ที่ไหนวะเนี่ย

1346 Words
หนิงหนิง ไม่รู้ว่าเธอถูกพาตัวมาส่งที่โรงพยาบาลตอนไหน คงเป็นอาเยว่ที่พาเธอมา เพราะตอนนี้เธอเริ่มจะรู้สึกตัวแล้ว “จะ เจ็บ” เธอพึมพำออกมาเบาๆ เสียงที่แหบเสียจนแทบจะไม่มีเสียงออกมาจากลำคอของเธอ ตอนนี้เธออยากจะขอความช่วยเหลือจากใครสักคน เพราะเธอหิวน้ำ มือของหว่านหนิงเอื้อมคลำไปด้านข้างอย่างสะเปะสะปะ เพื่อหาปุ่มกดเรียกพยาบาล หรือหากมีคนเฝ้าอยู่ภายในห้อง ย่อมต้องเห็นว่าเธอตอนนี้รู้สึกตัวแล้ว แต่ก็ไม่มีเสียงใดเกิดขึ้น ดวงตาที่ยังไม่อาจลืมได้เต็มที่ ก็ทำให้ไม่สะดวกที่จะทำสิ่งใด หว่านหนิงค่อยๆ หยันตัวขึ้นเพื่อพิงหัวเตียง “อ๊ะ” มือทั้งสองข้างของเธอไม่ได้หัก ขาก็ไม่ได้หัก เพียงแค่ปวดเมื่อยตามเนื้อตัวไปหมดเท่านั้น สิ่งนี่ทำให้เธออดที่จะแปลกใจไม่ได้ แรงชนของรถที่เธอถูกชน เป็นไปไม่ได้หากจะไม่มีส่วนใดที่แตกหัก ถ้าจะบอกว่าเธอสมควรตายทันทีเลยก็ดูจะไม่เกินจริงนัก “ฟื้นแล้วรึ” เสียงบุรุษหยานคาง เหมือนจะดื่มมาไม่น้อย ถามเธอขึ้นมา มือที่คว้านหาปุ่มกดกับโทรศัพท์ของหว่านหนิงหยุดชะงักทันที “หือ” เพียงแค่เขาเดินเข้ามาใกล้เธอก็ต้องย่นจมูกทันที เพราะกลิ่นของแอลกอฮอล์ที่ออกมาจากตัวของเขาดูเหมือนจะไม่ใช่น้อยๆ เลย “คุณเป็นคนที่ชนฉันใช่ไหม ดื่มมามากขนาดนี้ ทำไมถึงไม่ถูกตำรวจจับห๊ะ” นางตำหนิออกมาอย่างไม่พอใจ แม้แต่ตาที่ยังลืมไม่ขึ้นเธอก็เชื่อว่าเธอต้องหันไปทางทิศที่เขายืนอยู่ถูกอย่างแน่นอน ก็กลิ่นเหล้าหึ่งแบบนี้ “เจ้าพูดบ้าอันใด” เสียงเย็นชาที่ดูจะไม่พอใจนางเอ่ยตำหนิเสียงดัง “คุณพูดอะไร พูดเหมือนกับคนโบราณ ฉันไม่ตลกด้วยนะ ไปเรียกพยาบาลมาให้ฉันก่อน ฉันหิวน้ำ จะเข้าห้องน้ำด้วย” หว่านหนิงขยี้ตาของเธอ เพื่อให้มันลืมได้เสียที หากต้องรอให้ตาบ้านี่ไปตามพยาบาลมาช่วยเธอ วันนี้เธอก็คงไม่ได้ดื่มน้ำ หรือเข้าห้องน้ำแน่ ภาพตรงหน้าของหว่านหนิงค่อยๆ ปรากฏให้เห็นเลือนราง ก่อนจะชัดเจนขึ้นช้าๆ พอดวงตาของเธอปรับให้สู้แสงแดดที่ส่องเข้ามาได้แล้ว ภาพตรงหน้าก็ทำให้หว่านหนิงตกตะลึงนิ่งงันไปทันที ทั้งสองมองจ้องกันไปมาอย่างไม่ลดละ กว่าที่หว่านหนิงจะรู้สึกตัว บุรุษตรงหน้าก็เดินเข้ามาจับหน้าผากเธอเสียแล้ว “เฮ้ยย” เธอร้องอย่างตกใจ ทั้งถอยหลังไปจนชิดผนังที่อยู่ด้านใน “เจ้าเป็นบ้าอันใดขึ้นมาอีกเล่า” เขามองหว่านหลินอย่างสงสัย “คุณนั่นแหละเป็นใคร แล้วเข้ามาได้ไง ฉะ ฉัน ฉัน...” เธอมองสำรวจห้องที่เธออยู่ไปด้วย “ที่ไหนวะเนี่ย” เธอกรีดร้องออกมาอย่างเสียขวัญ พร้อมทั้งดึงทึ้งผมของตนเองไปด้วย ห้องเก่าๆ ที่ผนังดำเหมือนขึ้นรา เตียงไม้ที่ทำขึ้นมาจากไม้ไผ่ดูไม่แข็งแรง ทั้งยังหมอนหนุนที่คงจะใช้ไม้ทั้งท่อนทำขึ้นมา ไหนจะผ้าห่มที่เหม็นอับจนอยากจะสะบัดทิ้งเสียตอนนี้ คนตรงหน้าก็แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าย้อนยุค เก่าเสียจนคิดว่าห่อด้วยผ้าเช็ดพื้นไว้ ไหนจะหนวดเคราที่รกรุงรังไม่ได้โกนออกให้เรียบร้อยจนดูไม่ออกว่าเขามีอายุเท่าไหร่ “พูดอันใดของเจ้า ข้าฟังไม่รู้เรื่อง หรือว่าตกเขาจนความจำเสื่อมไปเสียแล้ว” เขายิ้มเยาะมองสตรีตรงหน้า หากนางไม่คิดจะหนีออกจากหมู่บ้าน นางจะตกเขาได้อย่างไร คงนึกเสียใจที่แต่งให้เขาจนอยากจะหนีกลับไปที่เมืองหลวง “ตกเขา ฉันถูกรถชนไม่ใช่เหรอ” แววตาที่ทั้งสับสนทั้งหวาดกลัว ทำให้หลี่เฉียงแปลกใจไม่น้อย ซูหว่านหนิง สตรีไร้ยางอาย นางไม่เคยหวาดกลัวสิ่งใดมาก่อน ในตอนแรกที่เขาเห็นว่านางฟื้นขึ้นมาคงได้อ้าปากด่าทอเขา ที่พานางกลับมาอยู่ในที่ที่ซอมซ่ออย่างแน่นอน นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางคิดหนีกลับเมืองหลวง แต่ทุกครั้งนางก็ไปได้ไม่ไกลก็ถูกเขาตามกลับมาได้ ในเมื่อนางอยากแต่งให้เขาก็ต้องทนทุกข์ทรมานไปกับเขาด้วย นางที่เป็นคนหลงใหลในชื่อเสียงเงินทอง ย่อมไม่อาจทนอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้ ที่นางยอมแต่งให้เขาก็เพราะหลี่เฉียงเป็นบุตรชายคนโตของคหบดีหาน พ่อค้าผู้มั่งคั่งในเมืองหลวง หลี่เฉียงแม้จะเป็นบุตรชายคนโต ก็ไม่ได้มีความสำคัญมากนักในตระกูลทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะเขาทำตัวเอง ด้วยมารดาของเขาเสียตั้งแต่เขายังเล็ก บิดาจึงได้แต่งสุ่ยอวี้ ญาติผู้น้องของมารดาตนเข้ามาเป็นภรรยาเพื่อดูแลหลี่เฉียง สุ่ยอวี้ในตอนแรกก็เลี้ยงหลี่เฉียงมาด้วยความรักเช่นบุตรของนาง ถึงอย่างไรเขาก็เป็นหลานชายของนางแท้ๆ แต่เมื่อนางมีบุตรชายของตนเอง ความรักที่มีให้เขาก็แปรเปลี่ยน ต่อหน้าผู้เป็นสามีนางก็รักหลี่เฉียงราวกับบุตรที่นางคลอด แต่พอลับหลังสามีนางสอนหลี่เฉียงให้กลายเป็นคุณชายน้อยผู้ร้ายกาจ ไม่อยากเรียนนางก็ไม่ให้ไปเรียน อยากจะเที่ยวเล่นนางก็ล้วนแต่เห็นดีเห็นงามด้วย ชื่อเสียงของเขาไม่มีผู้ใดพูดถึงในทางที่ดี ทั้งเรื่องสุรา การพนันเข้าล้วนแต่ชื่นชอบทั้งหมด เพียงแต่ไม่เข้าหอคณิกาเท่านั้น เพียงสองสิ่งผู้เป็นบิดาก็เริ่มจะไม่พอใจเขามากแล้ว นางสุ่ยซื่อยังจัดหาหว่านหนิงมาตบแต่งให้เขาด้วยตนเอง ในช่วงแรกนางทั้งอ่อนหวานและอ่อนโยน เพียงแค่เดือนเดียวเท่านั้นความร้ายกาจของนางก็ปรากฏออกมาเรื่อย ๆ หลี่เฉียงกับหว่านหนิงทะเลาะกันแทบจะทุกวัน เพียงแต่งงานกันยังไม่พ้นเดือน สุดท้ายเมื่ออยู่ในเรือนไม่มีความสุขเขาก็แทบจะกินนอนอยู่ที่หอพนันเลยทีเดียว ความอดทนของคหบดีหานหมดลง เมื่อหอพนันนำใบทวงหนี้ก้อนใหญ่มาหาเขาถึงจวน ครั้งนี้เขาถึงจ่ายเงินถึงสองพันตำลึงทอง หากไม่จ่ายบุตรชายก็ต้องถูกตัดมือทิ้ง “อาเฉียง พ่อจะยอมช่วยเจ้าครั้งสุดท้าย หากมีอีกครั้งเจ้าก็ไสหัวออกไปจากตระกูลหานได้เลย!!!” ครั้งนี้ดูเหมือนผู้เป็นบิดาจะได้พูดเล่นๆ เสียแล้ว หลี่เฉียงจำต้องยอมรับปากบิดาของตน เขาเห็นแววตาของบิดาที่เสียใจกับสิ่งที่เขาทำ จึงคิดที่จะกลับเนื้อกลับตัว แต่ก็เพียงแค่ไม่กี่วัน เมื่อนางสุ่ยซื่อที่ต้องการให้เขาถูกขับออกจากตระกูลอยู่แล้วก็สร้างเรื่องให้หลี่เฉียงกับหว่านหนิงทะเลาะกัน พอหลี่เฉียงขาดสติจากเรื่องที่หว่านหนิงนางชวนทะเลาะ สุ่ยซื่อก็เข้ามาทำทีว่าเข้าใจในตัวเขา มอบเงินให้เขาหนึ่งก้อน เพื่อให้ตนเองออกไปหาความสำราญด้านนอก เขาคิดว่าเงินก้อนนี้หากจะได้หรือเสียก็จะขอไปอีกเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แล้วอย่างไรเล่าเขาที่เสียจนมิอาจถอนตัวได้ก็กลายเป็นหนี้อีกครั้ง ถึงแม้ครั้งนี้จะเพียงไม่กี่ร้อยตำลึงเงิน แต่ผู้เป็นบิดากลับไม่ให้โอกาสเขาอีกแล้ว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD