เมื่อมารดาเดินออกจากห้องไป เธอมองถาดข้าวต้มที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างเงียบๆ แล้วน้ำตาก็ไหลอีกครั้ง แต่คราวนี้...มันไม่ใช่น้ำตาของความสิ้นหวัง
หญิงสาวค่อยๆ เดินไปที่โต๊ะยกช้อนขึ้นตักข้าวต้มคำแรกเข้าปาก กลืนมันลงไปพร้อมคำสัญญาในใจ
เธอจะไม่ยอมให้เรื่องเลวร้ายคืนนั้นมาทำลายชีวิตอีกต่อไป
เธอจะอยู่ต่อเพื่อตัวเอง เพื่อความรักที่ไม่เคยจากไปไหน
ความรักที่เรียกว่า...ครอบครัว
เช้าวันต่อมา
ลัลน์ลลิตลืมตาขึ้นช้าๆ หลังจากคืนที่หลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อนผ่านพ้น ร่างกายยังคงอ่อนเพลีย แต่หัวใจกลับรู้สึกอุ่นขึ้นอย่างประหลาด ความหนักอึ้งที่เคยกดทับเมื่อวานดูเบาลงไปเล็กน้อย เมื่อเธอนึกถึงคำพูดของแม่ในเย็นวันก่อน
เสียงนกร้องเบาๆ จากสวนหลังบ้านปลุกให้หญิงสาวลุกจากเตียง เธอเปิดม่านให้แสงแดดสาดเข้ามาเต็มห้อง ลมหอมของดอกมะลิจากสวนหน้าบ้านพัดผ่านปลายจมูก กลิ่นนั้นทำให้หัวใจที่ยังบอบช้ำของเธออ่อนลงทันที
หลังอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย ลัลน์ลลิตสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดกับกระโปรงทรงสอบสีน้ำตาลอ่อน เกล้าผมขึ้นเรียบร้อยเหมือนทุกวันทำงานที่ผ่านมา ก่อนจะเดินออกจากห้องไปด้วยหัวใจที่เต้นเบาๆ แต่มั่นคงกว่าเมื่อวาน
ทันทีที่ลงมาถึงชั้นล่าง กลิ่นข้าวต้มร้อนๆ ก็ลอยมาตามลม เสียงหัวเราะดังมาจากโต๊ะอาหารกลางบ้าน เธอหยุดยืนเพียงครู่หนึ่ง มองภาพครอบครัวตรงหน้าเห็นบิดากำลังยกกาแฟขึ้นจิบ มารดากำลังตักกุ้งตัวโตๆ ให้น้องสาวที่หัวเราะร่าเริงอยู่ข้างๆ
ภาพนั้นอบอุ่นจนหัวใจของเธอแผ่วเบาอย่างบอกไม่ถูก
“พี่ลัลน์!” เสียง ลักษิกา หรือ ลัก น้องสาวของเธอร้องเรียกขึ้นทันทีที่เห็นพี่สาวในรอบสามวัน
“ในที่สุดพี่ก็ลงมากินข้าวกับพวกเราแล้ว คิดว่าจะจำทางจากห้องลงมาไม่ได้ซะอีกค่ะ”
จักรินทร์ เงยหน้าขึ้นมามองลูกสาวคนโต ใบหน้าที่มักเข้มขรึมดูอ่อนโยนขึ้นทันที
“ลูกพ่อหายดีแล้วเหรอ เห็นแม่บอกว่านอนซมอยู่หลายวันเลย”
“ดีขึ้นแล้วค่ะพ่อ ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะคะ”
ลัลน์ลลิตตอบเสียงเบา
ลลิตาหันมามองลูกด้วยสายตาอ่อนโยนที่เต็มไปด้วยความห่วงใย
“แม่ดีใจนะที่เห็นลัลน์ลงมากินข้าวกับแม่อีก เมื่อเช้าป้าจิตได้กุ้งตัวโตมาก แม่เลยทำข้าวต้มกุ้งให้จ้ะ หนูรับสักชามนะคะ” เธอบอกแล้วรีบกุลีกุจอตักข้าวต้มกุ้งลงในถ้วยก่อนยื่นให้เธอ
“ขอบคุณค่ะแม่” หญิงสาวตอบพร้อมยิ้มอ่อน มือที่จับช้อนยังสั่นน้อยๆ แต่หัวใจอบอุ่นเมื่อเห็นมารดาคอยตักอาหารให้เหมือนตอนเด็กๆ
“โอ้โห ทำไมกุ้งของพี่ลัลน์ตัวโตกว่าหนูอีกล่ะคะ”
ลักษิกาแกล้งว่า
“น้องลักนี่...” ลัลน์หัวเราะเบาๆ พลางหันไปมองน้องสาว
“ก็ตัวเท่ากันหมดไม่ใช่เหรอ แถมของเรายังได้กุ้งเยอะกว่าพี่อีก”
“อ้าว...เหรอคะเนี่ย” ลักษิกายักคิ้ว “แต่ยังไงก็ดีแล้วที่พี่ลัลน์ยิ้มได้อีก แม่กับพ่อจะได้ไม่ต้องห่วง”
จักรินทร์หัวเราะในลำคออย่างเอ็นดู ก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบอีกครั้งแล้วเลื่อนชามข้าวต้มมาตรงหน้า
“วันนี้พ่อมีประชุมที่สำนักงานใหญ่ ลัลน์ไปพร้อมพ่อเลยนะลูก พร้อมทำงานแล้วใช่รึเปล่า”
“พร้อมค่ะ” เธอตอบพร้อมรอยยิ้มที่เริ่มกลับมาบนใบหน้า
“โดดงานหลายวันป่านนี้ยัยอรคงบ่นแย่แล้วว่าทิ้งงานให้เพื่อนทำคนเดียว ยิ่งใกล้ปีใหม่แล้วด้วย เอกสารที่รอส่งให้หัวหน้าฝ่ายอนุมัติกองเต็มโต๊ะเลยค่ะ”
“แล้วยังไม่เบื่อทำฝ่ายการตลาดเหรอลูก ความจริงหนูจะขึ้นมาทำฝ่ายบริหารเลยก็ได้นะ เดี๋ยวพ่อให้ภัทรเค้าดูตำแหน่งให้”
“อย่าเพิ่งดีกว่าค่ะ ลัลน์อายุแค่ยี่สิบห้าเอง อยากทำงานระดับปฏิบัติการไปอีกสักสองสามปี จะได้รู้ปัญหาของระดับล่าง เวลาขึ้นฝ่ายบริหารจะได้แก้ปัญหาตรงจุด”
“งั้นก็ตามใจ เอาเป็นว่าพ่อให้เวลาหนูศึกษางานทั้งฝ่ายปฏิบัติการและฝ่ายบริหารไปอีกสักห้าหกปีและกันนะ รอพ่ออายุหกสิบห้าแล้วพ่อจะได้วางมือมาช่วยแม่เค้าปลูกต้นไม้ที่บ้านซะที” เขาหันไปกุมมือภรรยาสุดที่รักแล้วยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน
“แหม...พ่อกับแม่เนี่ย สวีตกันอีกแล้วนะคะ เฮ้อ...เมื่อไหร่หนูจะหาแฟนที่ทั้งอบอุ่นและใจดีเหมือนพ่อได้บ้างก็ไม่รู้” สาวน้อยช่างฝันวัยยี่สิบสองนั่งอมยิ้มกับภาพที่เห็นตรงหน้า
“แฟนน่ะเอาไว้ทำงานแล้วค่อยหานะคะคนสวยของพ่อ ตอนนี้ต้องเรียนให้จบก่อน อีกเทอมเดียวเองไม่ใช่หรือไงกัน”
“ค่ะ อีกเทอมเดียวก็จบแล้ว ถ้าหนูเรียนจบหนูจะไปช่วยพี่ลัลน์ทำงานนะคะ”
“ดีมากจ้ะ มีกันอยู่สองพี่น้องก็ต้องช่วยเหลือกันและกันนะลูก ทุกอย่างที่พ่อสร้างมา อีกไม่นานพ่อก็จะแบ่งให้ลูกทั้งสองเท่าๆ กัน นั่นแหละ เพราะหนูสองคนคือดวงใจของพ่อ จำเอาไว้นะลูก”
“ค่ะพ่อ พวกเราจะจำเอาไว้” ลัลน์ลลิตยิ้มอ่อน
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเช้านั้นเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยความอบอุ่น เสียงพูดคุยของครอบครัวผสมกับเสียงช้อนกระทบถ้วยแก้วดังคลอเบาๆ ราวกับบทเพลงที่ช่วยปลอบโยนหัวใจที่แตกสลายของเธอให้ค่อยๆ ประสานกันใหม่อีกครั้ง
หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ จักรินทร์ก็ออกจากบ้านพร้อมลูกสาวคนโตโดยมีคนขับรถให้ รถหรูสีดำแล่นอย่างนุ่มนวลไปตามถนนที่เริ่มคึกคักในยามสาย อาคารกระจกสูงของ เดอะวันกรุป โผล่พ้นจากแนวต้นไม้ตรงทางเข้าอย่างสง่างาม สาขาหลักของห้างสรรพสินค้าตั้งอยู่ด้านหน้า ขณะที่อาคารสำนักงานบริหารตั้งอยู่ด้านหลัง
“พ่อได้ยินจากหัวหน้าฝ่ายว่าโปรเจกต์ใหม่กำลังไปได้ดีใช่มั้ยลูก”
จักรินทร์ถามระหว่างรถติดสัญญาณไฟแดง
“ค่ะพ่อ ตอนนี้กำลังจะเริ่มพรีเซนต์กับแบรนด์ต่างประเทศ ลัลน์จะพยายามให้มากที่สุด” เธอตอบด้วยรอยยิ้มจางๆ
“ดีแล้ว” เสียงของเขาหนักแน่นแต่เปี่ยมด้วยความภูมิใจ “อย่ากลัวความผิดพลาดนะลูก งานใหญ่ย่อมมีอุปสรรคเสมอ แต่ถ้าเราทำด้วยใจ ทุกอย่างจะผ่านไปได้”
คำพูดของบิดาทำให้เธอนึกถึงคืนมืดในอดีตที่เพิ่งผ่านมา เธอไม่รู้ว่าตอนนี้จะเดินไปทางไหน แต่สิ่งหนึ่งที่มั่นใจคือเธอจะไม่ยอมให้ตัวเองพังทลายลงอีก