นางรู้สึกวาบหวิวทั้งที่ใบหูและใบหน้าที่เริ่มร้อนผ่าวขึ้นในทุก ๆ ช่วงเวลาที่เขาพูด
“เคล้ง!!”
ดาบในมือนางร่วงลงกับพื้นเมื่อเขาพูดจนจบ นางตกใจและรีบลืมตาขึ้นแต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า เว่ยเฟิงหรงเดินกลับไปแล้วเมื่อเขาแอบหอมแก้มนาง
นางค่อย ๆ ใช้มือยกขึ้นมาลูบที่พวงแก้มของตนเองที่ถูกเขาฝังจมูกลงไปเมื่อครู่นี้ สัมผัสนี้แตกต่างกับตอนที่ถูกเสวียนอวี่จับเมื่อชาติที่แล้วมันทั้งวาบหวามและ….อบอุ่นอย่างน่าประหลาด
“นี่ข้า…..เป็นอะไรไป”
นางกำลังหวั่นไหวให้บุรุษอีกครั้งหนึ่งซึ่งนางได้เคยปฏิญาณตนเอาไว้แล้วว่าเกิดในชาตินี้นางจะไม่มีทางหวั่นไหวให้กับบุรุษอีก แต่ว่า…..เว่ยเฟิงหรงผู้นี้ช่างแตกต่างกับองค์ชายเสวียนอวี่ที่ทั้งบ้าคลั่งและก้าวร้าวผู้นั้น
ชาติก่อนของอิ่นหลง
“ร้องดังกว่านี้สิอิ่นหลง เจ้าไม่มีความสุขงั้นหรือ”
“อ๊าา องค์ชาย อย่ากัดเพคะ”
“อ๊าา เสียวมากหรือไม่เหตุใดเจ้า…อาา อิ่นหลง”
“องค์ชายเพคะ อ่อนโยนหน่อย”
เสวียนอวี่ที่ดูดดึงยอดปทุมของนางจนช้ำคาปากและอีกข้างกำลังมีเลือดไหลออกมาจากการกัดของเขา ไหล่ของนางเต็มไปด้วยรอยฟันที่ถูกเขากัดเม้ม แรงกระแทกที่ราวกับโกรธผู้ใดมายังคงไม่ลดลง แม้ว่านางจะรู้สึกดีแต่ก็ปวดร้าวจนถึงด้านใน
“องค์ชาย…อ๊ะ…”
“อาา….อิ่นหลง…..หันหลังหน่อย อึ๊ย!!!”
นางถูกจับคุกเข่าราวกับสุนัขและถูกยัดเยียดแก่นกายที่ทั้งใหญ่และยาวนั่นเข้าไปอีกครั้ง เรือนผมถูกกระชากจากมือหนาขององค์ชายที่ไม่แม้แต่จะลดละความรุนแรง
“อาา ยอดเยี่ยม….อาา เด้งรับสิอิ่นหลง ทำไม่เป็นแล้วงั้นหรือ เด้งขึ้นมา!!”
“อ๊าา!!”
“เพี๊ยะ!!”
มือที่ตีไปยังบั้นท้ายจนเกิดรอยแดงซ้ำ ๆ หากอารมณ์ดีหน่อยเขาก็จะใช้มือ แต่หากว่าวันใดที่เขาทะเลาะกับว่าที่คู่หมั้นมาเขาก็จะใช้แส้กับนาง
ร่างกายของนางทั้งบอบช้ำ หัวใจก็เริ่มปวดร้าวเมื่อพวกเขาเกี่ยวพันกันเพียงแค่เรือนร่างเท่านั้น จนเมื่อเรื่องที่เขามักจะมานอนค้างกับองครักษ์สาวข้างกายไปถึงหูของว่าที่คู่หมั้นและฮองเฮา เขาก็ไม่รอช้าที่จะจัดการฆ่านางเป็นคนแรก
“จ้าวเสวียนอวี่ ชาตินี้ข้าไม่มีทางปล่อยท่านไป!!”
น้ำตาที่ไหลรดลงไปและมือที่กำดาบเอาไว้แน่นหลังจากที่หยิบขึ้นมาแล้วทำให้นางตัดสินใจได้ หลังจากที่ส่งซื่อจื่อลงเขาไปแล้ว นางก็จะไปจากหยางโจวในทันที
สองวันถัดมา
“นี่คือ….”
เว่ยเฟิงหรงยื่นดาบสีเงินที่ประดับทับทิมส่งให้นาง
“เจ้าลองดูสิว่าชอบหรือไม่”
ไป๋ซูเม่ยมองดาบที่เขาส่งมาให้ด้วยความพอใจ รอยยิ้มนั้นผุดขึ้นมาอีกครั้ง เว่ยเฟิงหรงนึกอยากจะเห็นนางยิ้มเช่นนี้บ่อย ๆ เมื่อนางรับดาบไปจากมือของเขาและดึงออกมาจากฝัก
“ว้าว ดาบนี่งดงามมากเลยเจ้าค่ะคุณชายเว่ย”
“คุณหนูไป๋ขอรับ ดาบนี้คุณชายให้ข้าไปสั่งช่างฝีมือของสกุลเว่ยทำขึ้นมาสำหรับท่านโดยเฉพาะ ทั้งน้ำหนักของมันและรูปทรงเหมาะกับท่านยิ่งนักขอรับ”
“ท่านไม่น่าลำบาก…”
“ถือเป็นการตอบแทนที่เจ้าช่วยชีวิตข้าเอาไว้ วันนี้พวกข้าจะต้องลงจากเขาแล้วก็เลยหาสิ่งตอบแทนให้เจ้าเล็กน้อย เจ้าอยากลองดาบใหม่ของเจ้าหน่อยหรือไม่”
“ลองงั้นหรือ…หรือว่า…อื้ม ข้าอยากลองเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”
เขาดึงแขนนางและวิ่งขึ้นไปยังเชิงเขาที่นางเอาไว้ฝึกวิชาและหลายวันที่มีเขาฝึกให้ เมื่อเดินมาถึงลานฝึก นางก็ดึงดาบออกมาจากฝัก คมดาบมีน้ำหนักเบาและคมกริบ นางลองทดลองกับกิ่งไม้รอบ ๆ และหินที่อยู่ด้านหลังของเว่ยเฟิงหรงพบว่ามันใช้ง่ายและเข้ากับนางอย่างมาก
“เอาล่ะ มาลองกันเลยครั้งนี้ข้าเองก็จะใช้ดาบจริงแล้วนะ จะไม่เอาเปรียบจ้าเหมือนครั้งก่อนอีกแล้ว”
“ได้เลยคุณชายเว่ย ล่วงเกินแล้ว”
“แม่นางไป๋ ออมมือด้วย”
พวกเขาประลองกัน นึกไม่ถึงว่าดาบที่เขาทำให้จะรับกับสัมผัสมือของนาง น้ำหนักที่ไม่หนักเหมือนดาบของเขาและขนาดที่พอดีมือทำให้นางรู้สึกคุ้นชินกับดาบได้อย่างรวดเร็วจน….
“ครั้งนี้ข้าชนะแล้ว ขอบคุณคุณชายเว่ยที่ออมมือ”
“เฮ้อ….ช่วยไม่ได้ ครั้งนี้ดาบข้าคงต้องเปลี่ยนแล้วจริง ๆ มันคงหนักเกินไปแล้ว”
“ไม่หรอก ท่านก็แค่แกล้งแพ้เท่านั้นเอง ใช่ว่าข้าจะโง่ขนาดว่าจะมองไม่ออกเสียหน่อย”
“เหตุใดเจ้าถึงได้ไม่มั่นใจในตัวเองเช่นนั้น”
“กระบวนท่าเมื่อครู่ท่านสามารถป้องกันข้าได้ถึงสามครั้งแต่ท่านเอาแต่หนีสุดท้ายก็แค่อยากจะจบการประลองเพราะท่านเริ่มเจ็บแผลอีกแล้วใช่หรือไม่”
“เจ้ารู้งั้นหรือ”
“แผลนั่นแม้จะแห้งสนิทแล้วแต่ท่านที่ต้องถือดาบในน้ำหนักที่เท่าเดิมย่อมไม่มีทางออกกระบวนท่าได้เต็มที่เป็นแน่ อีกทั้งข้าที่โจมตีท่านเร็วเกินไปทำให้ท่านเริ่มรับน้ำหนักของดาบตัวเองไม่ไหวการเคลื่อนไหวจึงช้าลง ท่านเป็นคนสอนข้าเอง และท่านอย่าลืมสิว่า…ข้าเป็นผู้รักษาแผลให้ท่านนะ”
“หลอกเจ้าไม่ได้จริง ๆ สินะ เช่นนั้นครั้งนี้เจ้าอยากขอสิ่งใดล่ะซูเม่ย”
“ของั้นหรือ?”
“ใช่ ครั้งก่อนข้าชนะข้าก็…..”
ราวกับนัดกันไว้ ทั้งคู่ได้เพียงแค่มองตากัน…ไร้คำพูดใด ๆ ออกมา และเป็นเว่ยเฟิงหรงที่ทำท่ากระแอมและหลบสายตานางไปที่อื่นแทน
“เจ้า…ไม่ได้อยากจะขอหรอกหรือ”
“ท่านจะลงเขาแล้วใช่หรือไม่”
“ก็…ใช่แล้ว รบกวนพวกเจ้ามาเกือบเดือนตอนนี้ก็หายดีแล้วคงต้อง….ไปเสียที”
“อืม เช่นนั้นก็ดี ข้าขอให้ท่านอย่าได้ถูกผู้ใดลอบฆ่าอีกเพราะที่นี่จะไม่มีคนที่อยู่รอทำแผลให้ท่านอีกต่อไปแล้ว”
“เจ้าจะกลับสกุลไป๋หรือ”
“เปล่า ข้าไม่ได้จะกลับไปที่นั่น”
“เจ้า…จะไปเมืองหลวง…จริง ๆ งั้นหรือ”
“อืม ใช่เจ้าค่ะ ข้าต้องไป”
“แต่ว่าหมอหลวงไป๋จะยินยอมงั้นหรือ”
“เรื่องนี้ข้าส่งข่าวบอกเขาไปแล้ว เมืองหลวงกับหยางโจวมิได้ไกลกันมากขนาดนั้นเสียหน่อย ข้ามเขาลูกนี้ไปก็ถึงแล้ว ท่านพ่อจึงมิได้ขัดข้อง ท่านอย่าลืมสิว่าข้าใช้ชีวิตอยู่บนเขานี้เพียงลำพังมาได้เกือบสามเดือนเชียวนะ”
“แต่ถึงอย่างไรพวกเจ้าก็เป็นสตรี เอาเช่นนี้สิ ข้าเองก็จะไปเมืองหลวงเช่นกันเช่นนั้นมิสู้…”
“คุณชายเว่ย ข้าคิดว่าท่าน…อย่าเสียเวลาเลย พวกเราหลังจากนี้ต่างคนต่างไปจะดีกว่าข้าไม่อยากสร้างความวุ่นวายใจให้กับท่าน”
“อะไรนะ นี่เจ้าคิดว่า…แต่ข้าไม่เคยคิดเช่นนั้นกับเจ้าเลยนะซูเม่ย หากไม่ได้เจ้าชีวิตของข้าก็คงไม่รอดมาได้จนถึงตอนนี้”
“เชื่อข้าเถอะท่านชายเว่ย ท่านเป็นซื่อจื่อแห่งหยางโจว อย่าได้…เกี่ยวข้องกับข้าเลยมันไม่คุ้มหรอก”
“ไป๋ซูเม่ย บางทีข้าก็ไม่เข้าใจเจ้าเลยเหตุใดเจ้าจึงเหมือนกับว่าไม่ไว้ใจผู้ใดเลยแม้แต่คนเดียว”
“ท่านอย่าได้เข้าใจเลยจะดีกว่า เพื่อชีวิตที่ดีของท่าน”
เขามองนางอีกครั้ง ยิ่งมองก็ยิ่งไม่เข้าใจ เดิมทีวันนี้เขาต้องลงเขาเพื่อเตรียมตัวเดินทางไปเมืองหลวงด้วยเช่นกันเพราะในอีกครึ่งเดือนข้างหน้ามีงานสมโภชของวังหลวงและงานฉลองครบรอบของแคว้นฉิน เดิมทีคิดว่าหากมีนางร่วมเดินทางไปพร้อมกันคงจะดีไม่น้อยแต่นึกไม่ถึงว่านางกลับปฏิเสธเขาอย่างไร้เยื่อใยเช่นนี้
“เหตุใดเจ้าจึง….ช่างเถอะข้าคิดว่าเจ้าคงมีเหตุผลของเจ้า”
“ขอบคุณท่านชายที่เข้าใจ”
“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้น…ข้าขออวยพรให้เจ้า…โชคดี”
“ขอบคุณคุณชายเว่ย”