เขาและนางยืนสบตากันครู่หนึ่ง แม้ว่าเขาจะแอบเห็นสายตาที่อ่อนโยนลงจากนางแต่ก็เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้นและก็กลับไปเป็นนิ่งเรียบและเย็นชาเช่นเดิม
“เช่นนั้นขอบใจเจ้ามากสำหรับการดูแลข้าตลอดเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ขอให้เจ้า…โชคดี”
“ท่านเองก็เช่นกัน ลาก่อน”
เว่ยเฟิงหรงเดินลงจากเนินเขาที่ใช้ฝึกวิชาและมาลาอาหยงและเดินทางลงจากเขาลั่วซางทันทีโดยที่ไป๋ซูเม่ยมิได้ตามลงมาส่ง นางยังคงยืนอยู่ที่ลานฝึกและมองพวกเขาเดินลงจากเขาไปอย่างเงียบ ๆ
“คุณชายเว่ย ท่านเป็นผู้ที่ไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยวกับความแค้นนี้ ตัวข้ามิอาจไว้ใจผู้ใดได้เหมือนครั้งที่ผ่าน ๆ มาอีกต่อไปแล้ว”
เว่ยเฟิงหรงหันหลังมามองนางที่ยืนนิ่งอยู่บนเชิงเขา นางเองก็ยังคงมองมาที่เขาเช่นกัน สองคนที่สบตากันแม้ว่าจะไกลแต่เขาคิดไม่ผิด เขาเห็นว่านางกำลังยิ้มให้เขาอยู่เป็นแน่
“หากว่ามีวาสนาคงได้พบกันอีกในวันข้างหน้า ถ้าได้พบเจ้าอีกครั้งข้าจะไม่ยอมปล่อยเจ้าไปเหมือนดังเช่นวันนี้เป็นแน่”
“คุณชาย…”
ต้าหมินเรียกเขาอีกครั้งเมื่อเห็นว่าท่านชายเว่ยยังคงยืนอยู่ที่เดิมเขาจึงหันมาบอกต้าหมินก่อนจะเดินนำไปก่อน
“รีบไปเถอะ”
ระยะทางที่ไป๋ซูเม่ยเคยบอกต้าหมินเอาไว้ทำให้พวกเขาเดินลงจากเขามาในเวลาที่สั้นมากจริง ๆ เขาอยู่ที่หยางโจวมาตั้งแต่เกิดและรู้จักเขาลั่วซางนี้เป็นอย่างดีแต่กลับไม่เคยพบว่ามีทางใดลงจากเขาได้รวดเร็วเช่นนี้มาก่อนเลย
“คุณชายขอรับ ท่านอ๋องออกเดินทางไปเมืองหลวงก่อนหน้านั้นแล้ว คนของเราส่งข่าวแจ้งให้ท่านอ๋องทราบเรื่องที่คุณชายจะเดินทางไปถึงเมืองหลวงล่าช้ากว่ากำหนดแล้วขอรับ”
“อืม ข้ารู้แล้วไม่เป็นอะไรหรอก ข้าส่งข่าวบอกหานลั่วเอาไว้แล้วว่าให้เขารับรองเสด็จพ่อไปก่อน ข้าจะรีบตามไปทันที”
“เหตุใดคุณชายไม่รีบตามท่านอ๋องไปก่อนหน้านี้ขอรับ หรือเป็นเพราะว่า…..”
“เจ้าติดตามเรื่องคนร้ายครั้งก่อนไปถึงไหนแล้ว ได้เบาะแสพวกมันบ้างหรือยัง”
“ยังเลยขอรับ คนร้ายเก็บตัวเงียบคนที่เราจับได้ก็ฆ่าตัวตายหมดแล้วก็เลย…”
“ช่างเถอะ เดาได้ไม่ยากนักหรอก เร็ว ๆ นี้เขาก็ต้องลงมืออีก ผู้ที่อยากจะฆ่าข้ามีไม่กี่คนนักหรอก”
กระท่อมไม้ไผ่
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านจะเดินทางเข้าเมืองหลวงจริง ๆ หรือเจ้าคะ องครักษ์ต้าหมินพูดว่าพวกเขาเองก็….”
“นี่เจ้าคุยกับพวกองครักษ์ของคุณชายเว่ยด้วยงั้นหรือ”
“ก็…ใช่เจ้าค่ะข้าเองก็แค่อยากรู้ เห็นว่าท่านอ๋องเองก็จะเสด็จไปด้วยตอนนี้ออกจากเมืองหยางโจวไปก่อนหน้านั้นแล้ว เห็นว่าเป็นงานฉลองครบรอบของแคว้นเจ้าค่ะ ทุกคนจึงมุ่งหน้าไปเมืองหลวงตามเทียบเชิญของฝ่าบาท รวมถึงท่านอ๋องและซื่อจื่อด้วย”
“งานฉลอง…สมโภชแคว้นงั้นหรือ…ครบอีกปีหนึ่งแล้วสินะ”
ไป๋ซูเม่ยนึกย้อนกลับไปเมื่อปีที่ผ่านมา นางอยู่เคียงข้างกับองค์ชายเสวียนอวี่ในทุก ๆ งานฉลองโดยที่สายตานางไม่เคยมองผู้ใดมาก่อน
จนเมื่อปีที่แล้วในงานฉลองวันครบรอบการก่อตั้งแคว้นนี้เช่นกัน เพียงแต่ปีก่อนหน้านี้ไม่ได้จัดใหญ่เหมือนเช่นปีนี้
ในงานฉลองปีก่อนนี้เองที่ทำให้นางหัวใจแทบสลายเมื่อฝ่าบาทประทานสมรสให้กับเหล่าบรรดาองค์ชายที่มีผลงาน รวมถึงองค์ชายเสวียนอวี่กับเหยียนเฟยหย่า บุตรสาวของแม่ทัพเหยียนเจิน
“ขอบพระทัยเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ ลูกจะดูแลน้องเฟยหย่าเป็นอย่างดีมิให้นางต้องเสียใจเป็นอันขาด ขอท่านแม่ทัพเหยียนโปรดวางใจ”
นางจำได้ว่านางยืนกำหมัดแน่นอยู่ด้านหลัง แม้แต่น้ำตาก็มิอาจให้ไหลออกมาได้และต้องทนมองพวกเขาทั้งสองดื่มสุราและป้อนอาหารให้กันในงานเลี้ยง พูดคุยกันราวกับคู่รักใหม่ แต่เมื่องานเลี้ยงเลิกแล้วเขากลับเมาและมาหานางดังเช่นทุกครั้ง
“อิ่นหลง…อิ่นหลงมานี่เร็วเข้า”
“องค์ชายพระองค์เมาแล้วนะเพคะ โปรดเสด็จกลับไป…อ๊ะ”
“แคว่ก!!”
“มานี่!! ข้ายังมีแรงมากพอ ดูสิชุดนอนของเจ้าข้าก็ฉีกให้ขาดได้ เจ้ายัง….ดูหน้าเจ้าสิ ทำหน้าอะไรเช่นนี้ไม่พอใจสิ่งใดกัน”
“องค์ชาย โปรดระวังวาจาด้วยเพคะ พระองค์มีคู่หมั้นแล้ว”
“อ้อ…ที่แท้เจ้าก็โกรธเรื่องนี้ คู่หมั้นก็ส่วนคู่หมั้น เจ้าก็ส่วนเจ้าสิจะเทียบอะไรกันได้เล่า พวกนางก็แค่ตุ๊กตาเอาไว้ประดับบารมี แต่ผู้ที่จะรองรับความต้องการของข้าได้ และ….เจ้าจับดูสิ ข้าบอกให้จับ!! อา….เช่นนั้นแหละ เจ้ารู้หรือยังว่ามันต้องการเจ้าเพียงใด เร็วเข้าอิ่นหลง ใช้ปากกับมันที เร็ว!!”
“องค์ชายเพคะ หม่อมฉัน….”
“อาา อิ่นหลง…ข้ารักเจ้ายิ่งนัก”
เขาพร่ำบอกระหว่างที่กดศีรษะนางให้บำเรอกามให้เขาด้วยปากจนเขาสำเร็จความใคร่และจับนางมัดพร้อมกับร่วมรักกับนางเกือบครึ่งคืนจนร่างกายนางบอกช้ำ ปากนางเริ่มมีเลือดซึมเพราะเขากัดจนเกิดรอย
“อาา อิ่นหลงเจ้ายังคงเป็นที่หนึ่งในใจของข้าเสมอ….”
เพียงแค่คำว่ารักของเขาทำให้นางลืมทุกสิ่ง นางในเวลานั้นช่างโง่เขลาและงมงายมากจริง ๆ หลงเชื่อเพียงลมปากที่บอกว่ารักและเป็นหนึ่งในหัวใจ แต่นางมารู้ทีหลังว่าคำหลอกลวงเหล่านั้นล้วนเป็นคำโกหกทั้งหมดก็ก่อนที่นางจะตาย
“เจ้าคิดว่าองค์ชายรักเจ้าจริง ๆ น่ะหรือ หึ ข้าจะบอกให้นะระหว่างที่เจ้าไม่มีเวลาปรนนิบัติพระองค์ องค์ชายก็ไปทำเรื่องเช่นนี้กับสาวใช้อื่น ๆ ที่ฮองเฮาประทานมาให้ พวกข้าเองก็เข้าร่วมด้วยในบางครั้ง หากว่าพวกนางคนใดปรนนิบัติไม่ถูกพระทัยก็จะส่งมาให้พวกข้า… เช่นเดียวกับเจ้าแต่ว่า…พวกข้าน่ะทำไม่ลงหรอก เจ้ามันเละเทะไปทั้งร่างแล้วเช่นนี้ ฮ่า ๆ”
“คุณหนูเจ้าคะ….คุณหนู!!”
“หา!! อาหยงเจ้าว่าอย่างไรนะ”
“คุณหนู ท่านเหม่อลอยนานเกินไปแล้วนะเจ้าคะ ข้าเรียกท่านตั้งนานแล้ว ข้าถามว่าพวกเราเก็บของเสร็จแล้ว รถม้าก็เช่าเอาไว้แล้วเดินทางได้เลยเจ้าค่ะ”
“อ้อ….นั่นสินะ รีบลงเขากันเถอะ”
หลังจากเว่ยเฟิงหรงลงจากเขาไปแล้วสามวันนางก็เริ่มเก็บข้าวของและลงจากเขาเพื่อเตรียมตัวเดินทางต่อไปยังเมืองหลวง ระหว่างทางก็ไม่มีสิ่งใดที่จะดึงความสนใจพวกนางได้นอกจากทิวทัศน์ที่เริ่มแปลกตามากขึ้น
พวกนางต้องแวะพักที่โรงเตี๊ยมนอกเมืองก่อนที่จะเข้าเมืองหลวงพรุ่งนี้เนื่องด้วยประตูเมืองปิดไปแล้วเมื่อพวกนางเดินทางมาถึง
“ช่างเถอะ ช่วงเวลาแบบนี้ก็เป็นเช่นนี้แหละแม้ว่าคนเข้าออกมากแต่ก็ความระมัดระวังก็จะสูงไปด้วย หาที่พักสักคืนก็แล้วกัน”
“เช่นนั้นข้าจะไปจองห้องพักที่โรงเตี๊ยมด้านนั้นนะเจ้าคะ”
“อืม รีบไปเถอะ”
ช่างโชคร้ายที่มีผู้คนสัญจรจำนวนมากและเข้าเมืองไม่ทันหลายคน ดังนั้นที่พักในโรงเตี๊ยมจึงได้เต็มอย่างรวดเร็ว
“อะไรนะ เต็มแล้ว เช่นนั้นที่อื่นเล่าเถ้าแก่”
“คุณหนูขอรับ โรงเตี๊ยมข้าใหญ่ที่สุดยังเต็มหมดแล้ว ที่นี่มีเพียงโรงเตี๊ยมแค่สี่แห่งล้วนถูกจองล่วงหน้าจนหมดแล้วเหตุใดเจ้าไม่มาจองก่อนหน้านี้”
“ก็ข้า…”
“ช่างเถอะอาหยง นอนบนรถม้าสักคืนก็ไม่เป็นอะไรหรอกพรุ่งนี้ก็เข้าไปได้แล้ว”
“แต่…แต่ว่า…”
พวกนางเดินกลับไปที่รถม้าแล้วก่อนจะเข้าเมือง รถม้าขบวนหนึ่งยื่นป้ายทองให้กับทหารและพวกเขาเข้าไปได้ทันทีจนอาหยงสงสัยและเดินเข้าไปถามดูเพราะขบวนรถม้าที่กำลังเข้าไปนั้นมีมากกว่าสามคัน
“เหตุใดพวกเขาจึงเข้าวังไปได้เล่าท่านทหาร”
“แม่นาง ข้ามิได้มีหน้าที่ตอบคำถามเจ้า”
“แต่ว่าพวกข้าต้องรออยู่นอกเมืองกันหมดแต่พวกเขาเหตุใดจึงเข้าไปได้”
“พวกเขาเป็นคนของทางการและเป็นเชื้อพระวงศ์จึงต้องให้ผ่านเจ้าอย่าทำให้ข้าลำบากใจเลย”
“แต่ว่า….”
“อาหยง!!…พวกเจ้าก็มาถึงแล้วงั้นหรือ”
อาหยงที่กำลังหัวฟัดหัวเหวี่ยงด้วยความไม่พอใจอยู่ตรงประตูนั้นก็รู้สึกแปลกใจเมื่อมีคนเรียก นางจึงหันไปมองตามเสียงนั้นและยิ้มออกมาทันที
“พี่ต้าหมิน พวกท่านเองหรือเจ้าคะ”