“พี่ไท เราเลิกกันเถอะค่ะ”
ฉันไม่นึกเลยว่าจะมีวันที่ฉันต้องพูดคำนี้กับคนรักของฉัน ในวันที่ทุกอย่างควรไปได้ดีแต่เรากลับมีมือที่สามเข้ามาแทรกกลางจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต ฉันกับพี่ไทเกอร์คบกันมาตั้งแต่ฉันเรียนม.ปลายจบ ถ้านับแค่เวลาที่คบกันก็ปาไป 3 ปีแล้ว
เราเจอกันครั้งแรกตอนฉันเรียนม.5 ตอนนั้นพี่ไทกับพ่อของเขามาตรวจโรงเรียนและเราก็ได้บังเอิญเจอกัน เขาสะดุดตาฉันตั้งแต่แรกพบเพราะใบหน้าที่หล่อกว่าดาราบางคนซะอีก
ผมสีดำแซมด้วยสีน้ำเงินนิด ๆ ดูเหมาะสมกับเขามากฉันเผลอจ้องเขาตั้งนานสองนาน ถ้าเพื่อนไม่เรียกไปเข้าเรียนก็คงจ้องอยู่แบบนั้น
หลังจากนั้นเราก็ได้มีโอกาสเจอกันอีกบ่อย ๆ เขาโตกว่าฉันหลายปีเลยและกำลังศึกษางานกับพ่อของเขาเลยมาที่โรงเรียนนี้ ฉันที่เป็นคณะกรรมการนักเรียนจึงได้ใกล้ชิดกับเขาบ่อย ๆ
จากวันเป็นเดือนจากเดือนเป็นปีที่ฉันได้รู้จักเขา เราค่อย ๆ เข้าหากันช้า ๆ อย่างเป็นธรรมชาติและไม่น่าเกลียดจนเกินไป บางครั้งในวันหยุดเราก็ออกไปเที่ยวด้วยกัน ฉันค่อย ๆ ตกหลุมรักเขาไปช้า ๆ เหมือนกับที่เขาเองก็ตกหลุมรักฉัน
“น้ำชาครับ วันนี้เราไปดินเนอร์กันนะ”
เขาบอกในวันเกิดอายุครบ 18 ปีของฉัน เราไปดินเนอร์กันที่ภัตตาคารหรูแห่งหนึ่งโดยที่ฉันไม่รู้เลยว่าเขาได้เตรียมเซอร์ไพรส์ไว้ให้แบบจัดเต็ม
“ชาครับ พี่มีเรื่องจะบอกครับ”
“คะ? อะไรเหรอคะพี่ไท”
บัลเลอร์เดินเข้ามาพร้อมดอกดอกคามิเลียสีชมพูอ่อนช่อใหญ่ เขารับมันและเดิมมาคุกเข่าลงข้างฉัน
“ชาครับ เป็นแฟนกับพี่นะ คบกับพี่จนกว่าจะพร้อมแต่งงานกัน....”
“พี่ไทเกอร์....”
“พี่รักชานะครับ”
ฉันตกลงคบกับเขาหลังจากนั้นโดยที่มีพ่อกับแม่คอยดูอยู่ห่าง ๆ เราไม่เคยมีอะไรเกินเลยกันแม้แต่นิดเดียว เขาให้เกียรติฉันยิ่งกว่าอะไรดี
ความรักของเราเติบโตขึ้นอย่างมั่นคง เราไม่เคยทะเลาะหรือเข้าใจผิดกับแม้แต่ครั้งเดียว จนกระทั่งฉันขึ้นปีสามฉันก็ได้รู้จักผู้หญิงคนนั้น
เธอมีชื่อว่าไลล่าเป็นน้องรหัสของพี่ไทสมัยเรียนมหาลัย เธอเข้ามาทำงานในบริษัทของพี่ไทได้หนึ่งปีแล้วและรอยร้าวของเราก็เริ่มต้นขึ้นจากตรงนั้น
“พี่ไท นั่นใครคะ”
“อ้อ รุ่นน้องสมัยเรียนมหาลัยครับ เธอเพิ่งมาสมัครงานเมื่อไม่นานนี้เอง”
“งั้นเหรอคะ.....”
ตอนนั้นฉันนึกว่ามันคือความคิดมากของตัวเองเลยไม่ได้ใส่ใจมันเท่าที่ควรแต่พอมานึกย้อนดูแล้วฉันควรเอะใจให้ไวกว่านี้สักนิด
เธอเข้าหาพี่ไทเพราะหน้าที่การงานในช่วงแรก ทว่าพักหลัง กลับทำตัวสนิทสนมกับพี่ไทจนฉันเริ่มอึดอัด สายตาที่เขาใช้มองพี่ไทผู้หญิงด้วยกันรู้ดีว่า มันมากกว่ารุ่นพี่รุ่นน้อง
พี่ไทก็ซื่อบื้อซะจนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังอ่อยอยู่แม้จะสร้างเส้นคั่นไว้กับผู้หญิงคนนั้นแต่พี่ไทก็ยังคงเป็นพี่ไท ไม่ทันเหลี่ยมคนและใจอ่อนไม่เข้าเรื่อง
“พี่ไทอยู่ไหนคะ”
(พี่อยู่บริษัทครับ เลิกแล้วเหรอ ให้พี่ไปรับไหม?)
“ไม่เป็นไรค่ะ งั้นเดี๋ยวชาเข้าไปหาที่บริษัทนะคะ”
(รีบมานะ พี่คิดถึง)
ฉันกดวางสายพี่ไทก่อนจะขับรถตรงไปยังบริษัทเขาและเมื่อมาถึงก็ได้เห็นภาพที่ไม่อยากเจอ
“พี่ไทเกอร์คะ เอกสารตรงนี้ไลล่าทำถูกไหมคะ”
เธอกำลังก้มลงไปคุยกับพี่ไทอย่างแนบชิดเกินจำเป็น แถมยังปลดกระดุมเสื้อลงไปสองเม็ด มองตั้งแต่ดาวอังคารก็ยังรู้ว่าตั้งใจอ่อย
“พี่ไททท ชามาแล้วค่าาาา”
ฉันตั้งใจตะโกนออกมาดัง ๆ แล้ววิ่งเข้าไปกอดเขาไว้ พี่ไทเงยหน้าขึ้นจากงานบนโต๊ะพร้อมกับรับตัวฉันที่โถมเข้าไปกอด
“ชา ระวังสิเดี๋ยวล้มนะ”
“ไม่ล้มหรอกค่ะ ชาเชื่อใจพี่”
ฉันพูดไปแบบนั้นพร้อมกับปรายตามองคนข้าง ๆ ที่ทำหน้าเจื่อน ๆ ก่อนที่เธอจะขอตัวออกไปจากห้อง ฉันได้แต่เก็บงำสิ่งที่เห็นไว้ในใจเพราะไม่อยากมีปัญหากับเขา
ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ผิดมาก
ความนิ่งนอนใจของฉันกับความซื่อและไม่ทันคนของพี่ไท ทำให้เรื่องในวันนี้เกิดขึ้น รอยร้าวเล็ก ๆ ที่เรามองไม่เห็นทำให้ทุกอย่างมาถึงทางตัน
“น้ำชา แกจะไปจริง ๆ เหรอ”
ฉันดึงตัวเองออกมาจากความคิดที่วุ่นวายในหัวก่อนจะหันมายิ้มให้เพื่อน ๆ ที่มาส่งที่สนามบิน ทุกคนมีสีหน้ากังวลใจแบบที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน
“อืมม ขอไปพักใจก่อนนะ แค่ไม่กี่วันเดี๋ยวก็กลับมาแล้วล่ะ”
“งั้นเดินทางปลอดภัยนะ มีอะไรโทรหามานะพวกฉันจะรีบไปหาให้ไวที่สุด”
“ขอบใจนะ”
ฉันโบกมือลาเพื่อน ๆ และเดินขึ้นเครื่องไปตัวคนเดียว จะว่าไปนี่ก็เป็นครั้งแรกเลยนะที่ต้องเดินทางคนเดียวเพราะปกติฉันจะมีเขาอยู่เคียงข้างตลอด มันแอบเหงาอย่างบอกไม่ถูกเลยล่ะ
ตลอดระยะเวลาที่เดินทางไปยังบ้านที่ต่างจังหวัด ฉันยอมรับเลยว่าคิดถึงเขามาก คิดถึงกลิ่นโคโลจน์หอม ๆ ที่เขาชอบใช้ ไออุ่นที่ฉันชอบซุกอยู่ทุกคืนวันหรือแม้แต่น้ำเสียงที่เอาใจฉันอย่างสม่ำเสมอ
“เฮ้อออ ทำไมมันกลายเป็นแบบนี้นะ....”
»»»»««««
“น้ำชา ทางนี้ลูก”
ฉันหันไปมองตามเสียงเรียกก่อนจะพบกับคนที่มารอบรับทั้งสองท่านกำลังโบกมือเรียก
“คุณตา คุณยาย หนูคิดถึงจังเลยค่ะ”
ฉันยกมือไหว้ท่านทั้งสองแล้วเข้าไปสวมกอดยายไว้แน่น ไม่ได้เจอพวกท่านมาหลายปีแล้วที่ท่านยังดูแข็งแรงอยู่เลย
“ไปไงมาไงล่ะถึงได้มาหายายปุบปับแบบนี้ หืมม?”
“หนูแค่คิดถึงค่ะ”
“แน่ใจนะ? แต่หน้าหลานดูไม่เหมือนคนที่มาหาเพราะคิดถึงเลย เหมือนหนีใครมามากกว่า”
ฉันสะดุ้งเล็กน้อยที่ถูกจับได้ก่อนจะรีบตีสีหน้ายิ้มกลบเกลื่อนความรู้สึกตัวเองเอาไว้
“คิดถึงค่าา คิดถึงฝีมือกับข้าวของคุณยาย คิดถึงเสียงเปียโนของคุณตาด้วย”
“อ้อนตั้งแต่เด็กจนโตเลยสินะเรา ไปกลับบ้านกัน ยายทำกับข้าวไว้รอแล้วล่ะ”
“เย้ หนูจะกินให้พุงกางเลย!”
ฉันกอดแขนยายเดินไปขึ้นรถโดยมีคุณตากับคนรับใช้ที่บ้านเดินถือของตามมาด้วย หวังว่าการมาเชียงใหม่ครั้งนี้จะทำให้ฉันรักษาใจที่บาดเจ็บหนักได้นะ
อย่างน้อย ๆ ก็ทำให้เลิกคิดถึงเขาไปได้พักหนึ่ง...ล่ะมั้ง
“เอาล่ะ หลานยายถึงเวลาต้องเล่าให้ยายฟังแล้วนะ”
หลังจากทานข้าวเสร็จฉันกับคุณยายก็ออกมาเดินเล่นชมสวนดอกไม้ที่หลังบ้าน ระหว่างที่กำลังเดินเล่นคุณยายก็พูดขึ้นมาลอย ๆ ฉันกะไว้แล้วล่ะว่าต้องปิดไว้ไม่มิด
“หนูปิดอะไรคุณยายไม่เคยได้เลยนะคะ”
“ก็ยายเลี้ยงหลานมากับมือ ทำไมจะไม่รู้ล่ะว่าหลานมีเรื่องทุกข์ใจ เรื่องไทเกอร์ใช่ไหมที่ทำให้หลานหอบตัวเองมาถึงเชียงใหม่นี่”
นอกจากจะรู้ว่าฉันมีเรื่องไม่สบายใจก็ยังรู้อีกว่าเรื่องอะไร เก่งจริง ๆ ยายของฉันเนี่ย
“ก็ได้ค่ะ หนูเล่าก็ได้.....”
เราเดินมานั่งที่ศาลาเล็กในสวนก่อนที่ฉันจะเล่าทุกอย่างให้ยายฟังตามตรง ทั้งความอึดอัดใจทั้งความไม่สบายใจที่สะสมไว้มาหลายเดือน มันเหมือนกันได้ระบายความคิดแย่ ๆ ออกไปจนหัวโล่งเลยล่ะ
“แต่ยายว่าเรื่องนี้หลานก็ทำไม่ถูกนะ”
หลังจากฟังจบท่านก็บอกฉันมาแบบนั้นแล้วยิ้มให้กับฉันที่ยังทำหน้างงอยู่ มือเรียวลูบหัวฉันเบา ๆ ก่อนที่ท่านจะอธิบายให้ฉันฟัง
“รู้ไหมทำไมยายกับตาถึงรักกันมาได้เกือบสี่สิบปี?”
“ไม่รู้ค่ะ ทำไมเหรอคะ?”
“เพราะเวลาที่ยายมีเรื่องอะไรที่ไม่สบายใจยายจะคุยกับตาตลอด”
“.....”
“น้ำชา ต่อให้จะรักกันมากแค่ไหนแต่เราก็อ่านใจกันไม่ได้หรอกนะ บางครั้งการคุยกันตรง ๆ ก็เป็นวิธีที่ดีสุด อะไรที่เราไม่ชอบ อะไรที่เค้าไม่ชอบก็ต้องหันหน้าเข้าหากัน”
“คุณยายคะ....”
“ยายรู้ว่าหลานคิดอะไรอยู่ แต่การที่หลานบอกเลิกเขาและหนีมาแบบนี้มันจะทำให้ปัญหาจบจริง ๆ เหรอ? หลานควรคุยกับเขาตรง ๆ บอกเค้าไปว่าหลานคิดและรู้สึกอะไรอยู่ ไม่ใช่หนีหายมาแบบนี้”
“หนูเข้าใจแล้วค่ะคุณยาย ขอโทษนะคะที่ทำให้ลำบาก”
ฉันเข้าใจในสิ่งที่ท่านต้องการจะบอกแล้ว บางทีปัญหาอาจจะไม่ได้อยู่ที่เขาแต่เป็นฉันมากกว่าที่เลือกจะเดินหนีมากกกว่าหันหน้าเข้าคุยกัน
“โอ้ยย ยายจะไปเหนื่อยอะไร คนเหนื่อยคือคนนู้นมากกว่านะ ยายว่า”
ท่านชี้ไปทางประตูที่เราเดินเข้ามา ฉันกลับไปมองก็เจอกับสายตาคู่หนึ่งพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อ
“ชา....หนีพี่มาทำไมครับ พี่ทำอะไรผิดงั้นเหรอ”