ตอนที่ 1
“ยามเมื่อดวงตะวันทอแสงแรก... มิอาจงามเท่าพระธิดา... ข้ากระหม่อมเพียงหวังว่า... ความคะนึงหาในหทัยของข้ากระหม่อม... จะส่งถึงดวงใจพระองค์บ้างมิมากก็น้อย... ถึงได้มาเยือน ณ ที่นี้... เพื่อยลพระพักตร์ให้ชื่นอุรา”
มนทิราณีเทวีทรงแย้มพระสรวลน้อยๆ ราวกับกลีบผกาต้องลม พระเนตรคมกริบดุจดวงดาราจับจ้องกลับมายังองค์รักอย่างพิจารณา
“คำกล่าวของท่านหมื่นช่างหวานล้ำ...”
“หากความคะนึงหาของข้ากระหม่อมเป็นดั่งสายฝน... พระธิดาก็คือผืนดินที่ข้ากระหม่อมปรารถนาจะหยาดรดแต่เพียงผู้เดียว... หาได้เผื่อแผ่ไปยังผืนดินอื่นไม่”
พระพักตร์งามของมนทิราณีเทวีแดงปลั่งขึ้นเล็กน้อย นางทรงหลุบพระเนตรลงต่ำเล็กน้อยอย่างเขินอาย ก่อนจะเงยพระพักตร์ขึ้นสบพระเนตรของหมื่นสุนทรเทวาอีกครั้ง
“ท่านหมื่นมาฝึกซ้อมแต่เช้า... มีกิจสำคัญอื่นใดให้ต้องรีบไปกระทำฤา?”
“ข้ากระหม่อมเพียงต้องการให้ร่างกายพร้อมเสมอ หากมีกิจใดที่ต้องรับใช้พระองค์และแผ่นดินจักได้ทันการ”
“ท่านหมื่นช่างจงรักภักดีเสียนี่กระไร”
“ฝีมือการใช้ดาบของท่านก็เก่งกาจมิมีใครเทียบเทียมได้ จักกลัวไปใยกันเล่า”
“เช่นนั้นแล้ว ข้ากระหม่อมขออนุญาตติดตามพระธิดาไปได้หรือไม่? เพียงเพื่อได้ถวายการดูแล... และคอยห่วงใยพระองค์อยู่ใกล้ๆ”
“ด้วยความงามของพระธิดานั้น... เปรียบประดุจแสงจันทร์ที่ส่องสว่างในยามรัตติกาล ข้ากระหม่อมมิอาจละสายตาได้เลย”
“คารมท่านหมื่นช่างหวานล้ำเยี่ยงนี้ ประสงค์จะเกี้ยวข้ากระนั้นรึ?”
“มิได้บังอาจหมายเกี้ยว เพียงแต่ดวงใจข้ากระหม่อมมันโหยหาที่จะได้ชื่นชมพระพัตร์ใกล้ชิดเท่านั้น”
“หากความงามของพระธิดาเปรียบดั่งแสงจันทร์นำทางในความมืดมิด คำคารมของข้ากระหม่อมก็คงเป็นเพียงหิ่งห้อยน้อยที่ปรารถนาจะส่องแสงเคียงข้างเท่านั้น”
“ข้ากระหม่อมมิอาจปฏิเสธ..ว่ามิได้รู้สึกยินดีต่อพระธิดาเลย”
“หากท่านหมื่นประสงค์เช่นนั้น... ข้าก็มิอาจขัดข้อง”
“เพราะความงามของพระธิดา มิใช่เพียงแสงจันทร์... หากแต่เป็นดั่งดวงอาทิตย์ที่แผดเผาหัวใจข้ากระหม่อมให้ลุ่มหลง จนข้ากระหม่อมมิอาจหักห้ามมิให้ใจปรารถนาที่จะอยู่ใกล้ชิด... ปรารถนาที่จะได้ถวายความภักดีมิเพียงแต่ด้วยดาบ หากแต่ด้วยชีวิตทั้งชีวิต”
พระพักตร์งามของมนทิราณีเทวีแดงปลั่งมิได้หยุดหย่อน นางทรงหลุบพระเนตรลงต่ำเล็กน้อยอย่างเขินอาย
“ท่านหมื่นกล่าวเกินไปแล้ว... ข้าเป็นเพียงสตรีธรรมดา”
“มิได้เลย พระธิดา”
“ความงามของพระองค์นั้นเหนือกว่าเทพธิดาใดๆ ในสรวงสวรรค์ เพียงได้ยลพระพักตร์... โลกทั้งใบของข้ากระหม่อมก็สว่างไสว”
“หากคำของท่านหมื่นเป็นความจริง... ท่านจะพิสูจน์ให้ข้าเห็นได้หรือไม่?” หมื่นสุนทรเทวาคลี่ยิ้มกว้างอย่างมีความหวัง
“เพียงพระธิดามีบัญชา... ข้ากระหม่อมพร้อมจะทำทุกสิ่งทุกอย่าง แม้จะต้องแลกด้วยชีวิต”
“เช่นนั้น...โปรดจงตามข้ามา”
“ท่านหมื่นเห็นสายน้ำนี้หรือไม่? มันไหลเรื่อยไป... ไม่เคยหยุดนิ่ง ความรู้สึกของข้าก็เช่นกัน... หากใครสักคนทำให้มันหยุดนิ่งได้... ผู้นั้นคงมีความหมายต่อข้าอย่างยิ่งนัก”
“กระหม่อมปรารถนาที่จะเป็นดั่งสายน้ำนั้น... ที่จะไหลเคียงข้างพระองค์ตลอดไป... และหากพระองค์ทรงประสงค์... กระหม่อมจะหยุดนิ่งอยู่เคียงข้างพระองค์แต่เพียงผู้เดียว”
สิงขร นายตำรวจหนุ่ม วัย 30 ปี (ในยุคปัจจุบัน) / หมื่นสุนทรเทวา (ในอดีต): เป็นผู้มีจิตวิญญาณของนักรบผู้กล้าหาญจากนครสิงหปุระบรรพตและกลับชาติมาเกิดอีกครั้งเป็นนายตำรวจ เขาผ่านการสะกดจิตทำให้ความทรงจำในอดีตชาติกลับคืนมาพร้อมกับความรักที่เขามีต่อยโสธรา แม้ข้ามภพชาติ เขาก็พร้อมที่จะปกป้องเธอ
เกตุศิรินทร์ หญิงสาววัย 28 ปี / พระนางยโสธราเทวี (ในอดีต): หญิงสาวในยุคปัจจุบันที่มีจิตวิญญาณเชื่อมโยงกับพระนางยโสธราเทวี พระนางผู้เป็นที่รักของหมื่นสุนทรเทวาในอดีต เธอมีความรู้สึกคุ้นเคยกับสิงขรอย่างประหลาด และเมื่อได้รับการสะกดจิต ความทรงจำในอดีตชาติก็ค่อยๆ หวนคืนมา
สุริยาวดี ผู้เป็นอมตะไม่เคยตาย มีอายุกว่า 500 ปี / พระนางมนทิราณีเทวี (ในอดีต): พี่สาวของพระนางยโสธราเทวี ภายนอกดูเป็นผู้หญิงที่สง่างามและมีเมตตา แต่เบื้องหลังคือจิตวิญญาณของ ผู้เต็มไปด้วยความริษยาและความปรารถนาในความเป็นอมตะ นางกลับมาในยุคปัจจุบันพร้อมกับความแค้นที่ยังคงคุกรุ่น
ศาสตราจารย์ ฌอง-ปิแอร์ วัย 50 ปี / ออกญาพิพัฒนราชรณ (ในอดีต): ศาสตราจารย์ด้านโบราณคดีชาวฝรั่งเศส ผู้มีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และตำนานโบราณของนครสิงหปุระบรรพต แท้จริงแล้วเขาคือจิตวิญญาณของออกญาพิพัฒนราชรณ นักรบผู้จงรักภักดีที่เคยสาปแช่งมนทิราณีเทวีไว้บนแผ่นศิลา เขาเกิดใหม่หลายครั้งเพื่อตามล่าและทำลายความเป็นอมตะของนาง
คมกฤช: นักโบราณคดีเพื่อนสนิทของสิงขร เป็นคนกล้าหาญและพร้อมที่จะช่วยเหลือเพื่อนเสมอ เขามีความเชื่อมั่นในตัวสิงขรและร่วมต่อสู้เคียงข้างเขาในการเผชิญหน้ากับอำนาจมืด
ความมืดมิดปกคลุมนครราวกับผ้ากำมะหยี่สีดำสนิท มีเพียงแสงจันทร์นวลผ่องที่สาดส่องลงมากระทบผืนถนนเปียกชื้นหลังสายฝนโปรยปราย ราตรีอันเงียบสงัดกลับถูกฉีกกระชากด้วยเสียงหวีดร้องโหยหวนที่ดังแว่วมาจากตรอกเปลี่ยวแห่งหนึ่ง ก่อนจะเงียบหายไปในความมืดมิด ราวกับไม่เคยมีอยู่
ร้อยตำรวจโทสิงขร ยืนตระหง่านอยู่เหนือร่างไร้วิญญาณของชายหนุ่มในชุดลำลอง เลือดสีแดงฉานไหลนองพื้นคอนกรีต แสงไฟฉายในมือสั่นเล็กน้อยเมื่อเขาไล่สายตาสำรวจบาดแผลอันน่าสยดสยอง หัวใจของผู้ตายถูกคว้านหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งไว้เพียงรอยแหว่งวิหวาที่กลางอก
“อีกรายแล้วสินะครับ สารวัตร” จ่าเดช ลูกน้องคนสนิทเอ่ยเสียงเครียด พลางก้มมองศพด้วยความสะอิดสะเอียน
“รายที่สามแล้วในรอบเดือนนี้ ทุกรายถูกควักหัวใจเหมือนกันเป๊ะ” สิงขรขมวดคิ้ว ดวงตาคมกริบจับจ้องรายละเอียดรอบข้างอย่างถี่ถ้วน ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ ไม่มีพยาน ไม่มีอะไรเลย ราวกับฆาตกรเป็นเพียงเงาที่มาแล้วก็จากไปอย่างไร้ร่องรอย
“เหยื่อรายนี้เป็นใคร?” สิงขรถามเสียงต่ำ
“ชื่อนายธนาครับ เป็นโปรแกรมเมอร์ ทำงานอยู่แถวนี้ เพิ่งออกจากผับแล้วกำลังจะกลับคอนโด”
ความเงียบปกคลุมสถานที่เกิดเหตุอีกครั้ง มีเพียงเสียงหอบหายใจเบาๆ ของเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานที่กำลังทำงานอย่างขมักเขม้น สิงขรรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างในคดีนี้ มันไม่ใช่การฆาตกรรมธรรมดา ความโหดเหี้ยมและรูปแบบการลงมือที่ซ้ำเดิม บ่งบอกถึงความผิดปกติในจิตใจของคนร้าย หรือบางที...อาจไม่ใช่แค่คน
เช้าวันต่อมา
ในห้องทำงานของสิงขร โทรศัพท์บนโต๊ะทำงานดังขึ้นขัดจังหวะความคิด
“สวัสดีครับ” ปลายสายคือเสียงของจ่าเดชที่ฟังดูตื่นเต้น
“สารวัตรครับ ผมมีข้อมูลใหม่เกี่ยวกับเหยื่อรายล่าสุดครับ เราพบว่าก่อนที่นายธนาจะเสียชีวิต เขาไปร่วมงานเลี้ยงที่คฤหาสน์เทวาลัยมาครับ”
'คฤหาสน์เทวาลัย'... ชื่อนี้ทำให้สิงขรชะงัก คฤหาสน์โบราณอายุนับร้อยปี ตั้งอยู่แถวๆ ชานเมือง เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่คนร่ำรวย เพราะเจ้าของคือ สุริยาวดี อธิสร สาวสังคมผู้ลึกลับและงดงามราวกับภาพวาดโบราณ
“สุริยาวดี อธิสร...” สิงขรทวนชื่อนั้นช้าๆ ราวกับกำลังลิ้มรสคำพูด
“เธอเกี่ยวข้องอะไรกับคดีนี้?”
“ยังไม่แน่ใจครับสารวัตร แต่ดูเหมือนเหยื่อรายก่อนๆ ก็เคยไปร่วมงานที่คฤหาสน์นั้นเหมือนกันครับ”
ความสงสัยเริ่มก่อตัวในใจสิงขร คฤหาสน์โบราณ ความงามลึกลับ และเหยื่อที่เชื่อมโยงกัน... มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่
บ่ายวันเดียวกัน สิงขรขับรถไปยังคฤหาสน์เทวาลัย ประตูเหล็กขนาดใหญ่เปิดออกโดยอัตโนมัติเมื่อรถของเขาแล่นเข้าไป ภายในบริเวณคฤหาสน์เงียบสงบ ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่อายุหลายสิบปี ตัวคฤหาสน์เองดูโอ่อ่าและขรึมขลัง ราวกับเก็บซ่อนความลับมากมายไว้ภายใต้ผนังอิฐเก่าแก่
“สวัสดีค่ะคุณตำรวจ ดิฉันเกตุศิรินทร์ เป็นเลขาฯ ของคุณสุริยาวดีค่ะ” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ทว่าแววตาคู่กลมโตกลับฉายประกายเศร้าสร้อยอย่างปกปิดไม่มิด
ทันทีที่สิงขรสบตากับเธอ ความรู้สึกประหลาดก็แล่นริ้วไปทั่วร่าง เขาจ้องมองใบหน้าหวานนั้นอย่างพิจารณา ราวกับกำลังพยายามรื้อฟื้นความทรงจำที่เลือนราง ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างลึกซึ้งก่อตัวขึ้นในใจ ราวกับเขาและเธอเคยรู้จักกันมาก่อน...
“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณเกตุศิรินทร์ ผมร้อยตำรวจโทสิงขร” เขากล่าวตอบ พลางพยายามสะกดความรู้สึกแปลกประหลาดนั้นไว้
“ผมมาขอพบคุณสุริยาวดีครับ” เกตุศิรินทร์คลี่ยิ้มบางๆ ที่ไม่ได้ทำให้ความเศร้าในดวงตาจางหายไป
“คุณสุริยาวดียังไม่สะดวกพบคุณในตอนนี้ค่ะ แต่ดิฉันจะแจ้งให้ท่านทราบวันหลัง กรุณาทิ้งเบอร์ติดต่อเอาไว้นะคะ”
“ไม่เป็นไรครับคุณเกตุศิรินทร์ รบกวนแจ้งคุณสุริยาวดีด้วยว่าผมมาสืบสวนคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้น และอยากจะขอข้อมูลบางอย่างจากเธอ” สิงขรกล่าว พลางหยิบนามบัตรออกจากกระเป๋าเสื้อแล้วยื่นให้กับเกตุศิรินทร์
“นี่นามบัตรของผมครับ ถ้าคุณสุริยาวดีสะดวกเมื่อไหร่ รบกวนติดต่อกลับด้วยนะครับ”
เกตุศิรินทร์รับนามบัตรนั้นมา มองชื่อและตำแหน่งบนแผ่นกระดาษสีขาวด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก
“ค่ะ” สิงขรพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหันหลังเดินสำรวจห้องโถงอีกครั้ง ความรู้สึกผูกพันกับหญิงสาวเมื่อครู่ยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของเขา มันไม่ใช่แค่ความรู้สึกประทับใจธรรมดา แต่มันลึกซึ้งและแปลกประหลาดเกินกว่าจะอธิบายได้
สิงขรพยายามชวนเกตุศิรินทร์คุยและใช้โอกาสนี้สำรวจภายในคฤหาสน์ บรรยากาศที่นี่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของอดีต ภาพวาดโบราณ เฟอร์นิเจอร์ไม้แกะสลัก และของสะสมล้ำค่ามากมาย ในห้องโถงใหญ่ สิงขรสังเกตเห็นตู้กระจกขนาดใหญ่ ภายในบรรจุวัตถุโบราณหลากหลายชิ้น หนึ่งในนั้นคือแผ่นศิลาจารึกเก่าแก่ ที่มีลวดลายและตัวอักษรโบราณ
“นั่นคือศิลาจารึกโบราณค่ะ คุณสุริยาวดีเธอสะสมเอาไว้” เสียงของเกตุศิรินทร์ดังขึ้นข้างหลัง สิงขรหันไปมองเธอ
“ผมขอเข้าไปดูได้มั้ยครับ?” เกตุศิรินทร์ส่ายหน้าเบาๆ
“ไม่ได้ค่ะ คุณสุริยาวดีเธอไม่อนุญาตให้ใครเข้าใกล้ของพวกนี้”
ความสงสัยในใจสิงขรยิ่งทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ คฤหาสน์โบราณ ศิลาจารึกปริศนา เจ้าของบ้านผู้ลึกลับ และการตายอย่างน่าสยดสยองของหนุ่มโสดหลายราย... ทุกอย่างดูเหมือนจะเชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน
ในขณะนั้นเอง โทรศัพท์ในกระเป๋าเสื้อของสิงขรก็สั่นขึ้น ปลายสายคือเสียงของคมกฤช เพื่อนสนิทที่เป็นนักโบราณคดี
“ไอ้สิงห์ กูเจออะไรแปลกๆ ว่ะ” คมกฤชพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ตำราโบราณที่กูเพิ่งได้มา มันเขียนถึงราชินีอมตะในตำนาน ที่ชื่อมนทิราณีเทวี... และรูปวาดที่อยู่ในตำรา แม่งหน้าเหมือนสุริยาวดีไม่มีผิด!”
คำพูดของคมกฤชราวกับจุดประกายบางอย่างในความคิดของสิงขร ราชินีอมตะ ตำนานโบราณ และใบหน้าที่เหมือนกันอย่างน่าประหลาด... หรือว่าสิ่งที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่ มันไม่ใช่แค่คดีฆาตกรรมธรรมดา?