“เธอมีอะไรจะคุยกับฉัน” พ่อเลี้ยงหนุ่มเอ่ยถามขึ้นมาทันทีที่เดินมาถึงที่เรือนกล้วยไม้
“เรื่องที่ของยายค่ะ หนูขอผ่อนผันได้มั้ย หนูกับยายจะรีบทำงานแล้วหาเงินมาใช้หนี้พ่อเลี้ยงให้เร็วที่สุดค่ะ” ปรารินเอ่ยออกมาแล้วก็ต้องหายใจไม่ทั่วท้อง เธอลุ้นไปกับคำตอบของเขาเป็นอย่างมาก
“ฉันให้เวลาอานนท์หลายปีแล้ว แล้วนี่มันก็เกินเวลาที่ฉันจะผ่อนผันให้ได้แล้ว เธอกลับไปซะเถอะ” การันต์เอ่ยออกมาเสียงเรียบ เขาไม่จำเป็นต้องใจอ่อนกับลูกหนี้ทุกราย เท่าที่ให้อยู่หลายปีมานี้ก็นับว่าใจดีมากแล้ว
“ได้โปรดเถอะนะคะ ฉันกับยายไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน น้าของฉันเป็นคนเอาโฉนดมาจำนองกับพ่อเลี้ยง ได้โปรดให้โอกาสพวกเราได้มีโอกาสไถ่คืนด้วยค่ะ” ปรารินแทบหมดหวังเมื่อได้ยินคำตอบของการันต์ แต่เธอก็ยังไม่เลิกอ้อนวอนชายหนุ่ม เพราะเธอหวังว่าเขาจะมีเมตตาปรานีกับคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรอย่างเธอกับยายของเธอบ้าง
“ถ้าฉันต้องใจดีกับทุกคน ฉันคงต้องตั้งองค์กรการกุศลแล้วมั้ง” ใบหน้าของพ่อเลี้ยงหนุ่มกำลังเริ่มรู้สึกหงุดหงิดกับสิ่งที่เป็นอยู่ แม่สาวน้อยคนนี้จะใช้ลูกตื้อแบบไหน
“แค่ฉันกับยายนะพ่อเลี้ยง ฉันสัญญาเราจะรีบส่งดอกแล้วก็ตัดต้นที่น้านนท์เอาไป” เด็กสาวถือวิสาสะเขย่าที่แขนของพ่อเลี้ยงหนุ่มด้วยความหวังอย่างเต็มเปี่ยม
“เธอกลับไปเถอะนะ ฉันไม่สามารถทำตามที่เธอต้องการได้” การันต์ตัดใจเอ่ยเพื่อให้เด็กสาวนั้นกลับไป แต่เด็กสาวกลับไม่ยอมที่จะกลับไป
“ไม่นะพ่อเลี้ยง หนูกลับไปไม่ได้ เอาอย่างนี้มั้ย หนูจะยอมทำทุกอย่างที่พ่อเลี้ยงต้องการ ขอแค่พ่อเลี้ยงให้โอกาสหนูได้ไถ่ที่ดินคืน” ปรารินยังคงยื้อชายหนุ่มไว้ เธอไม่ยอมปล่อยมือจากเขา ด้วยกลัวว่าโอกาสสุดท้ายจะหลุดมือของเธอไป
“ฉันไม่ได้ต้องการอะไรจากเธอ ตอนนี้ที่อยากได้อย่างเดียวคืออยากให้เธอออกไปจากที่นี่ เข้าใจมั้ย” เสียงของชายหนุ่มเริ่มเข้มขึ้น เขาไม่ชอบลูกตื้อของแม่สาวน้อยนี่เลย
“ฉันไม่กลับค่ะ ฉันมีข้อเสนออื่น พ่อเลี้ยงฟังฉันก่อนนะคะ” ปรารินกลั้นหายใจเอ่ยสิ่งที่เธอเพิ่งคิดได้เมื่อสักครู่ ถ้ายายรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่คงแทบลมจับเลยทีเดียว
“นี่คือสิ่งสุดท้ายที่ฉันจะเปิดโอกาสให้เธอพูดนะ ถ้าฉันไม่สนใจกรุณากลับไปจากที่นี่ซะ” การันต์กล่าวเสียงขุ่น เขาไม่ชอบใจเลยที่เด็กสาวยังตื้อไม่เลิกเช่นนี้