้ว่านางเรียกถูกหรือไม่ หากอิงตามนิยายที่อ่านมาก็เรียกเช่นนี้ทั้งนั้น
“ได้ เดินไปอีกสองถนนก็พบแล้ว” เลี่ยงรุ่ยเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เพราะเมื่อครู่หลินเยว่นางเสียเวลาอยู่ที่ร้านเครื่องเคลือบเป็นเวลาไม่น้อย