ตอนที่ 2
คำพูดของคมกฤชดังก้องอยู่ในหูของสิงขร ราวกับเป็นชิ้นส่วนสำคัญที่ไขปริศนาบางอย่างในใจเขา ทันทีที่ได้ยินคำว่าสุริยาวดีหน้าเหมือนกับมนทิราณีเทวีในตำนาน สิงขรก็ตัดสินใจว่าเขาต้องไปพบเพื่อนนักโบราณคดีของเขาทันที
“คุณเกตุศิรินทร์ครับ ผมคงต้องขอตัวกลับก่อน” สิงขรเอ่ยขึ้น เกตุศิรินทร์มองเขาด้วยความสงสัย
“จะกลับแล้วเหรอคะ...คุณตำรวจ?”
“ครับ ผมมีธุระสำคัญ ยังไงรบกวนคุณแจ้งคุณสุริยาวดีเรื่องที่ผมต้องการพบเธอด้วยนะครับ” สิงขรกล่าว
“แล้วถ้ามีเบาะแสอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับแขกที่มาร่วมงานเลี้ยงที่นี่ รบกวนคุณโทรแจ้งผมด้วยนะครับ”
“ค่ะ” สิงขรพยักหน้าให้เธอเล็กน้อย ก่อนจะหันหลังเดินออกจากคฤหาสน์เทวาลัยทันที ความรู้สึกคุ้นเคยกับเกตุศิรินทร์ยังคงอยู่ในใจ แต่ในขณะนี้ ความอยากรู้เกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างสุริยาวดีกับตำนานโบราณนั้นมีมากกว่า เขาเหยียบคันเร่งรถยนต์ มุ่งตรงไปยังบ้านของคมกฤช
ไม่นานนักรถของสิงขรก็จอดสนิทหน้าบ้านของคมกฤช เพื่อนสนิทของเขากำลังรออยู่หน้าประตูด้วยท่าทางกระตือรือร้น ทันทีที่สิงขรลงจากรถ คมกฤชก็รีบพาเขาเข้าไปในบ้าน ตรงห้องทำงานของตัวเอง
“เอ้า!!!...มึงดูนี่ก่อน” คมกฤชรีบพาเพื่อนไปยังโต๊ะที่เต็มไปด้วยตำราเก่าแก่และกระดาษโน้ต เขายื่นภาพวาดในตำราเล่มหนึ่งให้สิงขรดู
“มึงว่า..เหมือนมั้ยล่ะ?” สิงขรจ้องมองภาพวาดนั้นอีกครั้ง คราวนี้มองอย่างละเอียดถี่ถ้วน ใบหน้าคมเรียวงาม ดวงตาที่ดูมีอำนาจลึกลับ มันช่างเหมือนกับสุริยาวดีอย่างน่าประหลาดใจจริงๆ
“ในตำรานี้เขียนถึงเจ้านางมนทิราณีเทวี ราชินีแห่งอาณาจักรโบราณที่หายสาบสูญไป ในตำราเล่าว่านางมีพลังวิเศษและปรารถนาความเป็นอมตะ” คมกฤชอธิบายด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“แล้วเรื่องหัวใจที่ถูกควักออกไปล่ะ มึงพอจะรู้เรื่องอะไรบ้างไหม?” สิงขรถามด้วยความกังวล คมกฤชขมวดคิ้วครุ่นคิด
“ในตำนานบางฉบับมีการกล่าวถึงพิธีกรรมที่ต้องใช้เครื่องสังเวยเป็นชีวิตคน เพื่อให้ได้มาซึ่งพลังอำนาจหรือความเป็นอมตะ แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นแค่เรื่องเล่าปรัมปรา...มันไม่มีหลักฐานอะไรที่ชี้ชัดได้ขนาดนั้นหรอก” คมกฤชอธิบายถึงข้อมูลที่เขาค้นคว้ามา
“เหยื่อที่ถูกฆาตกรรมทุกราย ล้วนถูกควักหัวใจหายไปอย่างน่าสยดสยอง และที่น่าแปลกก็คือ ก่อนที่พวกเขาจะเสียชีวิต ต่างก็เคยไปที่คฤหาสน์เทวาลัยของสุริยาวดีมาแล้วทั้งสิ้น”
คมกฤชเงียบไปครู่หนึ่ง ดวงตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย มองหน้าเพื่อนด้วยความตกใจ “มึงกำลังจะบอกว่า...?”
“กูก็ไม่แน่ใจหรอก แต่ทุกอย่างมันชี้ไปในทิศทางเดียวกัน มึงก็รู้ว่ากูไม่เคยเชื่อเรื่องงมงายพวกนี้ แต่ตอนนี้มันมืดแปดด้าน” สิงขรตอบเสียงเครียด
“ผู้หญิงที่ชื่อสุริยาวดี อาจจะไม่ใช่คนธรรมดา” คมกฤชพูดตามความรู้สึกที่เริ่มหนักแน่นขึ้น
“เราต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเจ้านางมนทิราณีเทวีให้ได้เสียก่อน” สิงขรเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“มึงพอจะมีตำราหรือแหล่งข้อมูลอื่นอีกป่าววะ?” คมกฤชพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
“มี! กูยังมีตำราอีกหลายเล่มที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ มึงรอแป๊บนึง” ว่าแล้วคมกฤชก็ลุกขึ้นเดินไปยังชั้นหนังสือขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยหนังสือเก่าแก่หลากหลายรูปแบบ มือของเขาไล่ไปตามสันหนังสืออย่างชำนาญ ก่อนจะหยิบหนังสือปกหนังสีน้ำตาลเข้มเล่มหนึ่งออกมา
“เล่มนี้!!!... น่าจะมีอะไรที่เราต้องการ” คมกฤชวางหนังสือลงบนโต๊ะแล้วเปิดไปยังหน้าที่มีภาพวาดและตัวอักษรโบราณ
“ดูนี่สิ! นอกจากรูปเจ้านางมนทิราณีเทวีแล้ว ยังมีสัญลักษณ์แปลกๆ แล้วก็บทสวดที่อ่านไม่ออกด้วย”
สิงขรโน้มตัวลงไปดูใกล้ๆ สัญลักษณ์ที่ปรากฏเป็นวงกลมซ้อนกัน มีลวดลายคล้ายเปลวไฟอยู่ตรงกลาง ดวงตาคมของเขาสังเกตเห็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ซ่อนอยู่ในภาพวาดนั้น
“สัญลักษณ์นี้... เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน” สิงขรพึมพำ
“จริงเหรอวะ? ที่ไหน?” คมกฤชถามอย่างสนใจ
“กูว่ากูเคยเห็นเครื่องรางแบบนี้ที่บ้านคุณยายว่ะ แต่มันก็นานมาแล้วนะ ตอนนั้นกูยังเด็ก ๆ อยู่เลย” สิงขรเล่า
“ท่านบอกว่าเป็นของเก่าแก่ที่ตกทอดกันมา”
ทั้งสองต่างจมอยู่ในความคิดของตนเอง ความเชื่อมโยงระหว่างอดีตกับปัจจุบันเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
“งั้นเราก็ต้องรู้ให้ได้ว่าสัญลักษณ์นี้หมายถึงอะไร และบทสวดพวกนี้เกี่ยวข้องกับอะไรกันแน่” สิงขรกล่าวด้วยความมุ่งมั่น
“บางทีมันอาจจะไขปริศนาเรื่องทั้งหมดนี้ได้”
“แล้วเราจะเริ่มจากตรงไหน?” คมกฤชถาม
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ กูว่าจะไปที่คฤหาสน์เทวาลัยอีกครั้ง” สิงขรตอบ
“กูอยากจะลองเข้าไปดูศิลาจารึกแผ่นนั้น”
“ให้กูไปด้วยไหม?” คมกฤชเสนอ สิงขรส่ายหน้า
“ไม่เป็นไร มึงช่วยกูค้นข้อมูลเกี่ยวกับสัญลักษณ์นี้และตำนานของเจ้านางมนทิราณีเทวีเพิ่มเติมดีกว่า เผื่อมีอะไรที่น่าสนใจ”
“โอเค งั้นมึงก็ระวังตัวด้วยนะไอ้สิงห์ อย่าไปหลงเสน่ห์ความสวยของเธอเข้าล่ะ...เดี๋ยวจะถูกควักหัวใจเอา” คมกฤชเตือนด้วยความเป็นห่วง สิงขรยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยให้กับคำแซวของเพื่อน
“ไม่ต้องห่วง กูมันพวกบ้างาน” ว่าแล้วสิงขรก็เดินออกจากห้องทำงานของเพื่อนไป ในใจก็คิดกังวลเกี่ยวกับเรื่องคดีที่ซับซ้อนนี้เหมือนกัน
เช้าวันรุ่งขึ้น
ในห้องทำงานของสิงขร เขานั่งทบทวนข้อมูลทั้งหมดที่รวบรวมมาได้ คดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่เหยื่อถูกควักหัวใจ ความเชื่อมโยงกับคฤหาสน์เทวาลัย และสัญลักษณ์บนศิลาจารึก ทุกอย่างดูเหมือนจะพันกันยุ่งเหยิงราวกับใยแมงมุม เขาเชื่อว่ากุญแจสำคัญของคดีนี้อาจเกี่ยวข้องกับสุริยาวดี
“สารวัตรครับ ...เมื่อคืนไม่มีเหตุฆาตกรรมซ้ำนะครับ” จ่าเดชเดินเข้ามาพร้อมกับคำทักทาย
“ก็ดีแล้ว” สิงขรตอบสั้นๆ
“วันนี้ผมจะเข้าไปดูศิลาจารึกที่คฤหาสน์เทวาลัยนั่นอีกครั้ง จ่าช่วยตามเรื่องผลการตรวจเลือดและดีเอ็นเอของเหยื่อด้วยล่ะ”
“ครับสารวัตร แล้วจะให้ผมไปกับสารวัตรไหมครับ?” จ่าเดชเสนอ
“ไม่ต้อง จ่าทำงานอยู่ที่นี่แหละ ถ้ามีอะไรคืบหน้าก็รายงานผมได้ทันที” สิงขรบอก ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา กดหาเบอร์ของคฤหาสน์เทวาลัย ไม่นานนักปลายสายก็เป็นเสียงหวานคุ้นเคยของเกตุศิรินทร์
“สวัสดีค่ะ คฤหาสน์เทวาลัย เกตุศิรินทร์พูดสายค่ะ”
“สวัสดีครับคุณเกตุศิรินทร์ ผมร้อยตำรวจโทสิงขรครับ วันนี้ผมอยากจะขออนุญาตเข้าไปดูศิลาจารึกแผ่นนั้นอีกครั้ง สะดวกไหมครับ?” สิงขรถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เกตุศิรินทร์จะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเกรงใจ
“เอ่อ... เดี๋ยวดิฉันขออนุญาตเรียนคุณสุริยาวดีก่อนนะคะ รอสักครู่ค่ะ” สิงขรรออย่างใจเย็น เขาได้ยินเสียงกระซิบกระซาบเบาๆ จากปลายสาย ไม่นานนัก เกตุศิรินทร์ก็กลับมา
“คุณสุริยาวดีอนุญาตค่ะ คุณตำรวจมาได้เลยค่ะ”
“ขอบคุณมากครับคุณเกตุศิรินทร์ งั้นผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้ครับ” สิงขรกล่าว ก่อนจะวางสายด้วยความรู้สึกบางอย่างที่บอกไม่ถูก การอนุญาตครั้งนี้ดูง่ายดายกว่าที่เขาคาดไว้ หรือว่าสุริยาวดีกำลังมีแผนการอะไรบางอย่างซ่อนอยู่กันแน่? ทั้งที่เมื่อวานยังหวงนักหนา
สิงขรถอนหายใจเบาๆ แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ คว้าเสื้อนอกและกุญแจรถ เขาต้องไปที่คฤหาสน์เทวาลัยอีกครั้ง เพื่อไขปริศนาที่ซ่อนอยู่ในศิลาจารึกโบราณแผ่นนั้น