“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน”
“เหตุใดเจ้าถึงเย็นชาเช่นนี้ แม้ว่าเจ้าจะชำนาญทั้งหมดนั่นและยังมีวิชาแพทย์ติดตัวแต่ก็น่าจะทำตัวเป็นมิตรมากกว่านี้หน่อยก็ได้กระมัง ข้าก็มิใช่ศัตรูของเจ้าเสียเมื่อไหร่กันจริงหรือไม่”
เขามองไปที่มือของนางที่ถือเพียงกิ่งไม้ที่เอาไว้ใช้แทนดาบเท่านั้น เขามองไปยังใบหน้าที่หันหลบเขาไปอีกทางหนึ่งเพราะคำพูดนั้น
ไป๋ซูเม่ยในยามนี้ไม่อาจไว้ใจผู้ใดได้เพราะในชาติที่แล้วของนางตอนที่ยังเป็นอิ่นหลงนางถูกคนที่นางรักจนแทบจะถวายชีวิตให้เขาได้...ทรยศนางอย่างเลือดเย็น
“รับนี่ไปสิ”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร”
นางมองไปยังมือที่ยื่นดาบมาให้ตรงหน้า ดาบที่มีตราสัญลักษณ์ของเขาและสกุลเว่ยอยู่
“ดาบของข้า มอบให้เจ้า”
“ข้าไม่ต้องการใช้ดาบของผู้อื่น”
“เจ้าเข้าใจข้าผิด ข้ามอบให้เจ้าเพียงเพื่อฝึกในเวลานี้เท่านั้น แต่ข้าจะสั่งทำดาบให้เจ้าใหม่แต่ในเมื่อตอนนี้เจ้าใช้เจ้านั่น…แทนการใช้ดาบเจ้าไม่มีทางรู้ได้เลยว่าวิชาที่แท้จริงจะต้องกำหนดปราณและใช้แรงเท่าใด เจ้าลองดูก่อนก็ได้”
สายตาที่แน่วนิ่งของเขาทำให้ไป๋ซูเม่ยรู้สึกว่าเขาแตกต่างกับเสวียนอวี่ เขาดูไม่มีพิษไม่มีภัยแต่เพราะนางก็คิดเช่นนี้กับองค์ชายเสวียนอวี่นางจึงถูกเขาทรยศเพียงเพราะคิดว่านางจะไปทำร้ายว่าที่คู่หมั้นของเขาเท่านั้น
“ข้าไม่ชอบใช้ดาบของผู้อื่น”
“เฮ้อ…แต่หากว่าเจ้าพบศัตรูเข้าจริง ๆ หรืออยากจะฆ่าคน เพียงแค่กิ่งไม้นั่น…ใช้แทนดาบไม่ได้หรอกนะหากว่าเจ้าอยากจะสำเร็จเร็วขึ้น เจ้าต้องใช้มัน”
เขาพูดทำให้นางคิดได้ จริงด้วย หากว่านางอยากจะแก้แค้นและลงโทษผู้ที่เคยฆ่านาง สิ่งที่นางต้องมีตอนนี้คืออาวุธที่แข็งแกร่งและตัวเองที่เข้มแข็งมากกว่านี้ นางมองดาบในมือของซื่อจื่อที่ยื่นมาให้นางด้วยไมตรี เขาน่าจะมีอายุมากกว่าไป๋ซูเม่ยราว ๆ สี่ถึงห้าปีได้
“เช่นนั้นข้าก็ขอรบกวนแล้ว”
“ข้า…เจ้าจะว่าอะไรหรือไม่หากว่าข้าจะขอนั่งชมเงียบ ๆ จะไม่รบกวนเจ้า”
“ตามใจท่าน ข้ามิได้เป็นเจ้าของที่นี่ ท่านอยากทำสิ่งใดก็ทำเถอะ”
“ตรงดีเหลือเกิน ตรงจนใจเจ็บ”
เขาเลือกจะนั่งที่โขดหินใกล้ ๆ เพื่อเห็นท่วงท่าและวรยุทธ์ของนางเมื่อนางเริ่มใช้ดาบของเขาที่มีน้ำหนักมากกว่าไม้ ไป๋ซูเม่ยเข้าใจที่เขาพูดกับนางในตอนนี้เอง เมื่อนางเปลี่ยนมาใช้ดาบแล้ว น้ำหนักมือและแรงที่ต้องใช้แตกต่างกันมากจริง ๆ
“นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้…”
“นั่นเพราะเจ้า…ฝึกกับกิ่งไม้จนชิน เจ้าลองกำหนดปราณใหม่แล้วค่อย ๆ ขยับมือ และคิดว่าดาบในมือของเจ้าเป็นนกที่มีอิสระและจะไม่ทำร้ายเจ้าของ เพียงแค่เจ้าเป็นเจ้านายของมันและให้มันทำตามคำสั่งของเจ้า อย่าลืมว่าต้องสั่งมันให้ได้ ดาบก็เหมือนคน คนก็ไม่ต่างจากดาบ ลองดูใหม่”
“ดาบไม่ต่างกับคน คนไม่ต่างกับดาบ”
“ใช่แล้ว หากเจ้าใช้เป็นดาบจะเชื่อฟังเจ้าและกำจัดศัตรูแทนเจ้าได้ลองดูใหม่อีกที เจ้าตั้งสมาธิก่อนและเพ่งลมปราณผสานกับดาบในมือ ผ่อนลมหายใจและเป็นหนึ่งเดียวกับดาบ เอาใหม่อีกครั้ง”
นึกไม่ถึงว่าเพียงแค่นางจิตสงบนิ่งและทำตามที่เขาพูด นางกลับออกท่วงท่าและใช้วิชาดาบที่เคยฝึกมาได้ยอดเยี่ยมมากกว่าเดิม ที่สำคัญคือนางรู้สึกว่าตัวเบาและพลังที่ส่งออกไปรุนแรงมากกว่าตอนใช้ไม้เสียด้วยซ้ำ
“ยอดเยี่ยมมาก เจ้าเข้าใจได้รวดเร็วมาก ๆ”
“ขอบคุณซื่อจื่อ ข้าเข้าใจแล้วขอบคุณที่ให้ความช่วยเหลือเจ้าค่ะ”
นางยิ้มด้วยความดีใจและหันมาขอบคุณเขาอย่างจริงใจ รอยยิ้มนั้นทำให้หัวใจเขากระตุกเล็กน้อยและรู้สึกราวกับภาพรอบ ๆ นั้นหยุดนิ่งไปพักหนึ่ง
“อ้อ…เจ้าก็ต้อง…หมั่นฝึกฝน เอาล่ะดาบนี่ข้าให้เจ้ายืมก่อนหากว่าเจ้าอยากฝึกเพิ่ม”
“ขอบคุณคุณชายแต่ตอนนี้ดึกแล้วข้าคิดว่าเราควรจะกลับลงไปได้แล้ว”
“อ้อ…งั้นหรือ เช่นนั้นก็…ไปกันเถอะ”
สองคืนหลังจากนั้นเขาก็ไปเป็นเพื่อนนางเพื่อฝึกฝนและเริ่มสอนนางบางกระบวนท่าที่เขาร่ำเรียนมาจากสำนักอื่นแลกเปลี่ยนกับนางด้วยเช่นกัน
แม้ว่าในเวลาปกตินางจะไม่ค่อยพูด แต่หากว่าเป็นตอนนี้ที่นางฝึกวรยุทธ์ นางมักจะมีคำถามมากมายเพื่อให้เขาพูดและนางเองก็จะตั้งใจฟัง
“เช่นนี้นี่เอง หยินและหยางสัมพันธ์กันพลังของดาบที่ส่งออกไปกับปราณจะยิ่งเพิ่มพูนความรุนแรง”
“ใช่แล้ว แต่ดาบก็ต้องเหมาะกับเจ้าของด้วยเช่นกัน นี่ซูเม่ยเจ้าอยากร่ำเรียนวรยุทธ์เพื่อจะปกป้องตัวเองหรืออยากจะแก้แค้นล่ะ”
“ข้า….ท่านถามทำไม”
“ก็แค่ถามดู เจ้าบอกเองว่าหลังจากนี้ข้าลงเขาไปเราก็เป็นคนแปลกหน้าแต่ข้าคิดว่ามันไม่ควรเป็นเช่นนั้น ว่าแต่เจ้าเถอะ เจ้าจะทำสิ่งใดต่อไปจะกลับสกุลไป๋หรือไม่”
“ไม่ ข้าจะเดินทางไปเมืองหลวง”
“ไปเมืองหลวงงั้นหรือ เจ้าจะไปที่นั่นทำไม”
“ข้า….ไปหาคนรู้จัก”
“น่าจะไม่ใช่รู้จักกันด้วยดีสินะ สีหน้าเจ้าราวกับอยากจะฆ่าคน”
“ท่าน…เหตุใดจึงได้…”
“เจ้าอาจจะไม่รู้แต่เจ้ามักจะไม่ค่อยพูดมากแต่ทุกอย่างมันส่งผ่านออกมาทางแววตาเจ้าจนข้าเคยชินน่ะ สีหน้าเช่นนี้มิใช่แววตาที่อยากไปหามิตร แต่จะไปเพื่อฆ่าศัตรูต่างหาก ข้าเดาถูกใช่หรือไม่”
“คุณชาย บางครั้งข้าก็รู้สึกว่าท่านสมกับเป็นซื่อจื่อของหยางโจวยิ่งนัก แต่บางครั้ง….”
“บางครั้งทำไมหรือ….”
“บางครั้งข้าก็คิดว่าท่าน เหมือนกับพวกแม่ค้าที่กินแตงและนั่งนินทาชาวบ้านไปวัน ๆ น่ะสิ”
“นี่เจ้า…หน็อย เจ้ากล้าล้อข้างั้นหรือไป๋ซูเม่ย!!”
“ฮ่า ๆ ข้าเปล่านะเจ้าคะคุณชาย”
“เอาล่ะ ไหน ๆ เจ้าก็ยืมดาบข้าใช้มาหลายคืนแล้ว ขอทดสอบวิชาเจ้าสักหน่อยสิ”
“ให้ข้า…”
“ใช่ ข้าจะใช้ดาบไม้ของเจ้าสู้กับเจ้า หากแพ้…ข้าจะให้เจ้าขอข้าได้หนึ่งอย่าง แต่หากว่าข้าชนะ…ข้าจะขอเจ้าหนึ่งอย่าง”
“คำไหนคำนั้น”
“ได้ ไป๋ซูเม่ย คำไหนคำนั้น เข้ามาเลย”
ท่ามกลางแสงจันทร์เต็มดวงในคืนวันเพ็ญ พวกเขาประลองยุทธ์กันบนลานที่เริ่มโล่งเตียนเพราะนางใช้เวลาฝึกที่นี่มาเกือบสองเดือนก่อนที่เขาจะบาดเจ็บและมาพักที่นี่ และอีกหนึ่งเดือนที่เว่ยเฟิงหรงอยู่กับนางที่นี่ ความสนิทสนมของพวกเขาจึงเริ่มก่อตัวขึ้นทีละนิด
“ยอดเยี่ยมมาก เจ้ารวดเร็วจนจะตามข้าทันแล้ว…แต่ว่า ยังไม่มากพอนะไป๋ซูเม่ย”
“คุณชายเว่ยท่านอย่ามัวแต่พูดมาก ข้าจะโจมตีท่านอีกครั้งแล้วนะ”
“เจ้าคิดว่าข้ากลัวงั้นหรือ มาเลย”
เว่ยเฟิงหรงนั้นมีวรยุทธ์สูงกว่านางมาก แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยอมผ่อนให้นางเพื่อที่นางจะได้ค่อย ๆ ฝึกฝนและเรียนรู้จากการเคลื่อนไหวของเขา
อีกสองวันเขาจะลงจากเขาแล้วเพราะตามกำหนดการที่วางไว้ เขาเองก็ต้องไปแล้วเช่นกันแม้ว่าจะอยากอยู่ที่นี่นานกว่านี้อีกหน่อยก็ตาม
“คุณชายเว่ย ล่วงเกินท่านแล้ว”
ดาบของเขาถูกพาดมาแต่เว่ยเฟิงหรงถอยจนพ้นและตีลังกากลับเพื่อหนีนางได้อีกครั้งและใช้ไม้ในมือพาดมาที่ไหล่ด้านหลังของไป๋ซูเม่ย นางต้องยอมรับว่าแพ้ความเร็วของเขาแล้วจริง ๆ
“ดูเหมือนว่าข้าจะชนะเจ้าแล้วนะซูเม่ย”
นางยิ้มและหันไปคำนับเขาอีกครั้งและยอมรับแต่โดยดี
“ข้าแพ้แล้วคุณชายเว่ย ขอบคุณที่ออมมือ”
“ดังนั้น..ข้าทำตามข้อตกลงได้แล้วใช่หรือไม่”
“ใช่ ว่าแต่ท่านจะขอสิ่งใดเจ้าคะ”
“เจ้าหลับตาก่อนสิ”
“เหตุใดต้อง….”
“ชู่วว….คนแพ้ไม่มีสิทธิ์ถามนะ”
นางหลับตาลงตามข้อตกลง แม้จะไม่เข้าใจว่าเขาจะทำสิ่งใดก็ตาม ไม่นานนางก็รู้สึกถึงบางอย่างที่มาสัมผัสที่แก้มของนางตามด้วยเสียงกระซิบที่แผ่วเบาของผู้ที่กำลังสูดลมหายใจจากแก้มของนางเข้าไปจนสุด
“ข้าเพียงแค่…ขอค่าสอนเพลงดาบเท่านั้นเอง”