ตอนที่ 3 คุณหนูจอมพยศ
+++โฬม+++
โต๊ะไม้ขนาดความยาวสามเมตร ถูกวางเรียงรายไปด้วยกับข้าว และอาหารสำหรับมื้อเย็นดังเช่นทุกวัน รอบๆ โต๊ะพร้อมหน้าไปด้วยสมาชิกหลักของฟาร์มไม่ขาดแม้สักคน เหมือนเป็นธรรมเนียมของที่นี่ ที่ต้องมาทานอาหารพร้อมกันอย่างน้อยสองมื้อ คือเช้าและเย็น โดยมีลูกพี่ใหญ่ของฟาร์มคือผมเองเป็นคนนั่งหัวโต๊ะ
“ไง ไอ้เต้ย ถึงกับหัวร้างข้างแตกเย็บไปกี่เข็มวะนั่น” เสียงกลั้วหัวเราะของไอ้ใบชาเอ่ยขึ้น
ตอนนี้ทุกคนคงได้รับรู้รับฟัง ถึงวีรกรรมความร้ายกาจของแขกคนพิเศษของผม ซึ่งก็คือไอ้เด็กเปรตน้องแทนชั้นสองนั่นแล้ว จนตอนนี้แทบทุกคนต่างล้วนอยากเห็นหน้าค่าตาไอ้เด็กนรกคนนี้กันจริงๆ ทั้งนั้น
“สิบสองเข็มครับพี่ชา เด็กอะไรไม่รู้ร้ายกาจจริงๆ เลย” ไอ้เต้ยยิ้มแห้งๆ ตอบกลับไปพร้อมกับชำเลืองมองทางผมเหมือนจะเกรงใจ มึงไม่ต้องเกรงใจกูก็ได้ถ้ามึงจะนินทาขนาดนี้
“จะไหวเหรอวะโฬม” ไอ้ใบชาหันมาถามผม
“ก็แค่เด็กมีปัญหาคนเดียว ช่างมันเถอะเดี๋ยวกูจัดการเอง” ผมตอบกลับไปแบบไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นัก
“แล้วนี่หายพยศแล้วเหรอวะเสียงเงียบไปแบบนี้” ไอ้ธีร์เอ่ยถามขึ้นบ้าง พร้อมกับมองขึ้นไปยังชั้นสองของบ้านเช่นกัน
“เดี๋ยวก็รู้”
+++แทน+++
คนชื่อโอ๊ตถือถาดอาหารมาวางไว้บนโต๊ะหัวเตียงในเวลาไม่นานนัก ไม้กวาด ถุงขยะ อุปกรณ์อื่นๆ ที่ผมเดาว่ามันคงเอาไว้ทำความสะอาดละมั้ง ถูกวางไว้ปลายเตียง ผมชำเลืองดูอุปกรณ์บ้าบอพวกนั้นแวบหนึ่ง ก่อนจะเบะปากแล้วใช้เท้าเขี่ยมันไปให้พ้นสายตา พวกมึงสติดีกันหรือเปล่า ที่คิดจะให้กูทำความสะอาดห้อง แค่คิดจะกวาดห้องนอนที่บ้าน กูยังไม่เคยคิดเลย แล้วพวกมึงมาใช้ให้กูทำงานเหี้ยๆ พวกนี้เอง มึงบ้าไปแล้ว
“มันให้เงินมึงเท่าไหร่” ผมเอ่ยปากถามไอ้คนชื่อโอ๊ต เวลานี้มันยืนมองผมนิ่งอยู่ตรงบริเวณประตูหน้าห้อง
“ครับ” มันไม่ยอมตอบแต่มีสีหน้าอึ้งๆ ไป หึมันคงไม่คิดสินะว่าผมจะเสนอเงินให้กับมัน
“กูถามว่าไอ้เหี้ยโฬมนั่น มันให้เงินมึงเท่าไหร่ กูให้มากกว่ามันสองเท่าแค่มึงปล่อยกู” ผมยื่นข้อเสนอทันที
“เอ่อ...” ไอ้คนชื่อโอ๊ตมองตอบผมสายตาเลิ่กลั่ก
“ห้าแสนพอมั้ยแค่มึงช่วยกูหนี”
ผมเดินตรงเข้ามาใกล้ๆเอียงคอถาม เงินแค่นี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมเลย แค่ผมซื้อนาฬิกาเรือนเดียวก็มากกว่าเงินครึ่งล้านนี่แล้ว
“ตอนสองทุ่มเดี๋ยวลูกพี่จะขึ้นมาดู คุณแทนรีบเก็บห้องเถอะครับ” ไอ้คนชื่อโอ๊ตรีบเอ่ยก่อนจะวิ่งออกจากห้องแล้วปิดล็อคไว้ตามเดิม อ้าวไอ้เวรแล้วตกลงมึงจะช่วยกูมั้ยวะ ไอ้สัดเอ๊ย
“โธ่เว้ย”ผมหยิบฉวยทุกอย่างที่ใกล้มือ ขว้างใส่ประตูอยู่อีกนานกว่าจะหายโมโห
ข้าวเปล่าราดด้วยผัดคะน้าใส่หมูกับไข่เจียว คืออาหารที่ถูกคนชื่อโอ๊ตเอามาวางเอาไว้ให้ ก่อนจะเดินจากไป ตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นเวลากี่โมงแล้ว เพราะนาฬิกาเพียงเรือนเดียวของห้องก็ถูกผมทุบจนมันพังยับไปแล้ว แถมยังเอาไปฟาดหัวคนชื่อเต้ยนั่นจนเลือดอาบอีกต่างหาก ไอ้คนหน้ายักษ์นั่นก็ไม่รู้หายไปไหนแล้ว สองทุ่มหรอ สองทุ่มมันบอกว่าจะเข้ามาดูว่าผมเก็บห้องเรียบร้อยหรือเปล่า เรื่องอะไรกูต้องทำตามที่มึงบอกด้วยวะ
“เหอะ อยู่บ้านแค่ถอดรองเท้ากูยังไม่เคยจะต้องเก็บเอง แล้วนี่มึงหวังว่าจะให้กูเก็บกวาดบ้านให้มึงน่ะหรอ ฝันไปเถอะ จ้างให้กูก็ไม่ทำ ถึงกูอยากทำ กูก็ทำไม่เป็นอยู่ดี”
ผมเบ้ปาก แล้วเดินไปเอาเท้าเตะชุดอุปกรณ์ทำความสะอาดนั้นไปให้พ้นหูพ้นตาอย่างหงุดหงิดอีกครั้ง พักใหญ่ๆ ความหิวก็เล่นงานเข้าให้ เพราะตั้งแต่เช้าจนตอนนี้น่าจะใกล้ค่ำแล้ว ผมเห็นข้างนอกดูท้องฟ้าสลัวลงเรื่อยๆ
“มันจะแอบใส่ยาเบื่อหนูในข้าวให้กูกินหรือเปล่าวะ แต่ถ้ากูกินของมันก็เสียฟอร์มแย่ ไม่เอาอะต้องเล่นตัวเข้าไว้ กูจะไม่ยอมอ่อนข้อให้มึงหรอกไอ้เหี้ยโฬม”
ผมนั่งหันหลังกอดอกให้กับจานข้าว พร้อมกับครุ่นคิดว่าผมไปทำผิดอะไร ทำไมคุณย่าซึ่งรักผมมากมายขนาดนั้นถึงต้องส่งผมมาอยู่กับคนใจยักษ์ ใจมาร เลวทรามอย่างไอ้โฬมได้
ทั้งที่ตลอดระยะเวลายี่สิบเอ็ดปีที่ผ่านมา คุณย่าหรือแม้กระทั่งคุณพ่อคุณแม่ของผม รวมไปถึงพี่สาวและคนอื่นๆ ไม่เคยปล่อยให้ผมต้องลำบาก และไม่กล้าขัดใจผมเลยแม้สักครั้ง ที่ผ่านมาล้วนชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ หรือจะชี้นิ้วร้องเรียกลิงให้เป็นแมวก็ยังทำได้ แล้วนี่มันอะไรกัน นี่มันบ้านป่าเมืองเถื่อนที่ไหนกันนะ พ่อกับแม่รู้เรื่องนี้หรือเปล่า แล้วถ้ารู้ทำไมพ่อกับแม่ถึงยอมให้ผมถูกส่งมาอยู่ในที่แบบนี้ อยู่กับคนแบบนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัยและไม่เข้าใจ
เสียงประตูเปิดออก ปลุกให้ผมออกมาจากภวังค์หันกลับไปมองชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ใบหน้าฝรั่งหล่อจนใจเจ็บ โผล่พ้นบานประตูเข้ามา อยู่ๆหัวใจของผมก็ไหวๆ สั่นๆ ยังไงชอบกล มึงจะหล่อเหี้ยอะไรขนาดนั้นไอ้ชิบหายเอ๊ย
“มึงมาทำไม” ผมตวาดลั่นห้อง สายตาจิกกัดผู้มาเยือนด้วยความเคยชิน
“บอกให้เก็บทำความสะอาดห้องไม่ใช่หรือไง” เสียงเข้มนั้นเอ่ยขึ้นพรางกวาดสายตาไปทั่วห้อง ข้าวของ เสื้อผ้า ยังคงกระจายเกลื่อนห้องจนแทบไม่มีพื้นที่ว่างให้เท้าเดินได้
“กูบอกมึงเหรอ ว่ากูจะทำ” ผมหัวเราะเยาะ ลอยหน้าลอยตากวนตีนมัน
“ไม่มีใครสั่งใครสอนหรือไงว่าเวลาพูดกับผู้หลักผู้ใหญ่ให้มันมีสัมมาคารวะบ้าง”
ไอ้คนหน้ายักษ์สาวเท้าเข้ามาใกล้ ตัวมันสูงใหญ่กว่าผมจนเวลาผมยืนใกล้ๆ มันเหมือนตัวผมหดเหลือนิดเดียวทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วผมสูงตั้งร้อยเจ็ดสิบเชียวนะ
“ก็มี...แต่ไม่มีใครบอกว่าต้องพูดจาดีกับคนอย่างมึง ปล่อยกูได้แล้วกูจะกลับบ้าน” ผมลุกขึ้นยืนหันหน้ากลับมาเผชิญกับคนตรงหน้าตรงๆ เชิดหน้าขึ้นน้อยๆ ริมฝีปากบางสีชมพูระเรื่อนั้นเม้มเข้าหากันแน่น
“ผมเตือนคุณแล้วนะ ว่าอย่ามาลองดีกับผม”
เมื่อจบประโยคมือหนาๆของมันก็คว้าหมับเข้าที่ลำคอของผมแล้วรั้งลากโยนลงไปกองกับพื้น มันทำเสียอย่างกับผมเป็นหุ่นฟางเลย ไอ้ชิบหายเอ๊ย นี่กูคนนะไอ้เหี้ย
“เก็บมันขึ้นมาเดี๋ยวนี้” เสียงตวาดแข็งๆของมันดังสะท้อนอยู่ข้างหูผม เออใช่...เพราะมันมาตะโกนอยู่ข้างๆ หูผมไง กูไม่ได้หูหนวกนะมึงพูดเบาๆ ก็ได้ไอ้ควาย
“ไม่” ในเมื่อมันเสียงดังใส่ผม ผมก็ไม่จำเป็นต้องพูดดีๆ กับมัน ผมตวาดแว้ดเสียงดัง ระดับเดซิเบลไม่แพ้กัน เสมอๆ วินๆ พร้อมกับยกมือขึ้นมาทุบตี จิกข่วน ทั้งมือและท่อนแขนของคนใจร้ายตรงหน้า
“เก็บ...” เสียงดังห้าวนั้นตวาดขึ้นสุดเสียง
มันใช้มืออีกข้างคว้าข้อมือของผมบังคับให้หยิบจับเสื้อผ้าที่กระจายเกลื่อนอยู่ทีละตัว ผมกำมือตัวเองแน่นไม่ยอมหยิบจับอะไรตามที่มันต้องการ ไอ้เหี้ยโฬมออกแรงบีบข้อมือผมจนน่ากลัวว่ากระดูกผมจะแตกละเอียดคามือมันแน่ๆ โอ๊ยไอ้สัด กระดูกกูร้าวหมดแล้ว
“บอกให้เก็บ...” เสียงตวาดย้ำอีกอย่างน่ากลัว
ผมเจ็บจนน้ำตาร่วง อยู่ๆ ร่างกายเนื้อตัวก็สั่นไปทั้งตัว เพราะความเจ็บ ผมจ้องตอบกลับไปด้วยสายตาที่พร่าเลือนเพราะม่านน้ำตาซึ่งมันเอ่อออกมาคลอเบ้า จนตอนนี้ผมมองอะไรแทบไม่เห็น
ไม่เคยเลยสักครั้งในชีวิต ที่จะมีใครตวาดใส่ผมแบบนี้ และไม่มีสักคนที่จะมองผมด้วยแววตาแบบนี้ ไอ้บ้านี่มันเป็นใครกัน แต่ถ้าผมจะดื้อดึงต่อไป ก็คงไม่สามารถสู้แรงไอ้ยักษ์นี่ได้เลยเพราะตัวมันใหญ่กว่าผมมาก แถมแรงก็เยอะกว่า ไม่รู้ว่ามันกินควายป่าเป็นอาหารหรือยังไงกัน
ในเมื่อสู้แรงมันไม่ได้และมันก็น่ากลัวจริงๆ แล้วตอนนี้ข้อมือผม ตัวผมที่ถูกมันบีบก็เจ็บจนร้าวไปทั้งตัว ก็เริ่มระบมไปหมดแล้ว
ผมเอื้อมมือไปเก็บเสื้อผ้าที่ตัวเองเป็นคนทั้งเตะทั้งโยน และข้าวของอื่นๆ ที่แตกกระจัดกระจายอยู่ทั่วห้องทีละชิ้นแบบ งงๆ เพราะไม่รู้ว่าต้องทำอะไรกับสิ่งของเหล่านี้ต่อ จึงได้แต่ยืนหันซ้ายหันขวาเก้ๆ กังๆ อยู่ ก็คนมันทำไม่เป็นนี่หว่า เสื้อผ้านี่เอาใส่ตู้เหรอ เสื้อต้องแขวนใช่มั้ย กางเกงต้องแขวนมั้ยวะ หรือต้องพับแล้วแขวนยังไง พับยังไงวะ อันนี้ต้องเอาไปไว้ตรงไหน ผ้าเช็ดตัวมันต้องเอาใส่ตู้หรือว่ามันต้องเอาไปไว้ในห้องน้ำ เพราะเวลาอยู่บ้านในตู้เสื้อผ้ามีผ้าเช็ดตัวพับเก็บเอาไว้ แต่พอเวลาผมจะอาบน้ำมันก็จะมีผ้าเช็ดตัวให้ผมสามารถหยิบใช้ได้ วางเตรียมไว้อยู่ในห้องน้ำอยู่แล้ว
“เสื้อผ้าเก็บใส่เข้าไปในตู้ให้เรียบร้อย” เสียงห้าวๆ ดังขึ้นจากด้านหลังของผม ไอ้ควายเอ๊ยสั่งอยู่ได้ ยืนเฉยๆ ทำไมมึงไม่มาช่วยกูเก็บล่ะไอ้ชาติหมา ผมเก็บไปแล้วก็ก่นด่ามันในใจไปด้วย
ผมหันหน้าบึ้งๆ ไปมองมันก่อนจะย่นจมูกพร้อมกับเบ้ปากใส่เจ้าคนเถื่อนคนนั้น แล้วก็จัดการเปิดประตูตู้เสื้อผ้าแบบบิวท์อินหลังใหญ่ออกแล้วค่อยๆ จับไม้แขวนเสื้อเอามาแขวนทีละตัวอย่างทุลักทุเล ก็ปกติไม่เคยทำเองนี่นะ หยิบออกมาถ้าไม่ใส่ก็โยนๆ เอาไว้เดี๋ยวแม่บ้านก็มาจัดการเก็บเข้าที่เอง
นานๆทีผมถึงจะหันหลังไปดูไอ้คนหน้ายักษ์นั่นทีหนึ่ง ว่ามันยังยืนอยู่หรือเปล่าแต่หันไปทีไรก็เจอแต่สายตาพญายม ดุอย่างกับหมาบ้าจ้องตอบมาทุกที ช่างมึง มึงอยากจ้องหลังกูนักมึงก็จ้องไป กูขอให้มึงตาบอดตาย ขอให้มึงไม่มีเมีย ขอให้มึงเป็นหมัน ขอให้มึงตกบันไดตายๆ ไปเลยไอ้สัดเอ๊ย ผมสารพัดจะสรรหาคำด่าทอและสาบแช่งมันในใจ
“ไงมึง” เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้น ดึงความสนใจของผมต้องหันหลังกลับไปมอง
ชายหนุ่มหน้าตาดี ออกไปทางตี๋ๆ แต่ก็จัดว่าหล่อไม่แพ้กันกับไอ้คนหน้ายักษ์นี่ เขาเดินเข้ามาชะโงกหน้าเข้ามาภายในห้องพร้อมกับหัวเราะเสียงดังก่อนจะส่ายหัวไปมา อ้าวไอ้สัดนี่กวนตีนละ อยู่ๆ ก็มาหัวเราะเยาะใส่กู ความกวนตีนพอกันเลยมึงสองคน ผมก่นด่ามันทั้งสองคนในใจ
“โห...เละสัด”
เสียงชายอีกคนเอ่ยขึ้น คนนี้ผิวเข้มและหน้าคมกว่าสองคนแรก หน้าคมแบบคนไทยแท้ๆ ชายคนนี้ก้าวเท้าเข้ามาในห้องพร้อมกับกวาดสายตาสำรวจไปทั่วห้อง แล้วหยุดสายตาลงที่ผมซึ่งยืนจ้องมันนิ่งด้วยดวงตาขุ่นเคือง สามรุมหนึ่ง นี่พวกมึงสนุกมากสินะ ที่ได้มายืนหัวเราะเยาะใส่กูเนี่ย
“สวัสดีครับน้องแทน พี่ชื่อพี่ธีร์นะครับ”
ชายหนุ่มหน้าไทยเอ่ยทักทายผม ใบหน้ามีรอยยิ้มระรื่น เรื่องของมึง มึงจะชื่อ ที ชื่อทอม ชื่อส้นตีนอะไรก็เรื่องของพวกมึงกูไม่ได้อยากรู้จักพวกมึง ผมเบะปาก
“ส่วนพี่ก็ชื่อพี่ใบชาหรือจะเรียกว่าพี่ชา เฉยๆ ก็ได้นะครับ” หนุ่มหน้าตี๋แนะนำตัวทักทายผม พร้อมทั้งมองสำรวจผมตั้งแต่หัวจรดเท้า กวนตีนนะมึง มองกูแบบนี้อยากโดนตีนหรือไงวะ
“...”
ไม่มีสัญญาณตอบรับกลับไปจากผม ก็แล้วทำไมต้องใส่ใจด้วยล่ะ ผมเพียงแค่เหลือกตาใส่ไอ้คนหน้ายักษ์ พร้อมกับยิ้มมุมปากแบบเยาะๆ ให้มันประสาทเสียเล่นๆ แล้วก็จริงๆ ด้วย
“ผู้ใหญ่ทักทำไมไม่ตอบ มารยาทน่ะมีหรือเปล่า” เสียงดุเข้มดังขึ้น เป็นเสียงเข้มที่เริ่มคุ้นเคยแต่ปั่นประสาทชะมัด สักวันหนึ่งสัญญาเลยจะต่อยปากแม่งให้หายหมั่นไส้
“แล้วไง...ไม่ได้อยากรู้จักสักหน่อย เสือกเสนอตัวมาทำไมล่ะ” ผมตอบกลับมาแบบหยันๆ
เหมือนมีพายุงวงช้างก่อตัวแบบไม่มีการตั้งเค้ามาก่อน ร่างสูงพุ่งออกมาตรงหน้า พร้อมคว้าเอาคอเสื้อของผมขึ้นมาจนตัวลอย ไอ้เหี้ยโฬมมันกดร่างผมจนกระแทกเข้ากับประตูตู้เสื้อผ้า ดันตัวผมสูงขึ้นไปเท้าทั้งสองแทบจะลอยจากพื้น ผมตะเกียกตะกายทั้งทุบทั้งตีเตะต่อยมันไปในอากาศ เพื่อให้หลุดพ้นจากน้ำมือคนหน้ายักษ์ตรงหน้า เบื้องหลังนั้นชายหนุ่มทั้งสองยืนตะลึงงันอยู่อย่างทำอะไรไม่ถูก
“ไอ้โฬมใจเย็นๆ” ไอ้คนชื่อใบชาร้องห้าม มึงจะร้องบอกมันทำไมมึงก็เข้ามาช่วยกูสิไอ้ควาย
“ปากเก่งนักนะ ขอโทษพี่เขาเดี๋ยวนี้” ไอ้เหี้ยโฬมคนเถื่อนตะคอกใส่ผม มันกดสันมือเข้ากับหน้าอกผมจนเจ็บร้าวไปหมด แรงควายจริงๆ
“ไม่ขอโทษโว้ย...” ผมตะโกนโวยวาย
ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว มาลองดูกันสักตั้ง ว่ามึงกับกูใครจะอยู่ใครจะไป ผมโน้มตัวไปข้างหน้า ใช้แขนทั้งสองข้างโอบรอบคอมันเอาไว้ แล้วกระหวัดขาทั้งสองข้างไปเหนี่ยวรัดเอวมันไว้แน่น ก่อนจะโน้มหน้าเข้าไปหาซอกคอสีแทนของมัน แล้วฝังคมเขี้ยวลงไปที่บริเวณลำคอแถวๆ บ่า เรียกได้ว่ามีแรงเท่าไหร่ผมก็กัดลงไปเท่านั้น
“โอ๊ย...”
เสียงร้องของเจ้าของฟาร์มดังขึ้น ก่อนจะพยายามแกะผมออกจากตัวมัน มันทั้งเหวี่ยงทั้งสะบัดผมอย่างแรง แต่เชื่อเถอะผมเองก็รัดมันแน่นทั้งมือทั้งขา กูไม่ยอมปล่อยมึงง่ายๆ หรอกไอ้เหี้ยโฬม
“เหี้ย....” ไอ้คนชื่อธีร์และไอ้ใบชา รีบพุ่งตรงเข้ามายื้อยุดฉุดกระชากตัวผมออกจากเพื่อนมันแต่ใครจะไปยอม
เมื่อกี้มึงสองคนไม่มาช่วยกู ตอนนี้อย่าหวังเลยว่าจะพรากกูไปจากมันได้ ไอ้เหี้ยโฬมกูจะแปลงร่างเป็นแวมไพร์มาดูดเลือดมึง ตายซะเถอะมึง
ผมออกแรงกัดมันจนตัวผมสั่น รับรู้ได้ถึงรสเลือดเค็มๆ แหวะๆ ที่ไหลเข้าปาก แต่ไม่นานนักเจ้าของร่างยักษ์นี่มันยกมือขึ้นมาผลักหน้าผมออก จับเอวผมแล้วกระชากออกสุดแรงของมันแหละ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองบินได้ เพราะเหมือนตัวเองลอยไปที่ไหนสักแห่ง ภาพมันหมุนผ่านไปเร็วมาก ได้ยินเสียงดังโครมแล้วสติผมก็ดับวูบไป