เสียงสะท้อนในห้องเงียบทำให้หัวใจเธอเต้นแรงกว่าเดิม เธอพิงหลังกับประตู หยดน้ำตาเริ่มร่วงลงจากดวงตาที่ร้อนผ่าว แล้วร่างทั้งร่างก็ทรุดฮวบลงกับพื้น
เสียงสะอื้นหลุดออกมาไม่หยุด มือกำแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ ทำไมถึงเป็นเรา ทำไมต้องเป็นเรา...
ความอับอาย ความกลัว และความรู้สึกสกปรกปนเปกันยุ่ง เธออยากลืมทุกสิ่งแต่ภาพเมื่อคืนยังวนเวียนไม่หยุด กลิ่นแอลกอฮอล์ เสียงหัวเราะ สัมผัสที่เร่าร้อน รุนแรง และดวงตาของชายแปลกหน้าที่มองร่างเปลือยเปล่าของเธออย่างหลงใหล
เธอร้องไห้จนหลับไปบนพื้นห้อง เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าเวลาผ่านไปแล้วครึ่งวัน แต่ความรู้สึกในอกกลับเหมือนเดิม ร่างกายอ่อนแรงแต่หัวใจกลับหนักหน่วงราวมีหินก้อนใหญ่ถ่วงเอาไว้
สองวันเต็มที่เธอไม่ยอมออกจากห้อง บอกมารดาเพียงว่ารู้สึกไม่สบาย ขออยู่เงียบๆ คนเดียว มารดาเคาะประตูเรียกทุกเช้าเย็น เสียงนั้นอบอุ่นแต่กลับยิ่งทำให้เธอรู้สึกผิดที่โกหก
ในห้องเงียบ ลัลน์ลลิตนั่งกอดเข่าบนเตียง ดวงตาบวมแดงจนแทบลืมไม่ขึ้น เส้นผมสีน้ำตาลเข้มปรกหน้า เธอไม่ได้ส่องกระจก เพราะไม่อยากเห็นหน้าผู้หญิงที่ทำให้ครอบครัวต้องอับอาย
หลายครั้งที่เธอมองกรรไกรบนโต๊ะเครื่องแป้ง มองขวดยานอนหลับในลิ้นชัก ความคิดชั่ววูบแล่นเข้ามา และมันก็บอกเธอว่า
‘ถ้าเราหายไป ทุกอย่างคงง่ายกว่านี้’
แต่เสียงหนึ่งในหัวกลับดังขึ้นมาแทนเสียงปีศาจนั้น...เสียงของมารดา
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม่จะอยู่ข้างลูกเสมอ ลัลน์จำไว้นะลูก ไม่มีอะไรที่แม่ให้อภัยลูกไม่ได้”
น้ำตาเริ่มรื้นขึ้นอีกครั้ง ความอบอุ่นในคำพูดที่เคยได้ยินนับครั้งไม่ถ้วนกลับมาสั่นหัวใจที่เปราะบางของเธอ
บ่ายวันที่สาม เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่แค่เคาะเบาๆ เหมือนทุกวัน มันมาพร้อมกับเสียงที่อ่อนโยนและสั่นเครือ
“ลัลน์ แม่เอาข้าวต้มมาให้ลูก กินอะไรสักนิดเถอะนะลูก แม่เป็นห่วง หนูไม่ยอมกินอะไรมาสองวันแล้วนะ อย่างน้อย...ขอให้แม่เข้าไปหาได้มั้ยลูก หนูอรกับหนูพั้นช์ก็โทรมาบอกว่าติดต่อหนูไม่ได้ แม่ก็ได้แต่บอกว่าลูกไม่สบาย ทั้งที่ไม่รู้เลยว่าลูกของแม่เป็นอะไรกันแน่”
เธอนั่งนิ่งอยู่พักใหญ่ ก่อนเสียงประตูจะถูกเปิดออกเบาๆ
แสงจากโถงทางเดินลอดเข้ามา พร้อมกับร่างของ ลลิตา ผู้เป็นแม่ที่ถือถาดข้าวต้มในมือกลิ่นหอมของกระเทียมเจียวและขิงซอยลอยอบอวลในอากาศชวนน้ำลายสอ แต่เธอกลับไม่รู้สึกอยากอาหารแม้แต่น้อย
“ลูกดูโทรมมากเลยนะ” น้ำเสียงอ่อนโยนแต่แฝงด้วยความปวดใจ “หนูเป็นอะไร บอกแม่ได้มั้ยลูก แม่กับพ่อเป็นห่วงหนูมากนะจ๊ะ”
ลัลน์ลลิตหลบตา เธอกัดริมฝีปากแน่นจนเจ็บ
“เชิญเข้ามาก่อนสิคะ” เธอหลีกทางให้ท่านได้ก้าวเข้าไปก่อนจะมองท่านวางถาดข้าวลงบนโต๊ะอ่านหนังสือในห้อง หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งบนเตียง ก่อนตัดสินใจถามออกไป
“แม่ขา...ถ้าลัลน์ทำตัวแย่ แย่มากๆ แม่จะเกลียดลัลน์รึเปล่าคะ”
ลลิตาชะงักไปครู่หนึ่ง เธอนั่งลงข้างเตียงแล้วยื่นมือมาจับมือของลูกสาวไว้แน่น ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยนที่ไม่เคยเปลี่ยน
“ไม่มีแม่คนไหนเกลียดลูกของตัวเองหรอกลูก” เสียงของเธอสั่นน้อยๆ แต่หนักแน่น “แม่อาจจะเสียใจในสิ่งที่ลูกทำ แต่แม่จะไม่มีวันหยุดรักลูกของแม่”
ลัลน์ลลิตสะอื้น เธอพยายามกลั้นน้ำตาแต่ไม่สำเร็จ น้ำใสๆ ไหลพรากลงมาอย่างหมดแรง
“แม่ขา...ลัลน์ขอโทษ...ขอโทษนะคะแม่” เธอผวาเข้ากอดท่านเอาไว้แน่นแล้วเอ่ยเสียงสั่น
“แม่ไม่รู้ว่าทำไมหนูต้องขอโทษ” ลลิตากล่าวเบาๆ พลางยกมือลูบศีรษะของแก้วตาดวงใจอย่างอ่อนโยน
“แต่แม่รู้ว่าลูกของแม่เป็นคนดี และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม่ก็จะอยู่ตรงนี้เสมอ จะกอดลูกไว้เสมอ”
คำว่า “แม่จะอยู่ตรงนี้เสมอ” ทำให้หัวใจของลัลน์ลลิตอุ่นซ่านและความรู้สึกแตกสลายก่อนหน้าก็ค่อยๆ ประกอบเศษชิ้นส่วนที่ย่อยยับขึ้นมาได้อีกครั้ง
หญิงสาวร้องไห้ออกมาจนสั่นไปทั้งร่าง มือเล็กกำเสื้อของมารดาแน่นเหมือนเด็กน้อยที่กลัวความมืด
“แม่ขา...ลัลน์กลัว...”
“ไม่ต้องกลัวลูก ไม่ต้องกลัวเลย แม่อยู่นี่แล้วนะคะ” เสียงนั้นอบอุ่นราวกับคำอธิษฐานที่ขับไล่ความมืดในใจออกไปช้าๆ
เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้ กว่าที่เสียงร้องไห้จะค่อยๆ เบาลง เหลือเพียงเสียงหายใจแผ่วๆ ของคนสองคนที่กอดกันแน่นกลางห้องเงียบๆ
ลลิตาเงยหน้าขึ้น มองแสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านผ้าม่านในตอนบ่าย
“ชีวิตคนเราน่ะ มันไม่เคยง่ายหรอกนะลูก แต่แม่อยากให้หนูจำเอาไว้ว่าต่อให้มันจะยากแค่ไหน เราก็สามารถเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ อย่าให้ปัญหาที่หนูต้องเผชิญทำให้หนูต้องสูญเสียตัวตนของหนูไป ลัลน์ของแม่เป็นเด็กดี เป็นคนอ่อนโยน มีน้ำใจ สุภาพ เรียบร้อย เป็นที่รักของทุกคนเสมอและยังจะเป็นตลอดไป” เธอยิ้มอ่อน แม้จะมีน้ำตาในดวงตาเพราะรู้สึกได้ว่าลูกสาวกำลังเผชิญปัญหาใหญ่ที่ลูกไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ
“อย่าลืมว่าลูกยังมีลมหายใจ จงใช้เวลาต่อจากนี้ให้ดี สิ่งไหนที่ผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไป แล้วเรามาเริ่มต้นใหม่ไปด้วยกันนะคะ ถ้าหากว่าตอนนี้หนูวิ่งเร็วเกินไปจนล้ม หนูก็แค่ลุกขึ้นแล้วค่อยๆ ก้าวไปอย่างมั่นคงก็พอ เหมือนตอนเด็กๆ ไงคะ จำได้รึเปล่า”
ลัลน์ลลิตหลับตาแน่น สูดลมหายใจเข้าลึกที่สุดในรอบสองวัน กลิ่นแป้งหอมจากตัวมารดาทำให้เธอรู้สึกเหมือนได้กลับบ้านจริงๆ กลับมายังที่ที่อบอุ่นที่สุดในโลก