ร่างสูงสง่าโอบอุ้มบุตรชายในอ้อมแขน เสียงลมแผ่วเบาพัดใบไม้ไหวนอกเรือน หิ่งน้อยตัวน้อยออกมาลอยเล่นระยิบระยับราวหมู่ดาว อ๋องน้อยหลับไปในอ้อมแขนแกร่งของพระบิดา
เมื่อบุตรร้องหามารดา คนเป็นพ่อได้แต่เจ็บปวดในอก หัวใจเจ็บร้าวทรมานราวกับมีดกรีดกลางใจ ทั้งมามา นางกำนัล สาวใช้ต่างยืนเช็ดน้ำตาอยู่ด้านนอก ทุกคนเห็นใจโชคชะตาอันโหดร้ายของท่านอ๋อง ทั้งรู้สึกสงสารเอ็นดูอ๋องน้อยที่ต้องกำพร้ามารดาแต่ยังเล็ก
ใครเล่าจะอยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้น
ชินหวางอ๋องวางร่างเล็กของบุตรชายลงบนเตียง อ๋องน้อยยอมดื่มนมจากอกแม่นมโดยการหลอกล่อให้แม่นมสวมอาภรณ์เช่นพระมารดาหวินชิง กลิ่นติดอาภรณ์เป็นกลิ่นมารดาของอ๋องน้อยจึงปลอบประโลมให้ยอมดื่มนมได้บ้างแต่ก็ยังไม่ยอมหลับเสียที จนชินหวางอ๋องต้องโอบอุ้มกล่อมนอนจนหลับคาอ้อมแขน
เล่ออี้เดินเหม่อลอยกลับไปยังตำหนักพันพยัคฆ์เพื่อพักเอาแรง ยามห้ายลมเย็นหวีดหวิวหนาวกรีดเข้าถึงกระดูก เขาอยากให้ทางเดินไปห้องบรรทมยืดยาวออกไปไม่สิ้นสุด
ชินหวางอ๋องไม่อยากกลับไปที่เตียงกว้าง เตียงที่เขาเคยนอนกอดพระชายาหวินชิงทุกค่ำคืน เตียงยิ่งดูเหมือนกว้างกว่าเดิมมากนัก อ้างว้างจนอยากหั่นเตียงออกเสียครึ่งหนึ่ง
ท่านอ๋องเปิดประตูเข้ามายังห้องบรรทมกวาดสายตามองโดยรอบดั่งคนไร้ชีวิต เขามองอาภรณ์สีแดงสดของพระชายาเอกหวินชิง คว้าอาภรณ์โปร่งเบาเข้าแนบอก ชุดที่นางสวมใส่ตอนเขาประทานสุราพิษให้นาง กลิ่นกายหอมกรุ่นยังติดตรึงอยู่บนอาภรณ์ เสียงแหบพร่าเอ่ยออกมาเพียงคำหนึ่ง
"เหตุใดเจ้าจึงเลือกทำเช่นนี้" พร้อมคำถามในหัวใจจุกล้นเอ่อจนตันขึ้นมาถึงลำคอ
ความเจ็บปวดอย่างไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูด ไม่สามารถขีดเขียนเป็นถ้อยความ หรือร้องไห้ระบายอย่างฟูมฟายเพื่อปลดปล่อย
เล่ออี้ได้แต่เก็บงำทุกความรู้สึก ความเสียใจ ความเจ็บปวดไว้ในอก แม้อยากสะอื้นไห้ร่ำร้องหาความยุติธรรมต่อฟ้า เขาได้แต่ก้มหน้าหลั่งน้ำตาเงียบๆ อย่างเดียวดาย
ท่านอ๋องวางอาภรณ์ของนางบนเตียงกว้าง ร่างหนาเดินไปยังห้องด้านข้าง มีภาพของปรมาจารย์ท่านหนึ่งแขวนอยู่ ปรมาจารย์ท่านนี้เป็นอาจารย์ของชินหวางอ๋อง ฝีมือลึกล้ำเหนือผู้ใดในใต้หล้า
ชินหวางอ๋องนึกถึงคำสั่งเสียคำหนึ่งที่ท่านปรมาจารย์เจินหยวนสั่งเสียไว้เรื่องข้อห้ามเคล็ดวิชาผูกวิญญาณ เคล็ดวิชาเร้นลับแหวกจารีตอันควร เป็นข้อห้ามข้อหนึ่งในบรรดาตำราไสยมนต์มารของท่านอาจารย์
เขาหยิบกริชหมื่นโลหิตออกจากในอกเสื้อกรีดไปบนนิ้วหลั่งเลือดผสานพลังปราณในกายตน เลือดหลั่งไหลออกจากปลายนิ้วลงบนกระจกเงาเรียกวิญญาณ
ชินหวางอ๋องเล่ออี้หยิบขวดกระเบื้องบรรจุเลือดของพระชายาเอกหวินชิงออกจากในอกเสื้อหยดเลือดของนางรวมกับเลือดของเขาบนกระจก
หากปรารถนาเชื่อมบุพเพกับผู้ใดด้วยเคล็ดวิชาผิดจารีตย่อมเป็นเรื่องผิดแล้ว 'การผูกเส้นวาสนาของตนกับวิญญาณยิ่งถือเป็นเรื่องผิดมหันต์ยิ่งกว่า'
ความเจ็บปวดเสียใจเกินต้านทานทำให้ชินหวางอ๋องกระทำในสิ่งที่ไม่เคยมีผู้ใดกล้าทำมาก่อน การกระทำเช่นนี้อันตรายดั่งเดินเข้ากองเพลิงให้ตนถูกเผาทั้งเป็น ผลใดจะตามมาบ้างล้วนเป็นเรื่องสุดคาดเดา
เขาเชื่อมเส้นวาสนาผูกวิญญาณของตนกับคนตาย
เลือดของทั้งสองไหลรวมกันบนกระจกเรียกวิญญาณ ปรากฎเป็นตัวอักษรเลือด ปรากฎนามของสตรีซึ่งท่านอ๋องภาวนาให้เป็นชื่อหวินชิง เลือดไหลวนบนกระจกหลายรอบ โลหิตผสานปราณเรืองประกายสีทองแดงอ่อนจางสะท้อนบนกระจก
เลือดกลุ่มนั้นปรากฎเป็นใบหน้าของสตรีผู้หนึ่ง ใบหน้าของพระชายาเอกหวินชิง เลือดไหลรวมกันอีกครั้งตวัดเป็นตัวอักษรปรากฎนาม 'หวินซี' ไม่ใช่นามของหวินชิง เขาถึงกับขมวดคิ้ว
ได้ยินเพียงเสียงลมแผ่วเบาผ่านหน้าต่าง ไม่มีปรากฎการณ์ใดเกิดขึ้น ไร้วิญญาณของนางฟื้นคืน ไม่แม้แต่มาปรากฎกายเบื้องหน้าเขา มีเพียงความเงียบงันกับคราบเลือดแห้งบนกระจกเรียกวิญญาณ เคล็ดวิชาไสยมนต์มารที่กล่าวขานกันคงเป็นเพียงตำนานเท่านั้น
คนตายไปแล้วจะฟื้นคืนได้อย่างไร มันเป็นเพียงเรื่องตลกหรือนิทานปรัมปราที่เล่าขาน
ความจริงคือนางตายแล้ว
เขาเก็บกระจกเงาเรียกวิญญาณเปื้อนคราบเลือดเข้าในลิ้นชักใต้ภาพปรมาจารย์เจินหยวน ในใจตัดพ้อท่านอาจารย์ แม้แต่เขาแหวกจารีตใช้เคล็ดวิชาลับผสานปราณในร่างถึงแปดส่วนก็ยังมิอาจดึงวิญญาณของนางให้ฟื้นคืน
ชินหวางอ๋องยังไม่ยอมรับความจริง เขาไม่หลับไม่นอน เดินออกไปนอกตำหนักในยามโฉ่ว ควบม้าตัวใหญ่สีเทาดำออกนอกตำหนักพันพยัคฆ์พร้อมองครักษ์ผู้ติดตามอีกหลายสิบคน มุ่งหน้ากลับไปยังสุสานด้วยความหวังว่าในยามนี้นางอาจฟื้นขึ้นมานอนหายใจแผ่วเบาอยู่ในโลงศพ
ณ สุสานเคียงใจ
สตรีวรยุทธ์สูงกลุ่มหนึ่งเป่าควันยาสลบฟุ้งขึ้นรอบสุสาน สตรีวัยกลางคนเป็นผู้นำกลุ่มสตรีเหล่านั้นแฝงกายใช้วิชาตัวเบาเข้ามาในสุสานอย่างเงียบเชียบ
สตรีวัยกลางคนดวงตาคมกริบรูปผลซิ่งสวมผ้าพรางหน้าสีดำสนิทเช่นเดียวกับชุดทะมัดทะแมงเหมือนโจรป่าเป็นผู้เปิดโลงศพลายวิจิตรของพระชายาเอกหวินชิง
นางแหวกสาบเสื้อออกดูร่องรอยการตายจากศพ พบรอยรักเป็นจ้ำบนกายศพ สตรีผู้นั้นถึงกับแค่นยิ้มแม้สวมผ้าพรางหน้าอยู่ นางหันไปหาสตรีวัยเยาว์อีกผู้หนึ่ง
"ชินหวางอ๋องคงเป็นพวกเสพรักแบบรุนแรง"
"น่าสนใจทีเดียวเจ้าค่ะท่านเจ้าสำนัก"
"นางตายเพราะพิษดับสูญ" สตรีวัยกลางคนเอ่ยขึ้นแผ่วเบา
"ถือว่าตายสบาย" สตรีอายุน้อยเอ่ยตอบ
"เราจะนำศพนางกลับไปหรือไม่" กลุ่มสตรีผู้ดูต้นทางเดินเข้ามาสมทบ
"ไม่ต้อง คนตายก็คือคนตาย ข้าเพียงอยากมาดูให้เห็นกับตาว่านางตายแล้ว ไม่นึกว่าชินหวางอ๋องจะกล้าฆ่าสตรีที่เขารักดั่งดวงใจเพื่อเซ่นความยุติธรรม"
"ข่าวลือเรื่องความผิดของนางคงเป็นเรื่องจริง"
"เราต้องสืบต่อไป ตอนนี้กลับสำนักอสรพิษก่อน" เจ้าสำนักเอ่ยสั่งการ
"เจ้าค่ะ พวกข้าวาดภาพชันสูตรศพของนางไว้แล้ว"
กลุ่มสตรีปริศนาในชุดดำปล่อยควันแก้พิษยาสลบออกจากกระบอกไม้ไผ่ ร่างเพรียวบางต่างวูบหายไปกับสายลม
โลงศพถูกปิดไว้อย่างเดิม
มีเพียงดวงวิญญาณของหวินชิงลอยขึ้นจากโลงศพ ดวงวิญญาณซึ่งถูกไสยมนต์มารดึงคืนมาจากมือท่านยมราชในปรภพ ดวงวิญญาณของนางอาบย้อมด้วยปราณสีทองแดงเรื่อเรือง ปราณถึงแปดในสิบส่วนจากร่างชินหวางอ๋องผู้เป็นสวามี
ดวงวิญญาณดวงตาแดงก่ำติดตามสตรีชุดดำกลับสำนักอสรพิษ ดวงตาวาวโรจน์แดงฉานอย่างนางมารจ้องมองแผ่นหลังสตรีอายุน้อยในกลุ่มผู้สะกิดวิชาตัวเบาอย่างเหนือชั้นตามเจ้าสำนักไปติดๆ
วิญญาณแข็งแกร่งของหวินชิงติดตามสตรีผู้นั้นไปอย่างกระชั้นชิด นางทิ้งร่างเย็นชืดของตนไว้ที่สุสาน วิญญาณของนางติดตามสตรีกลุ่มนั้นไปอย่างแผ่วเบาราวสายลม