“อัสนี...ไอ้คนชั่ว!”
เสียงของปานมุกเรียกความตื่นตะลึงให้กับกรกัญจน์ ตั้งแต่ร่วมทำงานกับเขามา ยังไม่เคยมีใครกล้าสามหาวกับอัสนี เพราะทุกคนต่างรู้จุดจบดีว่าคืออะไร
ร่างที่กำลังเดินลับขึ้นไปข้างบน หันขวับกลับมา ดวงตาวาววับดุจสัตว์ร้าย มองไปยังร่างของเมียตัวเอง ที่กำลังจะเป็นอดีตไปแล้ว ด้วยความกรุ่นโกรธ
ดวงตาสีเข้มของอัสนีเต็มไปด้วยอันตราย จนกรกัญจน์ก็รู้สึกได้
ก้าวที่เดินตรงมาหาเธอทำให้หัวใจของเธอสั่นเทา แต่ทว่ายังทำใจดีสู้ เขาผลักปิ่นปักที่ยืนขวางทางจนล้มไปด้านข้าง เสียงโอดโอยของเธอหาได้ทำลายความสนใจของเขาที่มีต่อปานมุกไม่
“มีสิทธิ์อะไรมาด่าฉันชั่ว” มือใหญ่จับเข้าที่ลำคอเล็กอีกครั้ง เขาออกแรงจับที่แขนและบีบที่คอจนกระดูกเธอแทบแหลกคามือ แต่เขาก็ยังควบคุมน้ำเสียงให้เรียบเฉย ราวกับคนเลือดเย็นได้อย่างดี
ปานมุกก้าวถอยหลังจนร่างของเธอสัมผัสเข้ากับประตูบ้านด้านที่ปิดสลักลงกลอนไว้ เธอไม่มีทางถอยหนีหรือดิ้นรน เธอทำได้เพียงหลับตาตั้งสติ ก่อนลืมตาขึ้นอย่างท้าทายเขา
“ฆ่าฉันเลยค่ะ ฆ่าฉันให้ตาย” เธอยกมืออีกข้างที่เปิดแอปไลฟ์สดถ่ายถอดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธอให้กับสังคมได้รับรู้ความเลวทรามของเธียรธีรา โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าเธอกำลังทำอะไร
“เธอว่าคนอย่างฉันจะฆ่าเธอไม่ได้เหรอ” เสียงของอัสนีดังชัดถ้อยชัดคำ จนเธอขบกรามแน่นอดทนต่อความเจ็บปวด
“เพราะฉันไม่ออกจากบ้านหลังคุณหญิงตาย แล้วบังคับเซ็นใบหย่าโดยไม่รับทรัพย์สินงั้น เหรอ แล้วยังเอาลูกเมียน้อยของพ่อฉันมาขัดขวางเพื่อถ่วงเวลา เพื่อคุณจะอ้างเหตุผลมาทำร้ายฉันงั้นเหรอ ขนาดเสื้อผ้าที่ติดกายยังสั่งให้คนถอดออก เนี่ยเหรอเหตุผลของคุณ” เธอพูดเหตุผลทั้งหมดเพื่อให้เขารับสารภาพ และเป็นจำเลยของสังคมเองโดยที่เธอไม่ต้องทำอะไร
“ใช่แล้วยังไง คนอย่างเธอมันสมควรโดน”
“สมควรงั้นเหรอ ฉันเลวยังไงไหนบอกสิ ยอมให้คุณทำร้ายจิตใจ ยอมให้คุณทำร้ายร่างกาย และนอนห้องเล็กเท่ารูหนู กับฟังคำโกหกน้องสาวที่เป่าหูเช้ากลางวันเย็น ถามหน่อยเธอ มีสมองไหม”
“เธอหน้าด้านไง และก็ชอบโกหกไง”
“ไปถามปิ่นปักดู กับแค่เสื้อผ้าสองสามชุด ตรวจดูอย่างกับในนั้นฉันเอาทรัพย์ของคุณไป หากไม่ตาบอดก็หันไปดูกองเสื้อผ้าและกระเป๋าใบเล็กนั่น” เธอพูดความจริงและทุกคนต้องสงสารเธอ
‘รายการโหนกระสวยต้องเข้าแล้ว’
“พี่ปานมุกใส่ร้ายฉันแบบนี้ได้ยังไง”
“ใส่ร้ายเหรอ ฉันมีพยานคือคุณกรกัญจน์ ถามเขาดูก็รู้ว่าที่พูดจริงไหม เพราะปิ่นปักชักช้าทำให้ฉัน...” ยังไม่ทันจะได้พูดต่อเธอก็โดนเขาเพิ่มแรงบีบขึ้นอีก
กรกัญจน์เห็นท่าไม่ดีจึงเสนอตัวเข้ามาปกป้องเธอ หากปล่อยให้คุณอัสนีทำร้ายผู้หญิง ผู้ถือหุ้นต้องประณามแล้วพาลถอนหุ้นเป็นแน่
“พี่ปานมุกเราเป็นพี่น้องกันนะ...” ปิ่นปักพูดได้แค่นั้นก็หยุดลงเพราะมีเสียงของผู้ช่วยของเขาดังแทรกขึ้น
“คุณอัสนีครับ ปล่อยคุณปานมุกเถอะครับ ที่จริงเธอควรจะไปตั้งนานแล้ว แต่คุณปิ่นปักขัดขวางไว้”
ปิ่นปักอดก่นด่าผู้ช่วยเขาไม่ได้ เธอไม่ยอมเป็นผู้ร้ายในสายตาเขาหรอก เธอต้องเป็นผู้หญิงตัวเล็กน่ารักน่าทะนุถนอม
“ไม่จริงนะคะ ที่จริงเป็นความผิดฉันเองที่ตั้งใจจะช่วยคุณตรวจดูกระเป๋าว่าเธอเอาอะไรของคุณไปหรือไม่ แต่ฉันชักช้าเอง...คุณอย่าทำอะไรพี่สาวฉันเลยนะคะ” แค่จีบปากบีบน้ำตาเธอก็เป็นนางฟ้าเสียแล้ว ง่ายเพียงลมปาก
ภาพที่ปิ่นปักกำลังบีบน้ำตาเหมือนคนกำลังร้องไห้นั้น เรียกความเบื่อหน่ายให้กับเธอ และคนดูในไลฟ์ของเธอเป็นอย่างยิ่ง
“หน้าซื่อใจคด ตลบตะแลงอย่างเธอ ใครเชื่อก็ควายแล้ว ไม่ใช่เธอเหรอฉันควรจะไปตั้งนาน ไม่ต้องอยู่รอเจอเขาที่เธอหมายปองอยากนอนเตียงเดียวกับเขา แต่ขอโทษนะ...ฝันไปก่อน!” ต่อให้กำลังจะตายแต่ว่าเรื่องด่าน้องสาวนี่เธอสู้ตาย สันดานแบบนี้ทุกคนจะต้องได้รับรู้
“นี่!” ปิ่นปักพยายามสงบอารมณ์ แต่ทว่ากลับได้ยินเสียงรถตำรวจวิ่งมาบริเวณหน้าบ้าน แววตาของเธอมองเห็นแสงแห่งการหาทางรอด
แต่...!
“ใครแจ้งตำรวจ”
ทุกคนส่ายหน้า แล้วเมื่อยกมือถือขึ้นก็เห็นไลฟ์ของปานมุกทำให้เขาขบเขี้ยวเขี้ยวฟันอย่างรู้สึกเดือดที่กลางอก
“จับมันถอดรองเท้า กับเสื้อผ้าแล้วโยนออกไปประตูหลัง” สิ้นคำสั่งคนของเขาก็จัดการทันที
อัสนีต้องออกไปรับหน้าตำรวจก่อนจะเป็นเรื่องใหญ่มากกว่านี้ และหน้าที่จัดการโยนปานมุกออกไปนั้นเป็นหน้าที่ของปิ่นปัก
เธอแย่งมือถือปานมุกมากดปิดไลน์แล้วโยนคืนให้เธอ
“ถอดเสื้อผ้ามันด้วย” เธอสั่งอย่างเลือดเย็น
“คุณปิ่นคะ” สองคนรับใช้มองหน้ากันเลิกลั่ก ต่อให้รังเกียจกันแค่ไหน จะปล่อยให้เปลือยเปล่าท่ามกลางสายฝนที่กำลังจะสาดลงมาได้ยังไง
“ฉันสั่งไม่ได้ยินหรือไง”