ตอนที่ 5 ตัวอันตราย

1873 Words
ตอนที่ 5 ตัวอันตราย +++โฬม+++ ปัง ปัง ปัง เสียงทุบประตูหนักๆ เสียงดังมาจากชั้นสองตำแหน่งเดิม ดึงคอของชายหนุ่มสิบคนเบื้องล่างที่กำลังตักข้าวต้มใส่ปาก ให้ชูแหงนคอขึ้นไปมองโดยพร้อมเพรียงกัน อย่างไม่ได้นัดหมาย “เฮ้อ...แต่เช้าเลยเหรอวะ” ไอ้ธีร์ ถอนหายใจหนักๆ ออกมา แล้วยัดข้าวต้มกระดูกหมูเข้าปากอย่างเพลียๆ จะไม่ให้เพลียได้ยังไงในเมื่อ ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมาพวกผมซึ่งประกอบด้วยไอ้ธีร์ ไอ้ใบชาและตัวผมเอง แทบไม่ได้นอนเลย เมื่อไอ้เจ้าเด็กนรกนั่นตื่นขึ้นมากลางดึก แล้วปั่นประสาทพวกผมด้วยการตบโต๊ะ ตบประตูเสียงดังจนพวกผมนอนไม่หลับทั้งคืน เพิ่งจะได้นอนกันไปเมื่อช่วงตีสามตีสี่นี่เอง ซึ่งก็คงเพราะไอ้เด็กเปรตนั่นมันคงจะป่วนจนหมดแรง แล้วเผลอหลับไปเองนั่นแหละ พวกผมถึงได้นอนกัน “ไม่ต้องสนใจ รีบๆแดกแล้วก็ไปทำงานต่อ” ผมเอ่ยขึ้นอย่างไม่ได้สนใจอะไรนัก “เอ่อ ลูกพี่ครับ ข้าวต้มนี่...” ไอ้เต้ยเอ่ยขึ้นมองชามข้าวต้มด้วยท่าทางอึดอัดใจ “มึงเอาขึ้นไปให้คุณแทน กินก็กิน ไม่กินก็ช่างเขา แล้วก็ไม่ต้องโง่ให้เขาตีหัวแตกกลับมาอีกล่ะ” ผมเอ่ยกำชับลูกน้องคนสนิท ไอ้เต้ยกลืนน้ำลายลงคอแบบฝืดๆ ก่อนจะยกถาดข้าวต้มขึ้นไปบนห้องเป้าหมาย +++แทน+++ เช้าแล้วใช่มั้ย ผมได้ยินเสียงคนคุยกันสับสนจับใจความไม่ได้ ผมชะโงกหน้าไปส่องดูตรงบานหน้าต่างห้อง ก็มองลงไปเห็นกลุ่มคนล้อมวงกินข้าวกันอยู่ที่โต๊ะใต้ต้นไม้ ห่างจากตัวบ้านออกไปนิดหน่อย ไอ้หน้าต่างนี่ก็ยังไงนะ มันล็อคยังไงเปิดยังไงวะ ผมพยายามงัดมันมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วแต่ก็เปิดไม่ออกสักที เสียงเคาะประตูหน้าห้อง ทำให้ผมต้องรีบดีดตัวเองกลับมานั่งที่เตียงนอนดีๆ “เอ่อ...คุณแทนครับ ผมเอาข้าวต้มมาให้ครับ” คนชื่อเต้ยเดินมาวางถาดข้าวต้ม ซึ่งมีกระดูกหมูลอยอยู่เต็มชามลงบนโต๊ะหัวเตียง ความหอมของข้าวต้มส่งกลิ่นโชยแตะจมูกจนท้องผมร้อง ก็ผมหิวนี่ ตั้งแต่เมื่อวานยังไม่ได้กินอะไรเลยมัวแต่ทะเลาะกับไอ้เหี้ยโฬมบ้านั่น ไม่รู้ว่าป่านนี้มันอกแตกตายไปหรือยัง เพราะเมื่อคืนนี้ผมตื่นขึ้นมากลางดึก แล้วนอนไม่หลับเลยจัดการแกล้งมันด้วยการลุกขึ้นมาทุบประตูเสียงดังโหวกเหวกทั้งคืน แรกๆ มันก็เดินมาห้ามผม ทั้งห้ามทั้งขู่ แต่หลายๆครั้งเข้ามันคงเหนื่อยแหละ เลยปล่อยให้ผมทุบอยู่อย่างนั้นจนผมเบื่อแล้วก็ง่วงด้วยผมเลยนอนหลับ กะว่าจะเก็บแรงเอาไว้ทะเลาะกับมันต่อวันนี้ “ไม่มีอะไรที่มันสร้างสรรค์กว่านี้เหรอ อยากกินไส้กรอก ไข่ดาว ขนมปังปิ้งทาแค่เนยนะ ส่วนเบคอนเอากรอบๆนะ แล้วก็ขอนมอุ่นๆด้วยแก้วนึง อ้อเอาน้ำส้มคั้นมาให้ด้วยเร็วๆเข้า” ผมเบ้หน้า ออกคำสั่งหน้าเชิดพร้อมกับยกเอาถาดข้าวต้มยัดใส่มือชายหนุ่มคืนไปด้วย “ห้ะ...” คนชื่อเต้ยยืนอ้าปากค้าง เหมือนจะงงอยู่พักใหญ่ก่อนจะค่อยๆ เดินออกจากห้องไป ไม่รู้ว่ามันเอาข้อความอะไรไปบอกกับลูกพี่มัน เพราะอีกสิบนาทีต่อมามันก็ถือถาดใบเดิมขึ้นมาใหม่ พร้อมกับข้าวต้มกระดูกหมูชามเดิม แต่มันมีแค่ข้าวเปล่าๆ โรยหน้าด้วยผักชีไม่มีกระดูกหมูหลงเหลืออยู่เลยสักชิ้นเดียว “นี่อะไรน่ะ บอกว่าไม่กินข้าวต้มไง จะเอาไส้กรอก ไข่ดาว เบคอนฟังไม่รู้เรื่องหรือไง” ผมตวัดสายตาหาเรื่อง ชำเลืองมองชามข้าวต้มด้วยความเคียดแค้น เมื่อกี้มายังพอดูรู้ว่าเป็นข้าวต้มกระดูกหมู แต่ตอนนี้วิญญาณหมูยังไม่เห็นเลย ไอ้คนใจยักษ์ต้องเป็นมันนั่นแหละ ไอ้คนใจร้าย ไอ้คนใจดำ หลังจากจิกกัดคนที่นำมื้อเช้ามาส่งให้จนพอใจแล้ว ผมก็ผลักไสให้มันออกจากห้องไป แล้วอีกสิบนาทีต่อมา คนชื่อเต้ยก็กลับมาอีกครั้งพร้อมถาดใบเดิมเพิ่มเติมถือข้าวต้มเปล่าๆ นั้นเหลือแค่ครึ่งชาม “เอ่อ...คุณแทนครับ ลูกพี่ฝากมาบอกว่าถ้าไล่ผมลงไปอีกที ขึ้นมาครั้งนี้จะเหลือแค่น้ำเปล่านะครับ” คนชื่อเต้ยเอ่ยเสียงเบาๆ “ไอ้เหี้ยโฬม ไอ้คนใจร้าย ไอ้คนใจดำ ไอ้คนป่า” ผมก่นด่ามันอย่างฮึดฮัด เพราะถูกขัดใจพร้อมกับกำปั้นที่รัวทุบลงบนเตียงนอน ซึ่งยับยู่ยี่เพื่อเป็นการระบายอารมณ์เมื่อฟังคำบอกเล่าจากชายหนุ่มเกี่ยวกับมื้อเช้าของผม “เอ่อ ผมว่าคุณแทนทานเถอะนะครับ ไม่ได้ทานอะไรมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วเดี๋ยวจะไม่มีแรงนะครับ” เสียงห้าวแต่ยังคงสุภาพของคนชื่อเต้ยทำให้อารมณ์คุกรุ่นของผมเบาลงได้บ้าง บวกกับความหิวที่ผมเองก็ทนมันมาตลอดทั้งคืน “ข้าวต้มบ้าบอ วิญญาณหมูก็ไม่มี ไอ้เหี้ย ไอ้สัด ไอ้ชาติหมา ไอ้ควาย ไอ้ระยำ ไอ้คนใจดำ ไอ้เลว ไอ้ชั่ว ไอ้...” ผมด่ารัวไฟแลบ ไอ้คนชื่อเต้ยตาค้างอ้าปากหวอกระพริบตาปริบๆ “พอเถอะครับคุณแทน ทานข้าวก่อนนะครับ ด่ามากๆ เดี๋ยวหมดแรงนะครับ คุณแทนรีบทานนะครับ เดี๋ยวผมรอเก็บชามลงไปล้างให้นะครับ” ไอ้คนชื่อเต้ยเอ่ยยิ้มๆ “มึงชื่อเต้ยหรอ” ผมถามขึ้นหลังจากกินเสร็จจริงๆ ไอ้ข้าวต้มส้นตีนนี่ตักนับได้หกคำก็เกลี้ยงชามแล้ว ผมใช้เวลากินข้าวต้มชามนี้แค่สองนาทีเอง กูจะจำไว้อย่าให้ถึงทีกูบ้างนะไอ้เหี้ยโฬม กูจะเอาคืนให้สาสมเลย “ครับ ผมชื่อเต้ย” “ท่าทางมึงไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ทำไมมาทำงานให้คนเลวๆ อย่างมัน” ผมนั่งยืดตัวตรง แขนทั้งสองข้างเหยียดยาวเท้าลงกับขอบเตียง เอียงคอมองดูคู่สนทนาพร้อมกับพินิจพิจารณาท่าทีของคนตรงหน้าไปด้วย ใบหน้าคมคายอย่างชายไทยแท้ๆ อายุน่าจะมากกว่าผมหลายปี และอย่าคาดหวังให้ผมเรียกใครว่าพี่นอกจากพี่สาวทั้งสองคนของผมคือพี่กันยา และพี่เมษา ก็มีคนอีกไม่กี่คนที่ผมให้เกียรติเรียกคำนำหน้าว่าพี่ ก็ไม่ได้อะไรหรอกนะ แต่ในเมื่อไม่ใช่ญาติโกโหติกากันก็คงไม่จำเป็นต้องให้เกียรติกันมากมายขนาดนั้นนี่ใช่มั้ย “ลูกพี่ใหญ่เป็นคนดีนะครับแล้วก็ใจดีมากๆ เลยด้วย คุณแทนไม่ชอบลูกพี่เหรอครับ” ไอ้เต้ยเอ่ยถามหน้าซื่อๆ “ไม่ใช่ว่ากูไม่ชอบแต่.....กูเกลียด” ผมตอบกลับไปย่นจมูกขึ้น เหลือกตากรอกไปมาอย่างหงุดหงิด ไอ้คนชื่อเต้ยหน้าเหวอ หลังจากผมใช้เวลาพักใหญ่ แอบมองดูว่าข้างนอกปลอดคน ผมก็เริ่มต้นงัดแงะบานหน้าต่างนั่นอีกครั้ง หลังจากพยายามอยู่นาน และพักยกเติมพลังจากมื้อเที่ยงด้วยข้าวผัดหมูกระจอก ๆ หนึ่งจาน นี่ถ้าไม่ใช่ว่าผมหิวเกือบตาย รับรองว่าไอ้ข้าวผัดจานนี้ไม่มีวันได้สัมผัสลิ้นผมแน่นอน มันคงพ้นเวลาเที่ยงไปนานแล้วล่ะ หลังจากผมพยายามงัดบานหน้าต่างห้องของตัวเองออก จนในที่สุดผมก็ประสบความสำเร็จ ผมชะโงกหน้าออกไปมองจนแน่ใจแล้วว่าทางสะดวก ก่อนจะปีนขึ้นไปนั่งบนขอบหน้าต่างชั้นสองของบ้านหลังนี้ซึ่งไม่มีระเบียง จากการคาดคะเนระดับความสูงจากไอ้พื้นหญ้าสีเขียวๆ ด้านล่างนั่นมาถึงขอบหน้าต่างที่ผมนั่งอยู่นี่ก็คงสักห้าหกเมตรล่ะมั้ง ตกลงไปก็คงไม่ตายหรอก ผมมองพื้นเบื้องล่างอย่างหวาดๆ ถึงแม้จะกลัวอยู่บ้างแต่ถ้าจะให้ทนอยู่ที่นี่ต่อไปผมก็คงทนไม่ไหว ผมตัดสินใจกระโดดพรวดลงมาจากหน้าต่างห้องชั้นสองโดยไม่ได้ลังเล “โอ๊ย...” ผมเผลอร้องออกมาเสียงดัง เพราะก้นกระแทกพื้นอย่างแรง จนล้มกลิ้งไปกับพื้นก่อนจะค่อยๆ พยุงตัวเองให้ลุกขึ้นมา แล้วพยายามปัดเศษหญ้าออกจากตัวตั้งใจว่าจะออกตัววิ่งไปข้างหน้าทันที “อ้าว เฮ้ย” แต่มันไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิดเมื่อเวลานี้คอเสื้อของผมถูกใครบางคนรั้งเอาไว้ “อย่าปัญญาอ่อน” เสียงดุเคร่งขรึมคุ้นหูดังขึ้นอยู่ด้านหลังพร้อมทั้งเสียงหัวเราะคิกคักของคนหลายคนดังขึ้น ผมหันมาค้อนขวับด้วยสีหน้าเหวี่ยงสุดฤทธิ์ กัดเม้มริมฝีปากเอาไว้แน่นจนน่ากลัวว่าจะกัดปากตัวเองเลือดซิบเข้าสักวัน “ปล่อยนะ”ผมตวาดใส่คนตรงหน้า มือของผมพยายามไขว่คว้ามืออีกฝ่ายเพื่อจะแกะมือเหนียวนั้นออก “ถ้าอยากลงมากินข้าวด้วยกันก็บอกดีๆ จะให้ไอ้เต้ยไปเปิดประตูให้ ไม่ต้องปีนหน้าต่างลงมา แค่เลี้ยงเด็กนิสัยเสียคนเดียวก็ปัญหาเยอะพอแล้ว ไม่อยากเลี้ยงเด็กนิสัยเสียที่พิการเพิ่มเข้าใจมั้ย” เสียงเข้มนั้นเอ่ยขึ้นพร้อมกับรั้งข้อมือให้เดินไปยังโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ ผมเองก็เพิ่งจะสังเกตว่ามีคนอื่นอีกหลายคนที่ผมไม่รู้จักไม่เคยเห็นหน้านั่งกันเต็มโต๊ะ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า ผมกวาดสายตาไปทั่วโต๊ะ พร้อมกับนับเลขในใจทันทีสิบคน คนพวกนี้เป็นใคร ทำไมผมมาอยู่นี่ ผมเผลอหยุดดิ้นรนแล้วปล่อยให้คนหน้ายักษ์จูงมือจนมาหยุดยืนอยู่ที่ปลายหัวโต๊ะฟากหนึ่ง ทุกสายตาจับจ้องมายังผม พวกมึงมองอะไรวะไม่เคยเห็นคนหรือไง ถ้าไอ้เหี้ยโฬมเป็นหัวหน้าโจร ไอ้พวกนี้ก็ลูกน้องโจรสินะ “นี่...” ผมสะบัดข้อมือออกจากมือไอ้เหี้ยโฬม เอ่ยเรียกมันเสียงขุ่นไม่กล้าตวาดเสียงดัง เพราะถ้าเกิดไอ้พวกนี้มันบ้าขึ้นมาเกิดลุกขึ้นมารุมกระทืบผมคนเดียวไม่เละเป็นโจ๊กเลยหรอ แต่ละคนตัวอย่างกับตึก แล้วทำไมมันเงียบกันจังวะ พวกมันจ้องอะไรบนตัวกูวะ หรือว่ากูใส่เสื้อกลับด้าน ก่อนลงมากูก็ว่ากูแต่งตัวดีแล้วนะ นี่เสื้อแบรนด์เนมนะมึง ตัวละตั้งเป็นหมื่น พวกมึงมองกูซะกูเสียความมั่นใจไม่กล้าขยับตัวเลย หรือว่ากูเซตผมมาไม่หล่อ ใช่แน่ๆเลย ตอนกูโดดลงมาสงสัยผมกูเสียทรง พวกมึงมองกูแบบนั้นทำไม ไอ้ชิบหายหยุดมองกูเดี๋ยวนี้นะ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD