ตอนที่ 6 แค่ตกใจ

3699 Words
ตอนที่ 6 แค่ตกใจ +++โฬม+++ หลังจากเหน็ดเหนื่อยกับงานมาทั้งวันผมเองก็แทบหมดแรง วันนี้มีกรุ๊ปทัวร์มาลงผมต้องไปนำนักท่องเที่ยวขี่ม้าชมฟาร์มตลอดทั้งบ่าย แล้วยังต้องไปตรวจดูม้าซึ่งเพิ่งจะนำเข้ามาใหม่จากต่างประเทศอีกสามตัวเพื่อเตรียมไว้ผสมพันธุ์กว่าจะเสร็จก็เย็น กลับเข้ามาบ้านก็ทันเห็นไอ้เด็กตัวแสบกำลังแอบปีนหน้าต่างออกมาจากชั้นสองพอดี นี่มันจะอยู่นิ่งๆ เฉยๆ ให้ผมได้สบายใจสักวันได้หรือเปล่านะ ผมเอื้อมคว้าคอเสื้อเชิ้ตของไอ้เด็กแสบนั้น ก่อนที่ร่างบางจะวิ่งหนีไปได้ไกลเกินกว่าจะคว้าได้ รู้อยู่หรอกว่าไม่มีทางหนีไปไหนได้จากบ้านนี่ กว่าจะวิ่งไปถึงปากทางเข้าฟาร์มไม่ใช่ใกล้ๆ ขนาดพวกผมเองไปไหนมาไหนยังต้องอาศัยขี่ม้า หรืออย่างไอ้ธีร์ ไอ้ใบชามันก็ขับรถยนต์เอา หรือบางทีก็ขี่มอเตอร์ไซค์ แต่เอาเถอะทุกคนเหนื่อยมากแล้ว ไม่มีใครอยากมาเสียเวลาวิ่งเล่นไล่จับกับไอ้เด็กนี่หรอก “อย่าปัญญาอ่อน”ผมเอ่ยเสียงดุ มันน่าเหนื่อยใจนะครับทำงานมาเหนื่อยๆทั้งวันกลับมาแทนที่จะได้พักก็ยังต้องมาสู้รบปรบมือกับไอ้เด็กนรกนี่อีก “ถ้าอยากลงมากินข้าวด้วยกันก็บอกดีๆ จะให้ไอ้เต้ยไปเปิดประตูให้ ไม่ต้องปีนหน้าต่างลงมา แค่เลี้ยงเด็กนิสัยเสียคนเดียวก็ปัญหาเยอะพอแล้วไม่อยากเลี้ยงเด็กนิสัยเสียที่พิการเพิ่มเข้าใจมั้ย” ผมพูดพร้อมกับจูงข้อมือบางนั้น ผมเดินจูงข้อมือเรียวเล็กนั้นให้เดินตามหลังมาอย่างเงียบๆ สายตาทุกคู่จับนิ่งอยู่ที่ไอ้น้องแทนเป็นตาเดียว นิ่งไปหมดแม้กระทั่งผมเองก็เหมือนกัน เด็กหนุ่มผิวขาวละเอียดจนเหมือนผิวเด็ก แก้มใสๆมีเลือดฝาดอมชมพู คงเพราะไอ้น้องแทนออกแรงดิ้นรนขัดขืนผมเมื่อครู่ จนเลือดฝาดขึ้นหน้า เหงื่อเม็ดเล็กๆซึมออกมาตรงไรผมข้างใบหูนิดๆ คิ้วเรียวเข้มหนาๆ นั้นขมวดเข้าหากันจนเกิดรอยย่นตรงกลาง ดวงตากลมโตกรอกมองไปรอบๆ เหมือนพยายามสำรวจทุกสิ่งรอบตัว ขนตายาวงอนอย่างกับติดขนตาปลอมเอาไว้เพราะมันเป็นแพหนาและงอนยาวกระพริบขึ้นลงถี่ๆ เหมือนกำลังหวาดระแวงอะไรสักอย่าง ซึ่งไอ้อะไรสักอย่างนั้นคงเป็นพวกผมแหละ ที่ทำให้ไอ้เด็กนี่กลัว จมูกเชิดรั้นๆ นั้นย่นขึ้นตามอารมณ์เจ้าของ ริมฝีปากบางๆสีชมพูระเรื่อเหมือนริมฝีปากสาวน้อยเบะออก แล้วย่นขึ้นเหมือนเด็กน้อยช่างเอาแต่ใจ ผิดก็แต่ว่าเด็กคนนี้เป็นผู้ชายแล้วก็อายุยี่สิบเอ็ดปีไม่ใช่เด็กสาวรุ่นๆ แก้มทั้งสองป่องออกนิดๆ ใบหน้าหวานหันไปมองคนรอบโต๊ะ ก่อนจะหันกลับมาย่นหน้าใส่ผมอีกครั้ง “น่ารักจังวะ” เสี้ยววินาทีหนึ่งหัวใจของผมวูบวาบขึ้นมาอีกเป็นครั้งสอง แล้วที่หัวใจผมมีปฏิกิริยาแบบนี้กับไอ้น้องแทน ผมรีบสลัดความรู้สึกแปลกประหลาดในใจออกไป “นั่งลงดีๆ” ผมแสร้งทำเสียงเข้ม พร้อมกับพยักหน้าลงไปยังเก้าอี้ไม้ซึ่งมันถูกตีติดไว้กับโต๊ะเป็นแนวยาว ไอ้น้องแทนยังไม่ได้นั่งลงในทันทีสายตากวาดไปรอบๆ จ้องมองดูสายตาอีกเก้าคู่ที่ส่งตรงมา ก่อนจะหันมาทางผมอีกรอบเหมือนกำลังชั่งใจอะไรอยู่สักอย่าง “เมื่อคืนตอนเก็บของก็เห็นแวบๆ ว่าเหมือนจะหน้าตาดีแต่ทำไมวันนี้ดูชัดๆ ไอ้เหี้ยเอ๊ยผู้ชายอะไรวะ สวยชิบหาย หน้านี่หวานยังกะผู้หญิง ผิวขาว ตาโต แก้มตุ๊บป่อง” ผมอยู่กับไอ้เจ็ดลูกกรอกนี่มานาน จนอ่านปากพวกมันได้แล้ว แถมมันจะนินทาก็นินทาซะกูได้ยินเลย อึ้งแดกกันไปทุกคน คงเว้นไว้แต่ไอ้เต้ยที่คงคุ้นเคยใบหน้าหวานๆ นี่อยู่ เพราะเคยพูดคุยกันอยู่บ้าง เพราะตลอดวันนี้ผมใช้ให้มันคอยเฝ้าไอ้น้องแทนเอาไว้ สายตาประหม่าแบบ งกๆ เงิ่นๆ ของเจ็ดลูกกรอกทำให้ผมต้องกระแอมขึ้นมาดังๆหนึ่งที เพื่อเรียกสติบรรดาลูกสมุนหนุ่มให้กลับมาเข้าที่เข้าทาง พวกมันรีบกลบเกลื่อนด้วยยิ้มเจื่อนๆ แล้วหันไปเตรียมยกตักอาหารมื้อเย็นใส่จานวางเรียงเอาไว้ตรงหน้าจนเต็มโต๊ะ ไม่แปลกหรอกที่พวกมันเป็นอย่างนี้ เพราะปกติมันก็ใช้ชีวิตอยู่แต่กับม้า กับวัว กับควาย แพะบ้าง แกะบ้าง เจอแต่ไอ้พวกดิบๆ เถื่อนๆ ตัวดำหนวดเฟิ้มกลิ่นตัวเหม็นเปรี้ยวกันทั้งวันนี่ครับ ถึงแม้ว่าไอ้น้องแทนจะเป็นผู้ชาย แต่เชื่อเถอะร้อยทั้งร้อย ถ้าได้มาเจอกับตัวใจสั่นกันหมด เพราะพ่อเจ้าประคุณสวยน่ารักเหลือเกิน แต่อย่าให้อ้าปากพูดเชียวนะ ด่าออกมาแต่ละอย่างนี่แม่ค้าตลาดสดยังอาย กิริยาท่าทางต่างกับหน้าตาเหลือเกิน “จะยืนอีกนานมั้ย” ผมเอ่ยขึ้นย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กไม่ยอมนั่งลงเสียที “ไม่ได้จะลงมากินข้าว จะกลับบ้าน” เสียงใสๆเอ่ยขึ้น น้ำเสียงกระแทกกระทั้นเอาแต่ใจชัดเจนไม่เปลี่ยน “จะกินตรงนี้หรือจะให้ลากขึ้นไปกินบนห้อง”ผมยืดตัวตรงส่งสายตาดุกร้าวมาให้ คงเป็นปฏิกิริยาตอบสนองตามความเคยชินเมื่อเวลาถูกขัดใจคือการเม้มริมฝีปากแล้วยกจมูกย่นขึ้น พร้อมกับทำแก้มป่องออกมา จนบางครั้งผมคิดว่าน้องแทนแสดงออกมาโดยไม่รู้ตัว อาการนี้เล่นเอางงกันทั้งโต๊ะหายใจไม่ทั่วท้องเพราะ “ผู้ชายงอน” เออมันไม่ชินตาจริงๆ ให้ตายเถอะ เคยแต่ไม่พอใจก็กระโดดต่อยปากกัน แต่ไม่ใช่แบบนี้โว้ย ไม่ใช่มาทำหน้าทำตาแบบนี้ มันดูน่ารักเกินไปแต่เจ้าตัวคงไม่รู้ตัวสินะ ดวงตาคู่สวยกลมโตคู่นั้นพุ่งตรงมายังผม “โว้ยยยยยยย...” เสียงร้องโวยของคนตัวเล็กดังขึ้น พร้อมกับมือที่วาดกวาดเอาจานชามกับข้าวมื้อเย็นเบื้องหน้าหกกระจายไปทั้งโต๊ะ ต้ม ผัด แกง ทอด เลอะเทอะเละเทะ เปื้อนเสื้อกันทั่วหน้า เรียกว่าคว่ำหม้อคว่ำไหกันเลยทีเดียว ไอ้เด็กตัวร้ายยกเท้าขึ้นมา เตะหน้าแข้งไอ้เต้ยซึ่งยืนงงอยู่ข้างๆ แล้วรีบวิ่งหนีไป สามวินาทีที่ผมตั้งสติจากไอ้คำว่า “โว้ย” เมื่อครู่ ผมก็วิ่งตามไปอย่างติดๆ เด็กนรกนี่นึกว่าจะดีขึ้นมาแล้วเชียวเห็นทีจะต้องใช้ไม้แข็งเสียแล้ว “หยุดนะแทน” ผมวิ่งไปทันคว้าข้อมือบางของคนร่างเล็กกระชากปลิวลงมาจากบันไดขั้นที่ห้ าจนเด็กหนุ่มล้มหัวทิ่มคะมำลงไปกับพื้น “ปล่อยกูนะ” เสียงตวาดสูงร้องลั่นบ้าน “กลับไปขอโทษพี่ ๆ เขาเดี๋ยวนี้” ผมจับใบหน้าหวานนั้นบีบแน่น จนริมฝีปากห่อเข้าด้วยกัน สายตาของผมจับอยู่ที่ริมฝีปากบางๆ เห็นว่ามีเลือดไหลซึมออกมานิดๆตรงริมฝีปากล่างจึงคลายมือออกเล็กน้อย “ไม่ไป”ไอ้เด็กตัวร้ายยังคงดื้อดึง พร้อมกับพยายามใช้มือปัดและทุบตีผมไม่เลิก “ถ้าไม่ไปได้เห็นดีกันแน่” ผมกระชากร่างบางนั้นให้ลุกขึ้นยืน แล้วจัดการกระชากคนตัวเล็กเดินกลับมาที่โต๊ะอาหาร ตอนนี้สภาพเละเทะไม่เหลืออะไรให้กินได้เลยสักอย่าง “ปล่อย”คนตัวเล็กพยายามขัดขืน แต่ก็นั่นแหละดิ้นให้ตายก็ไม่หลุด “ขอโทษพี่ ๆ เขาเดี๋ยวนี้” ผมตวาดเสียงดัง ทุกคนนิ่งอึ้งเงียบกริบไม่มีแม้เสียงลมหายใจใครสักคน “ไม่ขอโทษ” ไอ้เด็กแสบร้องเสียงสูง สายตาตวัดดูโกรธเคียดแค้นชิงชังผมเสียเหลือเกิน ใครสนล่ะนิสัยแบบนี้มันแย่เกินเยียวยาจริงๆ “บอกว่าให้ขอโทษ” “กูไม่ขอโทษ ปล่อยกูนะไอ้เหี้ยโฬม ไอ้บ้า ไอ้ชั่ว ไอ้เลว กูเกลียดมึง กูเกลียดที่นี่ กูเกลียด กูเกลียด ปล่อยกู กูจะกลับบ้าน” ไอ้เด็กแสบทั้งดิ้นรน ทั้งเตะ ทั้งถีบพัลวันไปหมด “เกลียดให้พอ ร้องให้ตายก็ไปจากที่นี่ไม่ได้” “เก็บ ทำความสะอาดซะ” ผมเอ่ยเสียงเดือด กระชากคอเสื้อเชิ้ตของเด็กหนุ่มจนกระดุมเม็ดบนมันขาด เผยให้เห็นแผ่นอกเนื้อในที่ขาวละเอียด ลำคอเป็นรอยแดงเห็นรอยนิ้วมือชัดเจน แขนทั้งสองข้างมีร่องรอยบีบเค้นจนแดงช้ำ ผมผลักร่างบางๆ นั้นไปชนกับโต๊ะไม้อย่างแรง “กูไม่ทำ” เสียงสูงนั้นตวาดกลับมาในทันที ดวงตากลมโตหวานเมื่อครู่คลอไปด้วยน้ำตา ทุกคนซึ่งยืนนิ่งอยู่เหมือนถูกสต๊าฟให้นิ่งอยู่กับที่ ไม่มีใครกล้าขยับหรือบางทีบางคนอาจจะลืมหายใจไปแล้วก็ได้ “จะทำดี ๆ หรือว่าต้องให้ลงไม้ลงมือก่อนถึงจะยอมเชื่อฟัง” ผมเค้นเสียงนั้นรอดไรฟันออกมา ดูก็รู้ว่าพยายามอย่างหนักที่จะอดกลั้นเอาไว้ “กูไม่ทำ” เสียงแหวดังบาดหูก่อนจะออกวิ่งไปอย่างสุดแรงแต่ยังไปได้ไม่พ้นช่วงแขน ผมคว้าเอวบางเอาไว้ ก่อนจะลากแล้วจับคนตัวเล็กนั้นเหวี่ยงตูมลงไปกลางสระน้ำข้างบ้าน ท่ามกลางสายตาตื่นตระหนกของคนอื่น ๆ แน่นอนไม่เคยมีใครเห็นโหมดโหดทะลุมิติแบบนี้ของลูกพี่ใหญ่อย่างผมมาก่อน ถึงแม้หลายคนจะพอเดาออกว่าคนอย่างผม ถ้าได้โกรธคงจะน่ากลัวมากๆ แต่ก็คงไม่มีใครคิดว่าจะน่ากลัวขนาดนี้ เสียงบริพาสก่นด่าสารพัด ดังลอยมาจากสระน้ำขนาดใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมคนนี้สะทกสะท้าน เจ้าเด็กร้ายกาจไม่ได้มีท่าทีว่าจะว่ายเข้ามาหาฝั่งเลยสักนิด ผมแอบคิดเอาเองว่าถ้าไอ้น้องแทนมันเหนื่อยแล้วจะว่ายน้ำเข้าฝั่งก็คงเลือกว่ายไปอีกฟากหนึ่งของสระซึ่งเป็นป่า สักสิบนาทีผ่านไปเสียงด่าทอต่างๆ ก็กลายเป็นเสียงร้องโวยวาย พร้อมกับร่างเล็กๆที่ว่ายตรงเข้ามาทางผมอย่างรวดเร็ว ไอ้เจ็ดลูกกรอกสมุนคู่มือผมละมือจากการช่วยกันเก็บกวาดเศษอาหาร ที่หกเลอะเทอะบนโต๊ะมายืนมองดูกันรอบสระ เป็นไอ้เต้ยกับไอ้โอ๊ตที่กระโดดลงน้ำไปช่วยลากเอาร่างเจ้าเด็กนรกนั่นขึ้นมาจากน้ำ “ไอ้เหี้ยโฬม ไอ้เหี้ยพี่โฬม ไอ้เหี้ย ไอ้สัด ไอ้ชาติหมา มึงมันเหี้ย กูเกลียดมึง กูจะฟ้องคุณย่า” เสียงร้องสั่นเครือด้วยความกลัวและตื่นตระหนก เนื้อตัวนั้นสั่นเทาใบหน้าซีดเผือด แขนข้างหนึ่งมีเลือดไหลอาบลงมาเป็นทางยาว ผมตรงเข้าไปรับร่างบางนั้นมาจากสมุนทั้งสองก่อนจะมองสำรวจไปทั่วว่าได้รับบาดเจ็บจากอะไรตรงไหนบ้าง ไอ้น้องแทนซุกใบหน้าลงกับอกกว้างของผม มือทั้งสองเกาะกุมเสื้อเชิ้ตสีดำของผมไว้แน่น พร้อมกับเบียดตัวเข้าหาผมเหมือนต้องการที่พึ่ง คงจะกลัวมากสินะเด็กเอ๊ยเด็กน้อย ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก “ตัวเหี้ยน่ะพี่ ผมนี่ตกใจแทบตาย สงสัยคุณแทนคงโดนมันกัดหรือข่วนเอา” ไอ้โอ๊ตรีบบอก “ไอ้ขุน” เสียงไอ้ใบชาเอ่ยขึ้นด้านหลังผม “ครับไปรับหมอธนูครับ รับทราบครับลูกพี่” ไอ้ขุนขานรับอย่างรู้หน้าที่ แล้วเดินไปคว้าข้อมือไอ้โดมเพื่อนรักบัดดี้คู่ใจกันก่อนจะเดินออกไป “ไอ้ชา มึงสั่งที่ร้านให้เอาข้าวมาส่งให้ไอ้พวกนี้ด้วยละกันเดี๋ยวกูพาไอ้ตัวแสบนี่ขึ้นไปบนห้องก่อน” ผมหันไปบอกเพื่อนเสียงเรียบ ส่วนคนในอ้อมแขนนิ่งสนิทไปแล้ว ผมก้มลงมองดูคนตัวเล็กในอ้อมแขนเห็นว่าตาทั้งสองข้างยังหลับตาปี๋ มือทั้งสองข้างยังรั้งเสื้อผมไว้ไม่ยอมปล่อย ให้มันได้อย่างนี้สิวะ เมื่อกี้ละทำเป็นอวดเก่ง ผมยืนขึ้นพร้อมอุ้มร่างบางนั้นไว้ในอ้อมแขนแล้วเดินเข้าบ้านไปเงียบๆ “ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ เดี๋ยวอีกสักพักหมอจะเข้ามาดูแผลให้” ผมสั่งเสียงเรียบไม่ได้ดุดันอย่างทุกครั้ง เพราะเห็นว่าคนตัวเล็กยังดูตื่นตกใจอยู่ “ไม่เอา ไม่อาบ กูจะกลับบ้าน”เสียงสั่นเครือเหมือนคนจะร้องไห้เอ่ยขึ้น “หยุดพร่ำเพ้อได้แล้ว ถ้านับหนึ่งถึงสามไม่ไปอาบละก็เราได้เห็นดีกันแน่” ผมเอ่ยน้ำเสียงเฉียบขาดขึ้น “ไม่ไป” ใบหน้าหวานเชิดขึ้นดวงตาเย้ยชวนหาเรื่อง “หนึ่ง...สอง...” ผมนับเลขช้าๆ ขึ้นพร้อมกับยิ้มออกมาน้อยๆ “มะ...ไม่...เฮ้ย” ผมเอื้อมมือหนาคว้าเอาคอเสื้อของไอ้ตัวเล็ก ก่อนจะจับโยนเข้าไปในห้องน้ำแล้วฉีกกระชากเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีฟ้าอ่อนจนกระดุมขาดกระเด็นออกมาเหลือไว้แค่เม็ดสุดท้ายเม็ดเดียว แล้วถอดมันออกจากตัวไอ้น้องแทนไปอย่างง่ายดาย เมื่อเสื้อเชิ้ตนั้นหลุดพ้นไปจากตัว ก็เผยให้เห็นแผ่นอกเรียบเนียนขาวสว่างสะท้อนอยู่ตัดกับสีเทาของกระเบื้องห้องน้ำ ผมคว้าเอวคอดนั้นก่อนจะดึงเข้ามาหาตัว ร่างบางปะทะเข้ากับแผ่นอกกว้างจนใจผมสั่นไปหมด มือหนาข้างหนึ่งควานหาเข็มขัดเพื่อต้องการจะปลดมันออกเป็นชิ้นถัดไป “พอแล้วๆ ยอมแล้วๆ อาบแล้ว อาบแล้ว” เสียงสั่นๆ เอ่ยขึ้น ใบหน้านั้นแดงซ่านจนลามลงไปถึงใบหูและลำคอ จากผิวขาวๆ ก็เปลี่ยนเป็นสีชมพูเข้ม น้องแทนก้มหน้านิ่งไม่ยอมสบตากับผมแม้สักแวบหนึ่ง “ดี...พูดง่ายๆแบบนี้จะได้ไม่ต้องเหนื่อย” ผมเอ่ยเสียงแข็งก่อนจะเดินออกมาจากห้องน้ำ ทิ้งให้น้องแทนอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายต่อไป ให้ตายเถอะหัวใจจะวายนี่มันอะไรกันวะ หัวใจของผมอยู่ๆ มันก็เต้นโครมครามจนแทบทะลุออกมานอกอก กับแค่ไอ้น้องแทนถอดเสื้ออยู่ตรงหน้าจะบ้าไปแล้ว หรือว่าผมเหนื่อยเกินไปหรือว่าผมหงุดหงิดน้องมันมากเกินไปโอ๊ยจะบ้าตาย “นี่” เสียงเรียกของคนตัวเล็กดังออกมาจากห้องน้ำ ประตูถูกแง้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับใบหน้าหวานๆนั้นโผล่ออกมาครึ่งซีก “...” ผมเหลือบมองนิดนึง หัวใจที่เพิ่งจะเต้นได้เป็นจังหวะปกติ มันก็เปลี่ยนมาเต้นโครมครามเอาอีกแล้ว “หยิบผ้าเช็ดตัวให้หน่อย” เสียงใส ๆ นั้นเอ่ยขึ้น พร้อมกับชี้นิ้วไปยังตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่ “...” ผมหันหลังไปมองดูตู้เสื้อผ้า ก่อนจะย้อนนึกไปถึงตอนที่ให้ไอ้น้องแทนเก็บเสื้อผ้าเข้าไปไว้ในตู้ตอนนั้น ผมยังยิ้มเยาะอยู่ว่ามันคงหาเสื้อผ้าใส่เองไม่ได้ เพราะมันเก็บของมั่วไปหมด เอาล่ะตอนนี้เป็นความซวยของผมแล้ว ที่จะต้องมานั่งรื้อหาผ้าเช็ดตัวให้ไอ้เจ้าตัวร้ายกาจคนนี้ “นี่...บอกว่าหยิบผ้าเช็ดตัวให้หน่อยไง หูตึงเหรอ” เสียงเรียกร้องย้ำอีกครั้งอย่างเริ่มมีอารมณ์คุกกรุ่น ไอ้น้องแทนนี่มันจะตายมั้ยนะถ้ามันไม่ได้กวนประสาทผมสักนิด “อยากได้ก็เดินออกมาเอาเองสิ หรือว่าไม่กล้าอายเหรอ” ผมยิ้มเยาะ มองไปยังประตูห้องน้ำ พลันในหัวก็จินตนาการไปไกลถึงเบื้องหลังบานประตูนั้นว่ามันเกิดอะไรขึ้น บ้าแล้วไอ้โฬมตั้งสติหน่อย “ไอ้ทุเรศ ใครจะไปหน้าด้านหน้าทนอย่างมึงล่ะ” เสียงใส ๆ ตะโกนด่าผมออกมาจากห้องน้ำ “นี่อยากโดนดีอีกใช่มั้ย ปากคอน่ะพูดจาให้มันดีๆ หน่อย ขืนพูดจาไม่เข้าหูอีก คราวนี้จะลากออกมาแล้วจับโยนลงไปแบบแก้ผ้านี่แหละ ดูสิว่าจะเก่งไปได้สักแค่ไหน” ผมหัวเราะเยอะเมื่อรู้ว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่า “ไอ้...” “อยากได้อะไรขอดี ๆ” ผมเอ่ยขึ้นแล้วทิ้งตัวนอนลงกับเตียงพับ ใช้แขนทั้งสองรองหนุนนอนต่างหมอน “จะเอาผ้าเช็ดตัว” เสียงดังออกมาจากห้องน้ำอ่อนลงเล็กน้อย “อยากได้อะไรครับ บอกพี่มาดี ๆ ” ผมยิ้มมุมปากอย่างมีชัยชนะ ทำน้ำเสียงให้เป็นปกติ “จะเอาผ้าเช็ดตัว” “พูดขอกับพี่ดี ๆ สิครับ ถ้าแทนพูดกับพี่ดี ๆ พี่ก็จะให้ดี ๆไม่แกล้ง ไม่ดุเลย” ผมหลับตายิ้มกริ่มในใจนึกสนุกอะไรขึ้นมาได้ “ผม...พี่โฬมครับหยิบผ้าเช็ดตัวในตู้ให้แทนหน่อยครับ” เสียงหวานนั้นเอ่ยขึ้น เสียงแผ่วแต่ก็ดังมากพอที่ผมจะได้ยินอย่างชัดเจนทุกถ้อยคำ ให้ตายเถอะพูดดี ๆ ก็เป็นนี่หว่าแล้วนี่อะไรวะ ใจกูสั่นทำไม ผมสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัวแล้วลุกขึ้นจากเตียงไปเปิดตู้เสื้อผ้าที่ข้างในโคตรรกนั่น เสื้อผ้า เสื้อนอน วางระเกะระกะปะปนกันมั่วไปหมด ผมใช้เวลารื้อยู่สองสามนาทีถึงหาผ้าเช็ดตัวผืนสีขาวสะอาดเนื้อนุ่มเจอ “นี่ครับ พี่เอามาให้แล้ว” ผมเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องน้ำ น้องแทนยื่นมือออกมาเพื่อขอรับผ้าเช็ดตัวในมือผม แต่มันจะสนุกอะไรล่ะถ้าให้ไปง่ายๆ +++แทน+++ “อยากได้อะไรขอดี ๆ” ผมนี่อึ้งไปเลยเมื่อปรับโหมดไม่ทัน ในเมื่ออยู่ๆ ไอ้เหี้ยโฬมก็ดันมาพูดจานุ่มนวลกับผม มันจะมาไม้ไหนวะ ผมขมวดคิ้วเข้าหากัน ในสมองคิดทบทวนว่าไอ้คนในห้องมันกำลังคิดอะไรอยู่ หรือว่ามันแกล้งผมจนเหนื่อยแล้ว เอาวะลองดู “จะเอาผ้าเช็ดตัว” ผมตอบกลับไปน้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย “อยากได้อะไรครับ บอกพี่มาดี ๆ” ผมนี่ตัวชาวาบไปทั้งตัวเมื่อได้ยินประโยคนั้น ผีเข้าเหรอวะ มึงเป็นใครเนี่ย ไอ้เหี้ยโฬมที่จับผมเหวี่ยงลงสระไปให้ตัวเหี้ยแดกเมื่อกี้หายไปไหนแล้ว ติ๊กต๊อก ติ๊กต๊อก ในสมองผมประมวลผลอย่างรวดเร็วแต่เมื่อกี้พอพูดกับมันดีๆ มันก็ไม่ตะคอกใส่ผมนี่นะ “จะเอาผ้าเช็ดตัว” ผมปรับโหมดโทนเสียงเป็นโหมดธรรมดาที่เวลาปกติใช้พูดคุยกับคนทั่วไป “พูดขอกับพี่ดี ๆ สิครับ ถ้าแทนพูดกับพี่ดี ๆ พี่ก็จะให้ดี ๆไม่แกล้ง ไม่ดุเลย” ได้ผลแฮะ หรือว่ามันชอบให้พูดจาหวานให้มันวะ แล้วก็ไม่บอก ได้การละเสร็จไอ้แทน “ผม...พี่โฬมครับหยิบผ้าเช็ดตัวในตู้ให้แทนหน่อยครับ” เสียงสองละครับผม ผมร้องบอกออกไปแต่ในใจนั่นยิ้มกริ่ม ไม่นานนักเจ้าของร่างสูงใหญ่ก็เดินตรงมาหาผม ในมือนั้นถือผ้าเช็ดตัวอยู่ ผมยื่นมือออกไปรับ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของบ้านนัยน์ตายิ้มกริ่มเรียบร้อยสินะ แต่เอ๊ะ... พลั่ก บานประตูห้องน้ำถูกผลักเข้ามาอย่างรวดเร็ว จนผมเซถลาถอยไปสองก้าว ผมตกใจรู้สึกหน้าชาตั้งแต่หน้าผากจนถึงนิ้วโป้งตีน ก็ตอนนี้ผมเปลือยทั้งตัวนี่ครับ แล้วไอ้เหี้ยโฬมบ้านี่มันจะเข้ามาทำไมล่ะ ผมแค่จะเอาผ้าเช็ดตัวนะ ไม่ได้บอกว่าให้มันเข้ามาสักหน่อย “ไอ้เหี้ยพี่โฬม” ผมอุทานอกมาเสียงดังสุดในชีวิต แต่ทำไมปากมันไม่ขยับมีแค่เสียงกระซิบเบาๆ หลุดออกมาจากริมฝีปากของผมเท่านั้น ไม่รู้สิเหมือนสมองมันตื้อๆ แล้วก็ดับวูบพร่าเลือนไปหมด รับรู้ได้แค่ดวงตาคู่สีน้ำตาลทองอ่อนๆ จับจ้องผมอยู่ แววตาคู่นี้เป็นแววตาพ่อมดหรือยังไงกันนะ ทำไมผมขยับตัวไม่ได้เลย รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ยังไงบอกไม่ถูก ใกล้จัง ใกล้เกินไปแล้ว ใกล้จนภาพมันเบลอไปหมดแล้ว ใกล้ไปแล้วโว้ย กูจะช็อคตายแล้ว เสียงในหัวผมร้องตะโกนโวยวาย ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูห้องนอนดังขึ้น ฉุดสติให้ผมตื่นขึ้นมา แล้วภาพตรงหน้าดวงตาคู่สีน้ำตาลทองนั้นก็ถอยห่างออกไป พร้อมกับดึงประตูห้องน้ำให้ปิดลงด้วย “รอเดี๋ยว” เสียงนุ่มๆ ของไอ้คนหน้ายักษ์เอ่ยขึ้นพร้อมกับเสียงเคาะประตูห้องน้ำอีกครั้ง ผมแง้มเปิดออกดู จึงเห็นว่ามือหนานั้นยื่นชุดนอนผ้าแพรสีเทาเข้มส่งมาให้ ผมเพียงยื่นมือรับเข้ามาด้วยหัวใจอันปั่นป่วนสับสนไปหมด มึงต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ไอ้แทน หัวใจกูเป็นอะไร มือ ขา แขน หัวใจ ไอ้สัดเอ๊ยสั่นไปหมด นี่กูยังไม่หายตกใจจากไอ้เหี้ยตัวนั่นที่มันจะแดกกูในสระใช่มั้ย เออ...กูตกใจกลัวเหี้ยแหละ แต่ทำไมเหี้ยในหัวกูถึงเป็นหน้ามึงวะไอ้เหี้ยโฬม ไอ้ควายเอ๊ย กูกลัวเหี้ย กูกลัวเหี้ย กูกลัวเหี้ย ท่องไว้ ไอ้เหี้ยโฬม กูสลัดหน้ามึงออกจากหัวกูไม่ได้ ไอ้โฬม มึงมันคือตัวเหี้ย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD