[หิรัญ Talk]
ผัดกะเพราฝีมือแม่วางอยู่บนโต๊ะพร้อมกับข้าวสวยร้อน ๆ ทั้งที่ตั้งใจจะกลับไปกินข้าวที่บ้าน แต่พ่อก็ยังอุตส่าห์เอาอาหารมาส่งถึงที่ ผมเลยกะว่าจะกินข้าวให้อิ่มแล้วเอาเครื่องซักผ้าไปซ่อมสักหน่อย ไม่รู้ว่าเป็นอะไร จู่ ๆ มันก็ใช้งานไม่ได้ น่าจะเป็นเพราะระบบด้านในตัวเครื่อง
“หิรัญ อยู่บ่!” (หิรัญ อยู่ไหม)
มือที่กำลังตักข้าวยัดใส่ปากหยุดชะงัก ก่อนจะชะเง้อคอมองออกไปนอกสำนัก ถึงได้เห็นว่าคนที่มาตะโกนเรียกแต่เช้าแบบนี้ คือลุงหมาย พ่อยัยชบาเด็กแสบนั่นแหละ ครอบครัวนี้มาเยือนผมทีไร มีแต่เรื่องให้ปวดหัวทุกที เฮ้ออ
“ว่าจังได๋ครับ” (ว่าไงครับ)
สุดท้ายผมต้องยอมวางช้อนลงใส่จาน ทั้งที่ยังไม่ยัดข้าวสักเม็ดลงใส่ท้องเลย
“ซอยลูกลุงแน มันถืกผีเข้าอีกแล้ว” (ช่วยลูกลุงด้วย มันถูกผีเข้าอีกแล้ว)
ว่าแล้วเชียว ยัยเด็กชบามันสร้างเรื่องอีกจนได้
“บ่มีหยังดอก ให้ปลัดกลับบ้านผีกะออกแล้ว” (ไม่มีอะไรหรอก ให้ปลัดกลับบ้านผีก็ออกแล้ว)
จะหาว่าผมทิ้งปัญหาไปง่าย ๆ ก็ได้นะ เพราะผมทำแบบนั้นจริง ๆ ก็ในเมื่อผมพยายามเข้าไปช่วยแล้ว แต่ยัยเด็กนั่นเอาแต่สร้างเรื่อง ปั้นน้ำเป็นตัวอยู่ไม่เลิก มันไม่ใช่เรื่องเลยที่ผมจะเอาตัวเองเข้าไปวุ่นวายให้เสียสุขภาพจิต
“ปลัดบ่ได้มา ตื่นเซ่ามามันกะถืกผีเข้าแล้ว” (ปลัดไม่ได้มา ตื่นขึ้นมามันก็ถูกผีเข้าแล้ว)
“จังซั่นกะถามมันเบิ่ง มันอยากได้หยัง” (ถ้างั้นก็ถามมันดู มันอยากได้อะไร)
คงเป็นโรคเอาแต่ใจอีกตามเคยนั่นแหละ เด็กนิสัยไม่ดี เกิดเป็นลูกหลานกูนะ จะตีให้ตายคืนเลย
“ถามเบิ่งแล้ว มันว่าอยากเอาอีชบาไปอยู่นำ ไปเบิ่งให้ลุงแนจักคาว” (ถามแล้ว มันบอกอยากได้อีชบาไปอยู่ด้วย ไปดูให้ลุงหน่อยนะ)
ทั้งที่พยายามไม่ใจอ่อน แต่พอถูกรบเร้า ผมก็เป็นแบบนี้ทุกที สงสัยได้เลือดแม่มาเยอะไปหน่อย เพราะถ้าเป็นเลือดพ่อ เขาคงไม่มีทางอ่อนข้อและยอมไปอีกแน่
“อืม ๆ ไปกะไป” (อืม ๆ ไปก็ไป)
ผมเตรียมใจเอาไว้แล้วว่าต้องไปพบกับความแสบซนของยัยเด็กชบาอีกเช่นเคย จึงไม่ได้เตรียมอะไรติดตัวไปสักชิ้น แต่พอนั่งรถมาถึงบ้านของลุงหมาย ความผิดปกติบางอย่างก็ทำให้ผมเกิดความสงสัย
“กลิ่นผีพรายหนิ?”
ทำไมบ้านหลังนี้ถึงมีผีพรายของผู้มีอาคมได้ล่ะ เกิดอะไรขึ้น
“อยู่เทิงเฮือน” (อยู่บนบ้าน)
ลุงหมายรีบวิ่งนำขึ้นไปบนบ้าน โดยมีผมที่เดินตามไปติด ๆ แต่ยิ่งเดินขึ้นมา ก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงกลุ่มวิญญาณชั่วร้ายที่จับตัวกันอยู่บริเวณนี้ จนกระทั่งเดินมาถึงห้องที่อยู่ริมสุด คาดเดาว่าคงเป็นห้องของนังชบา
ประตูห้องถูกเปิดอ้าเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เดินมาถึงทางเข้า ผมก็เห็นทั้งป้าหวาและบัวนั่งน้ำตาซึมอยู่ข้างเตียง มุมซ้ายของขาเตียงด้านล่างมีผู้หญิงที่ถูกกล่าวหาว่าถูกผีเข้ากำลังก้มหน้านิ่ง มือสองข้างถูกจับมัดไพล่หลังใส่กับขาเตียงไว้แน่น สภาพของเธอไม่ได้ต่างไปจากรอบก่อนนัก เว้นเสียแต่รอบนี้มีวิญญาณชั่วร้ายสิงอยู่ในร่างของเธอจริง ๆ
“ออกไปก่อน”
ผมออกคำสั่งเสียงเรียบ ทุกคนก็รีบทำตามอย่างว่าง่าย และไม่ลืมที่จะปิดประตูไว้ให้ผมด้วย
“มึงเป็นใคร”
“หึ ๆ ๆ”
เสียงกลั้วขำในลำคอช่างเย็นยะเยือก แต่ไม่มีประโยคไหนตอบกลับมาเลย ผมจึงต้องเดินไปย่อตัวลงนั่งตรงหน้าคนตัวเล็ก ก่อนจะใช้มือหนาขยำกำเส้นผมให้อีกฝ่ายเชิดหน้าขึ้น เผยให้เห็นแววตาที่แข็งกร้าว และความหม่นหมองบนใบหน้าเนียนสวยไร้ที่ตินี้
“กูให้โอกาสมึงครั้งเดียว จะออกไม่ออก”
“กูบ่ออก! ฮ่า ๆ ๆ กูสิเอามันไปอยู่นำ” (กูไม่ออก กูจะเอามันไปอยู่ด้วย)
เสียงหัวเราะดังสนั่นจนคับห้องบ่งบอกถึงความดื้อด้านของผีร้ายที่สิงอยู่ในกายนี้
ดูท่ามันคงไม่ยอมออกง่าย ๆ ผมคงต้องได้ลงมือจริง ๆ แล้ว
“นะโมพุทธายะ มะพะ ทะนะ กะ สะ จะ...”
ปลายนิ้วโป้งทาบกดลงที่หน้าผากขาวผ่อง ก่อนจะเริ่มบริกรรมคาถาเสียงพึมพำ เพียงไม่นานร่างของนังชบาก็เริ่มมีอาการ มันดิ้นขลุกขลักพยายามจะหลุดหนี ปากก็ตะโกนด่าทอผมไปด้วย
“กรี๊ดด! ปล่อยกู มึงอยากตายเบาะ หึ! กูเอามึงแท้” (กรี๊ดด ปล่อยกู มึงอยากตายใช่ไหม หึ! กูเอามึงแน่)
ผมไม่ไขว้เขวไปกับเสียงที่สวนเข้ามา ซ้ำยังกดนิ้วใส่หน้าผากแน่นขึ้นจนคนถูกกระทำเริ่มตาเหลือกลาน ในที่สุดควันสีดำก็ลอยคลุ้งออกมาจากร่างเล็ก แต่ยังคงวนเวียนอยู่ไม่ไปไหน
“แม่ง! ไม่ได้พกอะไรมาสักอย่าง”
ใครจะไปคาดคิดว่ารอบนี้นังชบามันจะถูกผีเข้าจริง ๆ ถ้าเป็นแบบนี้ ไอ้ผีร้ายมันได้กลับเข้าร่างอีกแน่
ผมนั่งคิดหาทางออกอยู่สักพัก ก่อนจะตัดสินใจปลดเชือกที่มัดมือนังชบาออก จากนั้นก็อุ้มร่างผอมบางออกมาจากห้อง ทุกคนที่ตั้งตารอก็รีบกรูเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วงทันที
“เป็นยังไงบ้างคะพ่อหมอ”
บัวที่มีสีหน้าเคร่งเครียดถามออกมาอย่างร้อนใจ
“คงต้องกลับไปทำพิธีต่อที่สำนัก ตอนนี้วิญญาณนังชบามันหลุดออกจากร่างไปแล้ว วิญญาณตนนั้นก็รอแต่จะสวมเข้าร่างมันอีก”
“ปะ ๆ จังซั่นกะฟ่าวไป” (ไป ๆ งั้นก็รีบไป)
ลุงหมายรีบวิ่งนำมายังรถมอเตอร์ไซค์คันเก่า โดยที่มีผมนั่งซ้อนท้าย และชบานั่งคั่นกลาง ระหว่างทางทุลักทุเลอยู่ไม่น้อย และผมต้องคอยสวดเรียกวิญญาณนังชบาให้ตามมาด้วย จนกระทั่งมาถึงสำนักในที่สุด
“ถ่าอยู่นี่ก่อน” (รออยู่นี่ก่อน)
ผมช้อนตัวร่างผอมบางขึ้นอุ้มเข้าไปในสำนัก ก่อนจะวางเธอลงยังจุดทำพิธี สายสิญจน์ที่เตรียมเอาไว้ถูกพันระโยงระยางไปทั่วทั้งสี่มุม จากนั้นก็เริ่มทำพิธีอัญเชิญวิญณาณกลับเข้าร่าง
กลิ่นควันธูปเริ่มลอยโขมงไปทั่วสำนัก ทั้งกลิ่นวิญญาณลอยคลุ้งตลบไปหมด จนผมแยกไม่ออกว่าอันไหนวิญญาณนังชบา และอันไหนคือวิญญาณที่แฝงมาด้วย
“ชบา กลับเข้าร่าง”
“พ่อหมอ ฉันเข้าร่างไม่ได้ ฮืออ”
“พ่อหมอ ช่วยฉันด้วย”
“กูไม่กลับ ฮ่า ๆ ๆ”
เสียงที่แทรกเข้ามาทำให้ผมเสียสมาธิ จึงต้องเพ่งจิตอีกรอบแล้วกระชากวิญญาณของนังชบากลับเข้าร่าง ตามจริงถ้าถึงขั้นตอนนี้ นังชบามันควรจะตื่นขึ้นมาได้แล้ว น่าแปลกที่ตอนนี้มันยังเอาแต่นอนแน่นิ่งไม่ไหวติง ไม่เคยเจอใครเป็นแบบนี้เลยแฮะ สงสัยผมคงต้องหาตัวช่วย
นึกขึ้นได้ก็รีบเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก ถือสายรอเพียงไม่นานปลายสายก็กดรับ
“ว่าไง”
“พ่อ มาที่สำนักหน่อย มีเรื่องให้ช่วย”