“เข้าใจผิดงั้นหรือ เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน”
“ช่างเถอะ ๆ บางทีข้าอาจจะคิดมากไปก็ได้ เอาล่ะ ข้ายินดีต้อนรับท่านหากว่าท่านจะแวะเวียนไปเยี่ยมที่จวน”
“จริงหรือ เจ้าไม่ไล่ข้าแล้วใช่หรือไม่”
ซูเม่ยหันไปมองรอยยิ้มของคนข้าง ๆ ก็นึกสบายใจเมื่อได้พูดคุยกับเขาได้อีกครั้งโดยที่ไร้ความกดดันใด ๆ อาจจะเป็นนางที่คิดมากและกลัวเกินไปกับประสบการณ์ที่เจอกับเสวียนอวี่โดยลืมนึกไปว่าเขามิใช่เสวียนอวี่แต่เป็นบุรุษหนุ่มที่พยายามจะเป็นเพียงคนธรรมดาหนึ่งคนเท่านั้น
“งั้นหรือ ข้าก็ผ่านมาทางนั้นเช่นกันทำไมถึงไม่พบเจ้า แต่ก็มาถึงเกือบพร้อม ๆ กันกับเจ้า ช่างน่าแปลกยิ่งนัก”
“ท่านคงตามมาห่าง ๆ ก็เลยไม่ทันได้สังเกต”
“คุณชายเจ้าคะ”
ลู่หลินเดินมาอีกครั้ง ซูเม่ยลอบยิ้มอย่างรู้ทันนางจึงหันไปมองเว่ยเฟิงหรง นางมีประสบการณ์เรื่องเช่นนี้มาก่อนจึงเข้าใจความรู้สึกของลู่หลินได้ดี
“คุณชายเว่ยเอาไว้พบกันใหม่ข้าขอตัวก่อน”
“เอ่อ…ซูเม่ย ไปดื่มชาด้วยกันเถอะข้ายังคุยกับเจ้าไม่จบเลย มาเถอะมาเล่าต่อว่าหลังจากนั้นเจ้า….”
“คุณ…ชาย…เอ่อ…”
ลู่หลินเห็นเว่ยเฟิงหรงดึงแขนของซูเม่ยเดินไปที่รถม้าก็เริ่มโกรธและไม่พอใจมากขึ้นจนเดินหนีพวกเขาไปอีกทาง ซูเม่ยหันมาตีมือเขาเพื่อให้เขาปล่อยนาง
“โอ๊ย ไป๋ซูเม่ยเจ้าตีข้าทำไม”
“ท่านนี่ก็แปลก เหตุใดไม่สนใจนางเลยสักนิด”
“สนใจอะไรก็ข้าคุยกับเจ้าอยู่ ข้าทำผิดอะไรอีกล่ะก็แค่ชวนเจ้ามาดื่มชาเอง”
“นี่ท่านมองไม่ออกจริง ๆ งั้นหรือ”
“มองอะไร….เจ้าหมายถึงลู่หลินน่ะหรือ ทำไมล่ะหรือเจ้าจะให้ข้าสนใจนางจนนางตัดใจไม่ได้เสียที”
ไป๋ซูเม่ยมองหน้าเขาอีกครั้งด้วยความประหลาดใจ
“ว่าอย่างไรนะ นี่ท่าน!!….ท่านรู้อยู่แก่ใจงั้นหรือ”
“มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะมองไม่ออก แต่จะให้ข้าพูดเช่นไร ให้ความหวังนางทั้ง ๆ ที่เป็นไปไม่ได้งั้นหรือ ไม่ใช่ข้าแน่ ๆ และที่สำคัญข้าแยกแยะความสัมพันธ์กับทุกคนแม้กระทั่งนางได้ชัดเจน นางเป็นสาวใช้ข้าเป็นเจ้านาย ข้าไม่ได้ชอบนางและไม่มีทางชอบ นางเองก็รู้ดีเพราะข้าเคยบอกนางไปแล้วและบอกบ่อยมากพอที่นางควรจะคิดได้ ข้าทำทุกอย่างที่ควรทำไปหมดแล้วยังจะต้องทำสิ่งใดอีกงั้นหรือ”
“นี่ท่าน….ทำเช่นนั้นจริง ๆ หรือ ไม่คิดว่า…นี่จะเป็นการทำร้ายความรู้สึกนางงั้นหรือ”
“การที่ไปให้ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ แต่กลับทำร้ายนางนั่นต่างหากที่ผิด และข้าจะไม่ทำเช่นนั้นเป็นอันขาด ข้าเคยบอกแม้กระทั่งว่าให้นางไปดูแลส่วนอื่นด้วยซ้ำไปแต่นางกลับยืนยันที่จะทำหน้าที่นี้จะให้ข้าทำเช่นไรได้”
“เอ่อ…ข้า…”
“นางไม่มีพ่อแม่ไม่มีครอบครัวไม่มีที่ไป จะให้ข้าไล่ออกก็น่าสงสารมากกว่าเดิม นางเติบโตมาในจวนอ๋องข้าเองก็พยายามหางานอื่นให้นางแล้วแต่นางยืนยันว่าจะทำหน้าที่เช่นนี้ เจ้าคิดว่าข้าไม่อึดอัดหรืออย่างไร”
“ข้า…ขอโทษด้วยข้าเข้าใจท่านผิดอีกแล้ว”
นางไม่คิดเลยว่าบุรุษเช่นเดียวกันแต่ความคิดของเขากับเสวียนอวี่กับแตกต่างกันมากถึงเพียงนี้ เสวียนอวี่เห็นแก่ตัวและมองเห็นแต่ตัวเองเท่านั้น
แต่กับเว่ยเฟิงหรงไม่ใช่ เขาคิดเผื่อทุกอย่างเอาไว้จนหมดแม้กระทั่งผลที่จะตามมา สิ่งที่เขาทำล้วนผ่านกระบวนการความคิดมาอย่างดีจนน่าแปลกใจ
“หึ…”
“เจ้าหัวเราะทำไมอีกล่ะ”
“ข้าเพียงแค่…คิดว่าตัวเองช่างโง่นัก…”
“โง่งั้นหรือ ไป๋ซูเม่ยหากเจ้าบอกว่าตัวเจ้าโง่เช่นนั้นในใต้หล้านี้คงไม่มีผู้ใดที่จะฉลาดแล้วล่ะ”
“ไม่ใช่เช่นนั้น…ช่างเถอะเจ้าค่ะ”
นางยังคงยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตรเพราะท่าทีที่เขาปฏิบัติกับนางช่างแตกต่างกับอีกหนึ่งคนที่นางเคยคิดว่ารักเขามากกว่าชีวิต แม้แต่วิญญาณก็ยอมขายให้เขาได้ถ้าหากว่าเขาต้องการ
แต่นางคิดไม่ถึงเลยว่าการพบกับเว่ยเฟิงหรง จะทำให้นางพบกับมุมมองชีวิตในอีกมุมมองหนึ่ง ซึ่งอยู่กับความเป็นจริงมากกว่าภาพฝันที่นางเคยจมอยู่กับมัน
“เจ้าคิดว่า…ข้าเป็นคนที่พอจะคบหาได้หรือไม่”
“หา..ท่าน…ว่าอย่างไรนะ”
“ไม่ใช่นะ คือว่าข้าเพียงแค่อยากถามว่า…คือข้าคิดว่าเจ้า…รังเกียจข้าน่ะ”
“ข้าหรือเจ้าคะรังเกียจ คุณชายเว่ยท่านเข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่”
“ก็เจ้า…ไม่ยอมร่วมเดินทางมากับข้านี่”
“นั่นเพราะข้าไม่อยากเป็นภาระของท่านและพวกเราเองก็เป็นหนึ่งสตรีหนึ่งบุรุษที่ยังมิได้แต่งงาน เดินทางมาด้วยกันเช่นนี้คงไม่เหมาะนัก ท่านเป็นถึง…”
เขายกมือขึ้นมามิให้นางพูดนางจึงเงียบไปอีกครั้งและพยักหน้าให้เขา
“นั่นคือเหตุผลทั้งหมดหรอกหรือ เฮ้อ….โล่งอก”
“โล่งอก?? เพราะเหตุใดกันเจ้าคะ”
“ข้าเผลอคิดไปว่าเจ้ารังเกียจและโกรธข้าอยู่เรื่องที่ข้า….จูบเจ้าในคืนนั้น…ข้า…”
ซูเม่ยหลุดขำออกไปอย่างเสียมารยาทเพราะคำพูดของเขาทำให้บุรุษหนุ่มหันมาค้อนนางอีกครั้ง
“เหตุใดเจ้าจึงหัวเราะเยาะข้าเช่นนี้ มันน่าอายมากนะเจ้ากำลังดูถูกข้าอยู่งั้นหรือ”
“เปล่า ๆ ไม่ใช่นะข้าไม่ได้…ขออภัยคุณชายข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำเช่นนี้เพียงแต่ว่าท่าทีของท่าน….(ช่างน่ารักเหลือเกิน)”
“ข้า…ทำไม”
“เปล่าหรอก ก่อนหน้านี้ข้ากลัวมากเกินไปเพราะฐานะของท่าน แต่ตอนนี้มาคิด ๆ ดูแล้ว ไม่ว่าจะองค์ชายหรือซื่อจื่อ หรือแม้แต่คุณชายทั้งหลายก็ล้วนเป็นแค่คนธรรมดามีเลือดเนื้อมีความรู้สึก”
“ข้าดีใจที่เจ้าคิดได้เช่นนั้นเสียที ข้าไม่ค่อยมีเพื่อนก็เพราะคำพวกนี้นี่แหละ”
“งั้นหรือเจ้าคะ”
“อืม เพราะคำว่าฐานันดรศักดิ์ บรรดาศักดิ์ที่ใครก็ไม่รู้เอามาสวมให้โดยที่ไม่เคยถามเลยว่าข้าต้องการหรือไม่ หรือแม้แต่จะถามว่าข้าต้องการสิ่งใดก็ยังไม่เคยเอ่ยถามสักคำ”
“ท่านอึดอัดหรือ”
“นอกจากยอมรับแล้วข้าจะทำสิ่งใดได้เล่า คนเราเลือกเกิดไม่ได้นี่จริงหรือไม่”
“ท่านต้องเป็นซื่อจื่อและท่านอ๋องที่ปกครองแคว้นได้ยอดเยี่ยมเป็นแน่ข้าเชื่อเช่นนั้น”
“งั้นหรือ”
“ใช่เจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ใช้ชาแทนสุรา ดื่มเพื่ออวยพรให้ข้ามีชีวิตรอดจนถึงวันนั้นก็แล้วกัน”
“ได้แน่นอน (ข้าจะไม่ยอมให้ท่านตายด้วยฝีมือเขาอย่างแน่นอน) ข้า…จะปกป้องท่านเอง”
“ดี!! ไป๋ซูเม่ยเจ้าพูดแล้วนะ คำไหน..คำนั้น”
“คำไหนคำนั้น ดื่ม”
พวกเขาดื่มชาแทนสุราไปหลายจอกก่อนที่เว่ยเฟิงหรงจะเดินมาส่งนางที่รถม้าเพื่อให้นางพักผ่อน
“เจ้าตกลงแล้วนะว่าหลังจากพรุ่งนี้ไปข้าสามารถไปมาหาสู่เจ้าที่จวนสำนักหมอหลวงได้”
“คุณชาย ท่านพูดเรื่องนี้เป็นครั้งที่ห้าแล้วนะเจ้าคะ”
“ข้าก็แค่ถามให้แน่ใจเท่านั้น อ้อ แล้วนี่พรุ่งนี้เช้าประตูเมืองเปิดข้าจะให้ต้าหมินมาเรียก เจ้าจะได้เข้าเมืองไปพร้อมกันกับขบวนรถม้าของข้า”
“ตกลงเจ้าค่ะ”
“เจ้ารีบพักผ่อนเถอะ”
“จริงสิคุณชายเว่ยนี่เจ้าค่ะ”
นางยื่นบางอย่างใส่มือของเขา เว่ยเฟิงหรงรับมาอย่างงง ๆ และหันไปถามนาง
“หรือว่าหญ้านี้…จะไล่ยุงได้”
“ไม่เสียแรงที่ท่านไปพักบนเขาลั่วซางเกือบเดือน ถูกต้องเจ้าค่ะ ให้ต้าหมินเอาไปวางไว้รอบ ๆ รถม้ายุงและแมลงก็จะไม่ไปกวนท่าน ข้าขอตัวก่อน”
“ขอบใจเจ้ามากนะ รีบพักผ่อนเถอะ”
เว่ยเฟิงหรงเดินกลับไปยังรถม้าที่จอดห่างนางไม่ไกลเพราะเขาสั่งย้ายระหว่างที่นั่งคุยกับนาง ก่อนหน้านี้พวกเขาอยู่กระท่อมเดียวกันห่างเพียงแค่ห้องกั้น ไม่ต่างกับตอนนี้ที่เพียงแค่นอนบนรถม้าคนละคันเท่านั้น
“ไป๋ซูเม่ย….เจ้าช่างเป็นสตรีที่น่าสนใจยิ่งนัก”
“เว่ยเฟิงหรง….นับจากนี้ข้าจะนับท่านเป็นสหายของข้าคนหนึ่ง หวังว่าท่านจะแตกต่างจากเจ้าคนชั่วจ้าว
เสวียนอวี่ผู้นั้น”