ทรรศภาคย์ไม่ใช่เด็กน้อยวัยแปดขวบที่อ่านสายตาเหล่านั้นไม่ออก แต่เขาไม่ได้อยากสานต่อทั้งที่ตอนนี้สถานภาพนั้นเรียกว่าโสดสนิท เพื่อไม่เป็นการให้ความหวังกับผู้หญิงกลุ่มนั้นจึงเบี่ยงใบหน้าไปอีกทาง โทรศัพท์ในกระเป๋าเสื้อสูทยังคงสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นมารดาของเขาเอง ก็ไม่แปลกที่คุณหญิงจีรณาจะโกรธ แต่สิ่งที่แม่ทำก็ไม่ถูกต้องเหมือนกัน
ภายในเพนท์เฮ้าส์หรูหลงเหลือแสงสว่างไว้นำทางให้เจ้าของห้องที่พาตัวเองกลับเข้ามาเกือบตีสอง มารดาคงยอมพ่ายแพ้ไปแล้ว เพราะโทรศัพท์หยุดสั่นไหวสักพักหนึ่งแล้ว พรุ่งนี้เขาคงได้ต้อนรับคุณหญิงจีรณาที่บริษัทตั้งแต่เช้าตรู่ ชายหนุ่มทอดตัวนั่งลงบนชุดโซฟากลางห้องรับแขก เขาคลายเน็กไทออก สลัดเสื้อสูทไปให้พ้นตัว ก่อนจะเอนศีรษะพิงพนัก พรูลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า คนร่วมห้องคงหลับไปแล้ว เขาลุกขึ้นนั่งก่อนจะไล่สายตาไปยังห้องตรงหน้าซึ่งบานประตูปิดสนิท ความรู้สึกแปลกๆ กำลังรุมเล่นงานตัวเองอยู่ เมื่อคิดว่านับจากนี้ไปจะไม่มีผู้หญิงอย่างดารินทร์ร่วมห้องด้วยกันอีก ความตั้งใจเดิมที่จะกลับมาชวนเธอพูดคุยต้องถูกพับโครงการไว้ หากไปเคาะห้องเรียกหญิงสาวในเวลานี้ เห็นทีนอกจากจะไม่เหลือความน่านับถือให้เธอแล้ว อาจจะถูกมองว่าเป็นอื่นไปอีกก็เป็นได้ คิดได้อย่างนั้นทรรศภาคย์จึงเดินกลับห้องตัวเองไปเงียบๆ โดยเขาไม่รู้เลยว่าคนที่กำลังรอคอยการกลับมาอยู่นั้น ยืนพิงบานประตูห้องท่ามกลางความลังเลภายในใจ สุดท้ายเธอก็แค่ยืนเอาหูแนบกับผนังฟังเสียงฝีเท้าค่อยๆ หายเข้าไปในห้องนอนของเขา
ดารินทร์นอนไม่หลับ เธอกลับมาก็จัดข้าวของต่อจนเสร็จ แม้จะรู้สึกเสียใจและน้อยใจกับเหตุการณ์ในวันนี้ไม่น้อย แต่ก็ต้องข่มใจเก็บความรู้สึกทั้งหมดไว้ให้ลึกที่สุด เธอก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปโกรธเคืองเขา อดีตกับปัจจุบันคนไหนสำคัญกว่าไม่ต้องให้ใครบอก เธอเจียมตัวเองดี
ดารินทร์เดินกลับมาที่เตียงกว้าง หญิงสาวหันหลังให้เตียงที่อาศัยหลับนอนทุกคืน จากนั้นก็กางแขนออกแล้วทิ้งตัวลงนอนหงาย มันอาจจะเป็นคืนสุดท้ายแล้วก็ได้ที่เธอจะตักตวงความอบอุ่นจากเตียงนี้ รวมถึง... การได้อยู่ชายคาเดียวกับเขาคนนั้นที่เป็นเจ้าของหัวใจของเธอ
กระดาษโน้ตที่ติดไว้หน้าประตูห้องนอนสร้างความปั่นป่วนให้หัวใจดวงน้อยไม่เลิก ดารินทร์หยิบเอามาอ่านจนจำทุกรอยหยักของน้ำหมึกบนกระดาษใบนั้นได้
‘คืนนี้ดินเนอร์กัน ฉันจะรีบกลับมา’
หญิงสาวจับพวงแก้มตัวเองพลางจินตนาการถึงค่ำคืนอันหอมหวาน ‘เลี้ยงส่ง’ แล้วหัวใจก็ต้องสะดุด เธอพ่นลมหายใจออกมา นั่งจดจ่ออยู่กับกระดาษแผ่นเล็กในมือ จากที่ตั้งใจจะเดินทางวันนี้เลยก็ต้องเลื่อนกำหนดการณ์ออกไปอีกวัน ดารินทร์ยอมรับกับตัวเองว่าเธอเห็นเขาสำคัญกว่าสิ่งไหน
ทางด้านทรรศภาคย์คิดเอาไว้ไม่มีผิดว่าวันนี้แขกคนแรกของเขาคือมารดา คุณหญิงจีรณานั่งหน้าไม่รับแขกอยู่บนโซฟาหนังตัวโปรดในห้องทำงานของเขา เลขาคนสนิทอย่างธีธัชรายงานให้ทราบตั้งแต่เขายังขับรถอยู่บนทางด่วน
“สวัสดีครับคุณแม่” เขาทักทายท่านราวกับไม่มีเรื่องมีราวคลางแคลงใจกันมาก่อน
“แม่นั่นออกไปจากคอนโดของแกหรือยัง” นอกจากจะไม่มีคำทักทายที่ลื่นหูกลับมาแล้ว มารดาของเขายังใช้สรรพนามที่เรียกขานอีกคนไม่ไพเราะหูเอาเสียเลย
“นิ้ง... คือชื่อของเขา” คุณหญิงจีรณาจึงค้อนบุตรชายไปเสียวงใหญ่
“แกอย่ามาเล่นลิ้นกับฉันนะตารักษ์ เรื่องที่แกหักหน้าฉันเมื่อวานกับคุณหญิงหทัยรัตน์และท่านนายพลเสกสรรค์ไหนจะหนูรุ้งอีก ฉันยังไม่ได้สะสางกับแกเลย”
คำขู่ทำอะไรเขาไม่ได้ เพราะทรรศภาคย์เดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ทำงานด้านหลังโต๊ะหลังใหญ่ เขาหยิบแฟ้มงานที่วางอยู่บนโต๊ะมาเปิดออกดูคร่าวๆ ราวกับภายในห้องไม่ได้มีคนอื่นอยู่ร่วมด้วย
“ตารักษ์ แกจะยั่วประสาทฉันไปถึงไหน”
คำถามนั้นทำให้ทรรศภาคย์ละสายตาจากของในมือขึ้นสบตากับผู้ให้กำเนิด ใบหน้าถมึงทึงบ่งบอกความโกรธที่อัดแน่นภายในใจของคนเป็นแม่ได้อย่างดีเยี่ยม
“ผมไม่ชอบผู้หญิงของคุณแม่ และผมก็หวังว่าคุณแม่จะไม่จับผมให้ผู้หญิงคนนั้นอีก”
“ทำไม ที่แกไม่ชอบเพราะหนูรุ้งไปต่อปากกับผู้หญิงของแกเหรอ หนูรุ้งพูดเรื่องจริง”
เขาไม่รู้หรอกว่าศรุตากับดารินทร์มีปากเสียงอะไรกัน ถ้าให้ไปถามผู้หญิงของเขา คงได้รับแค่รอยยิ้มกลับมาเท่านั้น รายนั้นชอบตัดปัญหาเก่ง บางครั้งมันก็ดี แต่บางครั้งเขาก็รู้สึกว่าเธอถูกเอาเปรียบมากเกินไป ไม่เว้นกระทั่งมารดาเลี้ยงและพ่อของตัวเอง
“นิ้งไม่ใช่ผู้หญิงของผม แต่เธอคือผู้หญิงที่ครั้งหนึ่งคุณแม่เคยรักและเอ็นดู น่าจะไม่ต่างกับหนูรุ้งในตอนนี้ของคุณแม่” เจอคำตอกกลับเข้าไปคนเป็นแม่ถึงกับสะอึก แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ ถลึงตาใส่บุตรชายอย่างไม่ยอมรับกับคำกล่าวหานั้น
“นั่นมันอดีต ไม่มีใครเก่งมองคนทะลุปรุโปร่งได้ทุกคนหรอก เมื่อรู้ตัวเราก็ต้องถอยห่างออกมา ซึ่งมันก็เป็นผลดีกับแกไม่ใช่เหรอ” ริมฝีปากสีเข้มคลี่ยิ้ม ทว่าดวงตาคมดุกลับจ้องมารดานิ่ง
“นิ้งจะไปพรุ่งนี้ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด”
“หมายความว่ายังไงถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด”