ห้าปีต่อมา
ร่างเล็กๆ ของเด็กหญิงวัยสี่ขวบวิ่งตื๋อเข้ามาหาอุรัสยา แรงดึงที่บริเวณชายผ้ากันเปื้อนสีเข้มของมือขาวเล็กเรียกร้องความสนใจพร้อมกับน้ำเสียงแจ่มใสเจื้อยแจ้วที่เอ่ยขึ้นมาว่า
“คุณแม่ขา หนูกินอันนี้ได้ไหมคะ”
อุรัสยาที่กำลังล้างแก้วอยู่ที่อ่างล้างจานก็ก้มหน้าลงมองตามแรงกระตุก พบว่าเป็นลูกสาวตัวน้อยวัยสี่ขวบซึ่งกำลังช่างพูดได้ที่ของตนเองนั่นแหละ ดวงหน้ากลมที่มีแก้มขาวอมชมพูป่องออกมาน้อยๆ และดวงตาดำจัดเรียวโตคู่สวยซึ่งจ้องเธอตาแป๋ว ริมฝีปากสีชมพูจิ้มลิ้มสีชมพูซึ่งเผยรอยยิ้มกว้างก็ทำให้ใจของคนเป็นแม่อ่อนยวบทันที
“ไหนคะลูก” อุรัสยาก้มลงมองลูกสาวที่เงยหน้ามองเธอขณะที่ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน และพอเห็นว่าเด็กหญิงอนามิกาชูอมยิ้มแท่งขึ้นมาให้เธอดูพร้อมกับทำตาปริบๆ อ้อนวอน อุรัสยาก็ใจอ่อนจนได้ จึงยอมอนุญาตลูกสาวตัวน้อยไปในที่สุด
“น้องอิ๊งอย่ากินเยอะนะคะ ไม่อย่างนั้นจะฟันผุจริงๆ ด้วย”
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็อดกำชับลูกสาวตัวน้อยไม่ได้ ซึ่งเด็กหญิงอนามิกาก็เข้าใจดี เจ้าตัวเล็กรีบฉีกยิ้มอ้อนเอาใจเธออย่างที่ถูกสอนมาพร้อมกับรับคำสั่งเสียงใส
“ได้ค่ะแม่อุ้ม น้องอิ๊งจะไม่กินเยอะค่า น้องอิ๊งขอชิมนิดเดียว”
ถึงจะรู้ว่าไอ้ชิมนิดเดียวนั้นก็คืออมยิ้มหมดแท่งในมือขาวเล็กป้อมข้างนั้น แต่อุรัสยาก็ไม่ได้เปิดโปงอะไรลูกสาว เธอเช็ดมือที่เปียกชื้นกับผ้ากันเปื้อนง่ายๆ แล้วจึงจูงมือเล็กให้ไปนั่งอย่างเรียบร้อยที่โต๊ะมุมหนึ่งของร้าน ซึ่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ใหญ่นี้
“งั้นหนูนั่งตรงนี้ก่อนนะคะ คุณแม่ไปดูแลลูกค้าก่อนนะคะ”
เธอกำชับลูกสาวเสียงเข้มงวด ขณะที่น้องอิ๊งก็ผงกศีรษะกลมรับหงึกๆ อย่างเชื่อฟังเป็นอย่างยิ่ง
“ได้ค่าคุณแม่”
อุรัสยาวางใจแล้วก็หันไปรับออเดอร์ของลูกค้าที่เดินมาถึงหน้าเคาน์เตอร์พอดี ขณะที่เหลือบตามองไปเห็นว่าตีรณาได้เข้ามาพูดคุยเล่นกับลูกสาวของเธอแล้วจึงไว้วางใจแล้วทำงานง่วนตามที่ได้รับออเดอร์มาอย่างแข็งขัน
อุรัสยามองภาพลูกสาวของเธอยิ้มหัวเราะจนเห็นฟันเล็กๆ กับเจ้านายสาวของตนเองแล้วก็อมยิ้มด้วยความรู้สึกสุขใจ รู้สึกว่าตัวเองคิดไม่ผิดที่ตัดสินใจทำอย่างนี้ และมีชีวิตใหม่กับลูกสาวสองคน ใช้ชีวิตเงียบสงบเรียบง่ายกันตามประสาแม่ลูก
หลังจากที่ออกเดินทางจากไร่ภูบดินทร์เมื่อห้าปีที่แล้ว อุรัสยาตัดสินใจไม่กลับไปที่บ้านของพ่ออีก ในเมื่อปีนั้นเธอกับแม่ย้ายออกมาแล้ว หลังจากแม่เสียชีวิต เธอหย่ากับพยัคฆ์ อุรัสยาก็ไม่ได้มีที่ไหนที่จะเรียกว่าบ้านได้อีก แถมตอนเรียนเธอก็มีเพื่อนสนิทน้อยมาก พอจบมาเธอก็แต่งงานไปอยู่กับพยัคฆ์ ทำให้ห่างเหินจากคนอื่นๆ เสียจนกลายเป็นเพียงคนรู้จักเท่านั้น กับเพื่อนที่มีเพียงคนเดียว อีกฝ่ายก็บินไปเรียนต่อที่ประเทศออสเตรเลีย มีเป้าหมายชีวิตจะลงหลักปักฐานที่นั่น อุรัสยาจึงไม่ได้ขอความช่วยเหลืออะไร และไม่ได้บอกใครถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เธอเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ ตัดขาดทุกอย่างจากอดีต มุ่งกลับมาใช้ชีวิตที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นสถานที่ที่เธอคุ้นเคยที่สุดแล้วเพราะอยู่เรียนปริญญาตรีถึงสี่ปี
โชคดีเดียวที่อุรัสยามีก็คือเธอไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน หญิงสาวยอมรับเงินจากพยัคฆ์ในตอนที่เลิกกัน ไม่ได้โอนคืนเขาไปหลังจากที่รู้ว่าตัวเองท้อง เมื่อไปเช็กดูแล้วก็พบว่าเงินนั้นสูงถึงจำนวนเจ็ดหลัก ยังไม่รวมเงินฝากที่แม่ทิ้งไว้ให้ เงินประกันชีวิตของแม่ รวมถึงทรัพย์สินอื่นๆ อีก
พอย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ อุรัสยาตัดสินใจเลือกเช่าคอนโดฯ แห่งหนึ่ง เป็นคอนโดฯ ที่มีระดับ ตั้งอยู่ในทำเลที่ดี เดินทางไปไหนมาไหนสะดวกแต่ก็ยังมีความเงียบสงบ เนื่องจากเธอเล็งแล้วว่าสำหรับชีวิตตัวคนเดียวแถมยังตั้งท้อง การอยู่คอนโดฯ อาจจะปลอดภัยสำหรับเธอมากกว่า และที่เลือกเช่าแทนการซื้อเป็นเพราะเธอเล็งว่าอนาคตหากลูกโตขึ้น เธออาจจะเลือกซื้อบ้านหรือห้องที่กว้างกว่านี้ได้
-------------------------------------------------------
อุรัสยาเริ่มต้นใช้ชีวิตเพียงลำพังและดูแลลูกในท้องอยู่สองเดือน ตอนนั้นเมื่อเริ่มตั้งครรภ์ได้สี่เดือน เธอที่ว่างเสียจนไม่รู้จะทำอะไร จึงไปลงเรียนที่สถาบันสอนทำอาหารซึ่งอยู่ไม่ไกลจากคอนโดฯ ของตนเอง กระทั่งได้รู้จักกับห้องข้างๆ ซึ่งกลายมาเป็นเจ้านายคนปัจจุบันของเธอ อีกฝ่ายในยามนั้นถูกคอกันดีเพราะบังเอิญลงเรียนคอร์สทำอาหารคอร์สเดียวกัน แถมยังอยู่ห้องตรงกันข้าม ไปๆ มาๆ ตีรณาจึงชวนให้อุรัสยามาทำงานด้วยกัน ซึ่งตีรณาได้เปิดร้านคาเฟ่แห่งหนึ่งไม่ไกลจากโรงเรียนมีชื่อมากนัก
นอกจากนี้บริเวณร้านคาเฟ่ยังมีหมู่บ้านและคอนโดมิเนียมละแวกเดียวกัน จึงทำให้มีลูกค้ามากมาย อุรัสยายอมตกลงเพราะดีกว่าให้เธออยู่ว่างๆ แถมตีรณาก็ดีต่อเธอมาก เห็นว่าเธอตั้งท้องเพียงลำพังก็คอยดูแลช่วยเหลือทุกอย่าง เธอจึงยินดีช่วยงานตีรณาอย่างเต็มที่ กระทั่งอุรัสยาคลอด ต้องลาออกไปเลี้ยงลูกอยู่ช่วงหนึ่ง พอลูกเริ่มโตขึ้น ตีรณายังใจดีให้เธอสามารถเอาลูกมาเลี้ยงที่ร้านได้ แบ่งห้องพักผ่อนไว้ให้อุรัสยาคอยปลีกตัวไปดูแลลูก รวมถึงช่วงที่เธอทำงานหน้าร้าน ตีรณายังอาสาดูแลให้เป็นบางครั้งสลับกับพี่เลี้ยงที่จ้างมาอีด้วย
กระทั่งลูกสาวของอุรัสยาอายุพอจะเข้าเรียนชั้นเตรียมอนุบาลได้แล้ว และอุรัสยาเตรียมจะย้ายมาอยู่ที่ใหม่ ซึ่งตั้งใจจะหาบ้านหรือคอนโดฯ ที่ไม่ไกลจากโรงเรียนของลูกและร้านคาเฟ่ซึ่งเป็นที่ทำงาน ตีรณาซึ่งพอรู้เช่นนั้นก็เสนอให้เช่าชั้นบนซึ่งเป็นห้องว่างอยู่ ตกแต่งไว้สำหรับอยู่อาศัยแต่ตีรณาแทบไม่เคยอยู่เลยให้อุรัสยาเช่าในราคาที่ถูกลง กระทั่งอุรัสยายอมตกลงเนื่องจากโรงเรียนที่เธอส่งลูกสาวเข้าเรียนนั้นก็คือโรงเรียนไม่ไกลจากคาเฟ่แห่งนี้ เธอสามารถเดินไปรับส่งลูกได้อย่างสะดวกสบาย ไม่มีปัญหาเรื่องการเดินทางอีกต่อไป
บางครั้งบางคราว อุรัสยานึกขอบคุณเสมอที่เธอมีลูกสาวคนนี้ น้องอิ๊งทำให้เธอเลิกฟุ้งซ่านคิดมากเรื่องของพยัคฆ์หรือเรื่องอื่นๆ ชีวิตของเธอได้ทุ่มเทและโฟกัสที่ลูกสาวตัวน้อยคนเดียวเท่านั้น แม้แรกเริ่มที่มาใช้ชีวิตคนเดียว อุรัสยาจะแอบนอนร้องไห้ทุกคืน ทั้งเจ็บปวดใจ ทั้งนอยด์กับตัวเองไปสารพัด เธอน้อยใจโชคชะตาจนบางครั้งแทบไม่นึกอยากอยู่ ความเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายและจิตใจในยามตั้งครรภ์นั้นไม่ใช่เรื่องที่จะรับมือได้ง่ายๆ เพียงลำพัง ในความโชคร้ายของชีวิตเธอ ก็มีโชคดีที่เธอได้รู้จักกับตีรณาที่คอยห่วงใยอยู่เป็นเพื่อน และไม่เคยทำให้เธอลำบากใจ รวมถึงลูกสาวตัวน้อยที่ยิ่งเติบโตก็ยิ่งทำให้เธอมีความสุขมากขึ้น
เธอเคยไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ถึงทนอยู่กับพ่อต่อไป ทั้งๆ ที่ถูกทรมานใจอยู่อย่างนั้น ยอมให้คนบ้านใหญ่กดขี่ข่มเหง ทำร้ายจิตใจแม่เธอสารพัด กระทั่งมีลูกเองเธอถึงได้รู้ และนึกขอบคุณเสมอที่แม่อดทนเพื่อเธอมาโดยตลอด และเธอไม่เคยเสียใจเลยที่ตอนนั้นเลือกจะหาทางออกจากบ้านนั้นแบบโง่ๆ ด้วยการยอมแต่งงานกับพยัคฆ์ทั้งๆ ที่เขาไม่รักเธอ
ทว่าห้าปีผ่านมาแล้ว...ผ่านมานานถึงขนาดนี้ ในเวลานี้ใจของเธอที่เคยเจ็บช้ำ อุรัสยาคิดว่าตอนนี้เธอน่าจะดีขึ้นมากแล้วจริงๆ
แม้จะไม่ลืมพยัคฆ์จนสนิทใจ แต่เธอก็แทบจะไม่เจ็บอีกแล้วในตอนที่คิดถึงเขา หรือตอนที่มองหน้าลูกแล้วเห็นเค้าของเขาอยู่บนใบหน้าเล็กๆ น่ารักนั้น
เพราะสำหรับอุรัสยาแล้ว...ลูกสาวตัวน้อยอย่างอนามิกาต่างหากจึงจะเป็นคนที่เธอจะรักและทุ่มเทให้ตลอดชีวิตนี้
ไม่ใช่พยัคฆ์...
...ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว