ครืดๆ ครืดๆ
ระหว่างที่กำลังตอบข้อความโอลีฟและตักโจ๊กเข้าปากอยู่นั้น โทรศัพท์ในมือก็สั่นครืนๆ ขึ้นอีก ไม่ใช่เป้าหมายอย่างแทนไทแต่เป็นปฐพีหรือดินเพื่อนอีกคนที่โทรเข้ามา
"ว่า"
(ไม่สบายใกล้ตายยัง)
"จิ๊! เชลไม่น่ารับสายดินเลย ไอ้เพื่อนปากปีจอ เมื่อไหร่จะเลิกปากหมาสักทีฮะ"
(เออ แบบนี้หายดีแล้วชัวร์)
"ก็เออดิ หายแล้ว วันนี้มาทำงานได้แล้วเนี่ย"
นี่ก็อีกคนที่ดูแลห่วงใยกันมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ด้วยว่าฉัน ดิน แทนไทเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ตอนเรียนอยู่ที่อเมริกาน่ะ
แต่ปากของดินนี่คือคาบหมามาเกิดชัดๆ
(แล้วไป นึกว่าจะได้จองโลง)
นั่นไง ปากของดินก็จะประมาณนี้ นี่แหละคือคำห่วงใยจากผู้ชายห่ามๆ อย่างปฐพีล่ะ ใครได้เป็นเมียคงได้กินยาระงับประสาทรายวัน หรือไม่ก็ได้กระโดดกัดคอกันทุกวัน
"ยูโคตรท็อกซิกเลยว่ะดิน แต่เสียใจด้วยนะเราต้องมีชีวิตรอดูดินหายนกเขาไม่ขันและมีหลานให้ป้าวีร์ซะก่อนถึงจะตายตาหลับ"
(เหอะ เธออาจจะได้เป็นอมตะ)
"จะคอยดู พูดแบบนี้ได้แจกอาหารหมามานักต่อนักละ เดี๋ยวขอไปเตรียมอาหารหมาแป๊บ"
(จะร่วมมือกับแม่ฉัน)
"แน่นอนอยู่แล้ว ว่าแต่ดินเถอะได้ข่าวว่าป้าวีร์มาถึงตั้งแต่เมื่อวานแล้วหนิ ได้เจอเมียตัวเองยังอ่ะ"
ฉันแหย่เล่นเพราะเมื่อวานป้าวีร์โทรหาฉันบอกว่าอาทิตย์หน้าฤกษ์ดีจะลักพาตัวดินไปจดทะเบียนสมรสกับผู้หญิงที่ท่านหามาให้ ฉันล่ะนึกห่วงผู้หญิงที่จะมาเป็นเมียของดินเสียจริง
(ยัง แค่นี้นะมีประชุม)
"อ้าว รีบวางแบบนี้กลัวเรอะ"
(น่ารำคาญ ไม่น่าห่วงมันเลย)
ตู๊ดๆๆ
เขาพึมพำแล้วชิงตัดสายไปเลย พูดเรื่องนี้ทีไรดินก็ของขึ้นทุกที ฉันเข้าใจนะว่าเขาไม่ชอบเรื่องคลุมถุงชน แต่ก็อยากรู้เหมือนกันว่าเพื่อนฉันจะใช้วิธีไหนขัดใจนายหญิงมาชาวีร์ แม่ที่ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ได้ด้วยมารยาสตรีรุ่นแม่
ก๊อก! ก๊อก!
"คุณมิเชลคะห้องประชุมพร้อมแล้วค่ะ"
"ค่ะ ไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ"
ฉันยกน้ำขิงขึ้นดื่มด้วยความรู้สึกเสียดายเพราะทานไปได้แค่นิดเดียว ทว่างานตรงหน้าก็สำคัญมากจริงๆ ดังนั้นจึงรีบรุดไปห้องประชุมโดยไม่ลืมบอกป้าแม่บ้านให้เก็บอาหารเข้าตู้เย็นไว้ด้วย ก็แทนไทอุตส่าห์เป็นห่วงฉันจะให้กินทิ้งกินขว้างได้ยังไง จริงไหม
หลายชั่วโมงต่อมา
"แผนงานที่เสนอมาเชลชอบนะคะ แต่อยากให้ปรับนิดหน่อยตรงเครื่องดื่มที่ใช้ต้อนรับนักท่องเที่ยว" ฉันเงยหน้าขึ้นสบตาผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การตลาด วันนี้มีประชุมเกี่ยวกับการต้อนรับนักท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่กำลังจะมาถึงในอีกสองเดือนข้างหน้า
"ค่ะคุณมิเชล เวย์กับทีมจะไปคิดมาเสนอเพิ่มนะคะ"
"เอาเป็นว่าเชลขอรายการเพิ่มอีกสักสองสามอย่าง แล้วเรามาคุยกันต่อวันพรุ่งนี้ เลิกประชุมค่ะ"
วันนี้เหนื่อยล้ากับการประชุมมาทั้งวัน ยังดีที่แด๊ดดี๊ไม่ได้เข้าประชุมด้วย ไม่อย่างนั้นคงตึงเครียดมากกว่านี้ เพราะท่านเนี้ยบมาก งานที่สั่งจะต้องสร้างความพึงพอใจให้ท่านตั้งแต่ครั้งแรกที่เสนอ ไม่อย่างนั้นทีมที่รับผิดชอบก็เตรียมหางานใหม่ได้เลย
"เย็นนี้มีงานอะไรอีกมั้ยคะพี่แก้ว"
ฉันหันไปถามพี่แก้ว เลขาคนสวยเฉี่ยวที่นั่งสรุปเนื้อหาประชุมอยู่ข้างๆ ส่วนพนักงานคนอื่นๆ ออกไปจากห้องประชุมหมดแล้ว
"งานไม่มีแล้วค่ะ แต่มีแขกมารอพบตอนนี้รออยู่ที่ห้องทำงานค่ะ"
"หืม ใครคะ เพื่อนเชลคนไหน" ฉันเงยหน้าขึ้นถามด้วยความสงสัยเพราะไม่ได้นัดใครไว้
"ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกครับ พี่เอง"
"พี่วิน!"
เสียงนุ่มที่ดังมาจากประตูที่เปิดค้างทำให้ฉันคลี่ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ พี่กวินเป็นรุ่นพี่ที่โตมาด้วยกัน อายุห่างจากฉันประมาณ3ปี สิ่งที่ทำให้เราสนิทกันมาก็เพราะพ่อของเราเป็นเพื่อนสนิทกัน เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็กๆ เลย
" โธ่~ จะมาทำไมไม่บอกคะ"
พี่กวินเดินเข้ามาภายในห้อง ร่างสูงในชุดสูทดูดียืนพิงไปกับขอบโต๊ะ ส่วนฉันก็รีบปิดหน้าจอแม็กบุ๊คลง
"คุณเลขาบอกพี่แล้วว่าเรามีประชุมทั้งวัน"
"เชลจะได้รีบประชุมให้เสร็จไวๆ ไง รู้ไหมว่าคิดถึงมาก" อ้อนแล้วทำตาปริบๆ ใส่
"รู้ดิ ถึงได้รีบเอามาให้นี่ไง"
ที่บอกว่าคิดถึงเพราะฉันฝากพี่กวินหิ้วกระเป๋าแบรนด์ดังมาให้จากฝรั่งเศส ซึ่งเป็นรุ่นหายาก ตั้งใจเอามาเซอร์ไพรส์วันเกิดของโอลีฟ
"ได้จริงๆ เหรอคะ เห็นเงียบไปเชลนึกว่าพี่ซื้อไม่ได้ซะแล้ว" ว่าพลางดันตัวลุกขึ้น "เดี๋ยวให้พี่แก้วจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายให้นะคะ"
"เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา ของอยู่ในห้องทำงานนะ ไปดูก่อนไป ไม่ถูกใจครั้งหน้าพี่จะหิ้วมาให้ใหม่"
"พี่วินน่ารักที่สุดเลย ขอบนะคะ"
ฉันยกมือไหว้อย่างนอบน้อมโดยที่ใบหน้ายังเปื้อนยิ้ม ใบหน้าหล่อแย้มยิ้มออกมาตามแบบฉบับผู้ชายอบอุ่นใจดี นี่ถ้าเป็นตอนห้าขวบฉันคงหลงพี่เขาจนตามติดเป็นเงาแล้ว
เนี่ย! รักแรกในวัยอนุบาลของฉันเลยนะ
"ขอบคุณแล้วก็หอมแก้มพี่ด้วยดิ" นิ้วชี้เรียวเคาะเบาๆ ตรงแก้มสาก ทำเอาฉันถึงกับยิ้มกว้างพลางขบขัน
"งั้นพี่ก็ย้อนเวลากลับไปตอนห้าขวบสิคะ แล้วเชลจะหอมแก้มพี่ให้หนักๆ เลย"