ปานมุกหันหน้าออกจาห้องที่เคยเป็นห้องของ ที่น้องน้องสาวเธอใช้ซุกหัวนอน ก่อนออกไปเธอหันกลับไปมองเพียงชั่วครู่ นึกสมเพชในตำแหน่งสะใภ้ของเธียรธีดาเสียจริง
ห้องนอนเล็กไม่ต่างจากห้องคนใช้ นี่คงเป็นห้องเก็บของสินะ แต่เขาเลือกให้คนเป็นภรรยาที่จะออกหน้าออกตาของตัวเองได้นอนห้องแคบ ๆ นี้ได้อย่างไรกัน
แต่อย่างไรก็คิดแล้วว่าไม่ใช่เป็นความคิดของคุณหญิงกลีบบัว ที่เป็นประมุขใหญ่ของเธียรธีดา ที่เพิ่งล้มลงหลังจากเธอตื่น
หากท่านยังแข็งแรงดีละก็ เธอคงใช้ชีวิตในบ้านหลังนี้ต่อ เพราะอย่างน้อยก็มีแบล็กดี แต่ยามนี้คงได้แค่คิดฝันไปเท่านั้น
ขอแค่มีลมหายใจ เธอจะสู้จนลมหายใจสุดท้ายแน่นอน เมื่อก่อนเคยอิจฉาน้องสาวที่ได้ใช้ชีวิต แต่ผ่านมาช่วงหนึ่งก็เข้าใจว่า การมีชีวิตก็ไม่ต่างจากการมีกรรม เพราะโชคชะตะลิขิตแล้วว่า คนเรานั้นต้องพบพาลกับจุดที่ยากลำบากเสมอ ไม่มากก็น้อย
กรกัญจน์เห็นปานมุกยืนมองไปยังห้อง ก็กังวลใจทันที เขาต้องจัดการให้ทุกอย่างเสร็จก่อนที่คุณอัสนีจะกลับมา แม้ไม่อยากเร่งเร้า แต่กลัวว่าเธอจะไม่เหลือชีวิตรอดออกไปหากยังอยู่รอเจอคนผู้นั้น
“รีบไปเถอะ เดี๋ยวคุณอัสนีก็กลับแล้วครับ” กรกัญจน์บอก
“ค่ะ ขอโทษที่ทำให้กังวล ไปกันเถอะ” เธอถือกระเป๋า ที่ใส่เสื้อผ้าและเครื่องสำอางบางส่วนซึ่งมันไม่ได้มีมูลค่ามากมาย เทียบกับของตกแต่งในบ้านหลังนี้
เธอแทบจะออกไปแต่ตัวจริง ๆ เธอกำโทรศัพท์ในมือแน่นแล้วเดินออกไป
กรกัญจน์มองปานมุกที่มีรอยยิ้มเกลื่อนใบหน้าราวกับนกน้อยที่ถูกปลดปล่อยจากกรงทองเพื่อสู่อิสระภาพอีกครั้ง จนเขาเองก็แปลกใจไม่น้อย
แต่เมื่อถึงห้องโถงด้านล่าง ขณะที่กำลังจะก้าวออกจากบ้านเธียรธีดา กลับมีผู้หญิงคนหนึ่งมายืนขวางไว้
“จะไปไหนเหรอคะ พี่ปานมุก” ร่างที่ใส่ชุดเกาะอกสีชมพูมองดูแล้วอ่อนหวาน แต่ทว่าสันดานนั้นไม่ต่างจากงูพิษ ยืนยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตร แต่...น่าจะมิจฉาชีพเสียมากกว่า
สายตาของปานมุกมองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าของน้องสาวต่างมารดา ที่มาแย่งทุกอย่างจากเธอไป รองเท้าส้นสูงที่เธอใส่นั้นดูมีราคา เครื่องประดับที่ในสมองจำได้ว่าของพวกนั้นเป็นของแม่ปุณณิกา แม่ของปานมุกและเธอ มุมปากยกยิ้มอย่างดูแคลนทันที
เธอหยุดแล้วกอดอกมองน้องสาวที่เดินเข้ามาประจันหน้าอย่างไม่ลดละ
“ปิ่นปักงั้นเหรอ?”
เธอเป็นน้องสาวลิ้นสองแฉกของเธอ ที่ภายใต้ใบหน้าน่ารักอ่อนหวานนั้น ซ่อนด้วยพิษร้ายที่พร้อมทำลายเธอ
ริมฝีปากที่ทาลิปสติกสีอ่อนคลี่ออกเล็กน้อย มองดูพี่สาวที่ตัวเองวางแผนให้ระเห็จออกจากบ้านหลังนี้มาตั้งแต่ที่เริ่มแต่งงาน
“จะย้ายออกแล้วเหรอ ... ย้ายไปไหนล่ะ”
ปานมุกยิ้มแสยะก่อนจะกล่าวออกไป
“ไม่เจอเธอตั้งนาน ยังไม่ถอดหน้ากากอีกเหรอ เธอคงรู้แล้วสินะ ถึงได้วิ่งร่านมาเพื่อหวังว่าเขาจะเอาเธอทำเมีย” เธอไม่ใช่ปานมุก แต่เธอคือ ปานดาว ชื่อที่แม่ตั้งให้แต่ไม่ทันได้ใช้ แล้วเรื่องอะไรจะต้องอ่อนแอให้นังน้องสาวงูพิษคนนี้ด้วยเล่า
ได้ยินพี่สาวพูดเช่นนั้น ใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มหุบลงฉับพลัน ดวงตาสีดำนิลเหมือนมีลูกไฟที่กำลังลุกโซนอยู่ในดวงตาก็ไม่ปาน สาดมองเธออย่างเอาเรื่อง
แต่เธอต้องแสร้งตีบทนางฟ้า ประกายตาที่เดือดด่านเมื่อครู่เปลี่ยนไปเพียงเสี้ยวนาที และสามารถระงับความกรุ่นโกรธไว้ได้ กลับมาเป็นปิ่นปักผู้น่าสงสาร เป็นคนใสชื่อเฉกเช่นที่เคยเป็นมาตลอด
แต่ต่อให้เธอทำตัวไร้เดียงสาปานใด คุณหญิงกลีบบัวหาได้เอ็นดูเธอเหมือนกับปานมุกเลยสักนิด แต่มันตายได้ก็ดีอีแก่ จะได้ไม่ต้องมาเป็นมารขัดความสุขของเธอกับอัสนี
พ่อที่หวังฮุบสมบัติแต่ดันส่งมันแต่งงานกับคนที่เธอแอบรักมาตลอดนี่สิ น่าเจ็บใจนัก
“โถ...พี่ปานมุก ปิ่นก็แค่เป็นห่วงพี่ ทำไมถึงพูดร้ายกาจกับปิ่นอย่างนี้ล่ะ ปิ่นเสียใจนะ”
เป็นห่วง?
ปานมุกกลอกตามองบน มองตั้งแต่ดาวเสาร์ยังมองออกว่าเธอตอแหล ไม่ต่างกับชะนีร้องหาแต่ผัวชาวบ้าน
ความเป็นห่วงของเธอนั้นมันจอมปลอม คงจะมาเยาะเย้ยล่ะสิ ที่กำจัดเสี้ยนหนามอย่างเธอออกไปจากบ้านเธียรธีดาได้
กระบือสิ้นดี!
กรกัญจน์ขยับมารีบเตือนด้วยใบหน้าเรียบเฉยไม่ต่างจากผู้เป็นนายที่ซ่อนอารมณ์จนไม่มีใครอ่านออก
“คุณปานมุกเร่งเถอะครับ คุณอัสใกล้จะกลับแล้ว”
มุมปากของปานมุกยกยิ้มขึ้นอย่างร้ายกาจพร้อมชี้นิ้วไปที่ปิ่นปัก
“คุณก็รู้ไม่ใช่ฉันที่ชักช้า เพราะกระบือเผือกตัวหนึ่งมันมายืนขวางฉันต่างหาก” แล้วมันก็ไม่ยอมหลบไปด้วย
ปิ่นปักได้ยินดังนั้นพลันใบหน้าเผือดสี พูดไม่ออกเพราะไม่ได้คิดคำต่อว่าต่อขาน หรือจะรับมือกับคนเป็นพี่สาวที่ท่าทางเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
แต่ทว่าเธอกลับ keep look ให้เป็นหญิงสาวที่น่าสงสาร ไว้ได้ด้วยแววตาที่มองปานมุกอย่างเจ็บปวดพร้อมบีบน้ำตาออกมาแสดงให้คนของเขาได้เห็นทุกการกระทำของปานมุก ที่ร้ายกาจกับเธอแค่ไหน