บทนำ
บทนำ
1สัปดาห์ก่อนเปิดเรียน
@J Club
"พริกไทย ทางนี้ๆ"
สวัสดี ฉันชื่อพริกไทย นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่หนึ่ง เป็นผู้หญิงชอบเที่ยว ชอบปาร์ตี้ ชอบเข้าสังคม พูดง่ายๆ ก็คือฉันเป็นคนเฟรนลี่นั่นเอง ไม่หยิ่งเข้าถึงง่ายแต่ตอนนี้โสดสนิท ฉันสอบเข้าคณะแพทย์เพราะอยากเห็นผู้ชายหน้าตาดีอยู่ในสายตาแบบ300% ฉันรู้มาว่าผู้ชายคณะแพทย์หล่อที่สุดในมหาวิทยาลัยที่ฉันสอบเข้า ฉันก็เลยไม่รีรอที่จะยื่นใบสมัคร
ใช่ เหตุผลในการสอบเข้าคณะแพทย์ของฉันมีแค่นั้นจริง ๆ ฉันไม่ได้ถูกที่บ้านบังคับว่าต้องเรียนแพทย์ หรือมีเหตุผลจำเพาะว่าต้องเรียนคณะนี้ เหตุผลที่เข้ามันมีแค่นั้นจริงๆ
เอาละ เรามาว่ากันที่เรื่องตอนนี้ก่อนดีกว่า คืนนี้ฉันมาเที่ยวผับกับเพื่อนคนหนึ่งที่รู้จักกัน เนื่องจากฉันเป็นเด็กต่างจังหวัดแต่ก็ไม่ได้เซ่อซ่าไม่รู้จักเมืองกรุง ครอบครัวของฉันมีธุรกิจอยู่ที่นี้ ก่อนเปิดเทอมฉันเลยขอแอบมาเที่ยวเปิดโลกกว้างแห่งศรีวิไลเป็นบุญตาตัวเองก่อน
เนื่องจากฉันกลัวว่าถ้ามหาวิทยาลัยเปิดแล้ว ฉันจะไม่มีโอกาสได้มาเที่ยวอีก ก็อย่างที่รู้กันว่า คณะแพทยศาสตร์เรียนหนักชนิดที่ว่าแทบไม่มีเวลานอนเลยละ
เพราะฉะนั้น ก่อนเรียนหนักฉันขอตี้ก่อนละกัน
“มาช้านะแก” เพื่อนรุ่นเดียวกันซึ่งจบมาจากโรงเรียนมัธยมเดียวกันกับฉันทักขึ้น ยัยนี้ชื่อบุ๋ม เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันกับฉันแต่มันเรียนคณะมนุษยศาสตร์ เอกอะไรสักอย่างนี่แหละ ฉันเองก็ไม่ได้ถามมัน
“โทษทีพอดีรถติดอะ แล้วสั่งอะไรกันยัง”
“สั่งแล้ว”
“อ๋อ เค” เมื่อเพื่อนบอกว่าสั่งแล้ว ฉันเลยไม่ได้ว่าอะไรต่อ เลือกที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นแล้วนั่งฟังเพลงที่ดีเจเปิดไปอย่างเงียบๆ
ด้วยความที่เพิ่งเข้าผับมาครั้งแรก ฉันก็ไม่รู้ว่ามันต้องวางตัวกันยังไง แต่คนรอบข้างส่วนใหญ่จะโยกตัวตามจังหวะเพลงเสียส่วนใหญ่
เอาจริงๆ มันก็ต้องเป็นแบบนั้นแหละเพราะที่นี้มันคือผับไม่ใช่วัดนี่
“พริก แกจะมานั่งเล่นโทรศัพท์อย่างเดียวจริงดิ”
“ฮะ? แกว่าไงนะ ไม่ค่อยได้ยินเลยอะ” เสียงเพลงดังมากจนประโยคที่ยัยบุ๋มมันพูดเมื่อกี้ฉันฟังไม่ได้ศัพท์สักอย่าง เลยต้องถามมันซ้ำ
“ฉันบอกว่า แก จะ มา เล่น…” อะไรของยัยนี้วะ พูดอะไรฟังไม่รู้เรื่องเลย
ด้วยความที่อยากรู้ว่าเพื่อนพูดว่าอะไร ฉันเลยต้องลุกออกจากเก้าอี้ตัวเองเพื่อเดินไปหาเพื่อนแทน
ทว่า…
ตุบ!
“อ๊ะ!” จู่ ๆ หัวไหล่ของฉันก็ถูกใครบางคนกระแทกเข้าอย่างแรงจนร่างกายกระเด็นไปชนขอบโต๊ะอย่างจัง
ซึ่งมันเจ็บไม่ใช่น้อยเลย เพราะแรงกระแทกเมื่อกี้มันก็ไม่ได้เบาด้วยไง พริกไทยที่เป็นผู้หญิงไม่ค่อยชอบปล่อยผ่านเรื่องแบบนี้เท่าไหร่อยู่แล้ว จึงโดนกระแทกเฉยๆ แล้วทำเป็นว่าไม่เป็นไรไม่ได้ไง
มันต้องถามกันหน่อยว่าเดินภาษาอะไรถึงไม่ได้ดูตาม้าตาเรือชนคนอื่นเขาแบบนี้
“โทษนะคะ คุณชนฉันค่ะ” ฉันสะกิดแขนไอ้ผู้ชายที่ชนฉันเมื่อกี้ด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจนัก ก็ตาบ้านี้มันชนฉันแล้วไม่ยอมหันมาขอโทษเลยไง ยืนเซ่ออยู่นั่น
“คุณค่ะ…”
ขวับ!
“ครับ?”
“…พระเจ้า นี่คนหรือเทพบุตร” ฉันละเมอออกไปกับภาพบุคคลตรงหน้าทันทีที่เห็นเขาหันมา คุณเคยยืนอยู่เฉยๆ แล้วอยู่ดีๆ ก็เหมือนโผล่ไปอีกที่ที่เหมือนสวรรค์ซึ่งมีเทพบุตรยืนอยู่ตรงหน้าไหม
ตอนนี้ฉันกำลังรู้สึกแบบนั้น ฉันกำลังรู้สึกว่าตัวเองอยู่บนสวรรค์แล้วตรงหน้าตอนนี้ก็มีเทพบุตรยืนอยู่ตรงหน้าในรัศมีไม่เกินหนึ่งเมตร ถ้าคนอื่นเห็นสีหน้าของฉันตอนนี้คงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า มึงอึ้งอะไรขนาดนั้นอีพริก คือมันต้องอึ้งจนไบ้แดกแหละมึง เพราะตรงหน้าฉันตอนนี้...
เขา หล่อ มาก ฉันพูดได้แค่นี้จริงๆ
ใบหน้าหล่อเหลามีมิติ มีเสน่ห์มีเหี้ยทุกอย่างที่น่าค้นหา สายตาราบเรียบ นิ่งๆ สบตาด้วยแล้วรู้สึกใจสั่นวาบไปถึงดวงจันทร์ ไหนจะจมูกที่โด่งเป็นสันรับกับใบหน้าได้พอดิบพอดีนั่นอีก
เขามันโคตรของความหล่อเลยแม่เอ้ย! เป็นผู้ชายที่หล่อมากๆ หล่อที่สุดเท่าที่ฉันเคยพบเจอมาเลยละ
เหอะ! นี่ฉันตกหลุมรักคนง่ายขนาดนี้เลยเหรอวะ
“เมื่อกี้ คุณเรียกผมเหรอครับ” ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ฉันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ แค่ริมฝีปากสีแดงอย่างคนสุขภาพดีนั่นขยับถาม ฉันก็ถึงกับอ่อนยวบปวกเปียกไปทั้งตัวเลยเหรอวะ
"คุณครับ..." เฮ้อ~ ฉันไม่เคยตกหลุมรักใครง่ายขนาดนี้มาก่อนเลยนะ
"คุณ!"
“ฮะ?" ทันทีที่โดนคนตรงหน้าสะกิดแขน ฉันก็เหมือนจะได้สติกลับมา สิ่งที่เห็นตอนนี้ก็คือ พ่อเทพบุตรตรงหน้าฉันเขายืนมองเลิกคิ้วงงกับฉันอยู่ ฉันเลยรีบปรับตัวปรับอารมณ์ให้เรียบร้อยก่อน
"เมื่อกี้คุณว่าไงนะคะ"
"ผมต่างหากที่ต้องถามว่าคุณเรียกผมหรือเปล่า"
"อะอ้อ ค่ะ พอดีว่าคุณชนฉันค่ะ” เออใช่ ฉันเกือบลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้ฉันกำลังโมโหเขาที่ชนฉัน เลยหันไปสะกิดเขากะจะเอาเรื่องสักหน่อย
“อ่อ ครับ โทษทีครับ ผมหลบคนด้านหน้าพอดีเลยไปชนคุณ” ว่าจบเขาก็ยิ้มบางๆ ให้ฉันหนึ่งที จากนั้นก็เดินแทรกกายละเลาะผู้คนที่ยืนเบียดเสียดกันเดินขึ้นไปชั้นสองทันที ฉันที่ยังตั้งตัวไม่ทันกับการจากไปของเขาเลยได้แต่ยืนกะพริบตางงเป็นไก่ตาแตกไปเลย
คืองงไงที่เขาพูดแค่นั้นแล้วก็เดินไปเลย เป็นการขอโทษที่ปล่อยให้คนรับคำขอโทษไม่ทันได้เอ่ยปากพูดอะไรเลยก็จากไปเสียละ
เออแปลกดีวะ
“อะฮั่ม! มองไม่วางตาเลยน่า”
หลังจากที่ฉันมองตามร่างสูงที่เดินไปนั่งกับกลุ่มเพื่อนของเขาที่ชั้นสองแบบไม่วางตาได้สักพัก ยัยบุ๋มที่คอยสังเกตการณ์ตลอดเลยแซวฉัน แต่ฉันไม่ได้สนใจคำแซวของมันหรอก เพราะสิ่งที่ฉันสนใจตอนนี้คือพ่อหนุ่มหน้าหล่อสวมชุดAll black ทั้งตัวได้อย่างโคตรเท่ที่ชนฉันเมื่อกี้ต่างหาก
อยากรู้จังว่าเขาเป็นใคร เรียนที่ไหน
“แกรู้จักปะ ว่าเขาเป็นใคร เรียนที่ไหน”
“คนที่มาเที่ยวที่นี้ส่วนใหญ่ก็มาจากมหาวิทยาลัยที่เราเรียนทั้งนั้นแหละ อย่างคนที่ชนแกเมื่อกี้ก็เหมือนกัน แต่ฉันไม่แน่ใจว่าเขาเรียนคณะอะไร ชอบเขาเหรอเห็นมองตาเป็นประกายเชียว”
“อืม สเปคเลยอะ ฉันชอบสายตานิ่งๆ นั่นจัง ดูอบอุ่นแต่ก็แอบดุเบาๆ”
ใช่ สิ่งที่ทำให้ฉันใจเต้นแรงแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนได้ ก็คือสายตาคู่นั้นของเขาที่มองฉันเมื่อกี้ มันมีเสน่ห์แบบที่อธิบายไม่ถูกเลยทีเดียว จะว่าดุก็ดุ จะว่าอบอุ่นก็อบอุ่น แต่รวมๆ มันมีเสน่ห์และความน่าหลงใหลอยู่ในนั้นเต็มไปหมดแถมฉันยังสัมผัสได้ถึงความเป็นผู้ชายที่ดูใจดีอยู่ลึกๆ ของเขาด้วย
ที่สำคัญเขาดูเป็นผู้ชายที่เฉยๆ ไม่หวือหวาแต่แอบมีดีเทลแบบซ่อนตัว
เหอะ! บ้าจริงๆ เขาทำให้ฉันสนใจในตัวเขาจนอยากได้มาครอบครองจนเนื้อตัวสั่นไปหมดเลยอะ
“ชอบก็จีบเลยดิ” หลังจากที่มีความคิดว่าสนใจเขาจนอยากจีบ ฉันก็หันไปยังจุดที่เขานั่งอยู่อีกครั้ง ซึ่งจังหวะที่ฉันมองเขาอยู่ เขาก็หันมาสบตากับฉันพอดี เราสองคนเลยได้สบตาอยู่อย่างนั้นกันสักพักก่อนที่เขาจะเป็นคนละสายตาจากฉันไปในที่สุด...
ชอบก็จีบเหรอ? ดูท่าทางแล้วฉันคงได้จีบเขาแน่ๆ อะ ผู้ชายบ้าอะไรหล่อชะมัด!
“หึ ถ้าบังเอิญเจอกันอีกครั้ง ฉันจีบแน่และเขาก็ต้องเป็นแฟนฉันด้วย”
"จัดเลยแก"