“สิเฮ็ดของใส่ไผ” (จะทำของใส่ใคร)
“ใส่คนนี้จ้ะพ่อหมอ”
รูปภาพของปลัดถูกยื่นส่งให้กับชายผิวดำคล้ำ รอบเขตสำนักดูอึมครึมน่ากลัว ต่างจากสำนักของพ่อหมอหิรัญลิบลับ แถมยัง... รู้สึกขนลุกตลอดเวลา ราวกับมีอีกเกือบสิบสายตาที่จ้องมองฉันอยู่ ทั้งที่ตอนนี้ ฉันอยู่บนสำนักกับพ่อหมอผาน และลูกศิษย์ของเขาอีกสองคน
“มึงมั่นใจแล้วแมนบ่ ว่าสิเฮ็ด” (มึงมั่นใจใช่ไหมว่าจะทำ)
“มั่นใจจ้ะ”
ฉันพยักหน้าระรัว ก่อนจะยื่นเงินที่เต็มไปด้วยธนบัตรสีเขียวสลับแดงส่งให้กับชายตรงหน้า นี่คือเงินที่ฉันอดออมมาตั้งแต่ปีที่แล้ว หากแผนนี้ไม่สำเร็จ ฉันคงไม่ต่างไปจากคนที่ทำเงินหายแน่
“เอาปางตาย แต่บ่ฮอดตายแมนบ่” (เอาปางตาย แต่ไม่ถึงตายใช่ไหม)
“ใช่จ้ะ”
“สิให้เอาผีไปหลอกมันนำติ” (จะให้เอาผีไปหลอกมันด้วยเหรอ)
ฉันพยักหน้าระรัวแทนคำตอบ ในขณะที่จ้องมองคนตรงหน้าส่งเงินให้กับลูกศิษย์ของเขาที่นั่งข้าง ๆ นับ พอนับเสร็จ พวกเขาก็ส่งสัญญาณให้กันผ่านสายตา เดาไม่ออกเลยว่าหมายถึงอะไร
“คันสิให้ส่งผีไปหลอกนำ เงินบ่พอดอก” (ถ้าจะให้ส่งผีไปหลอกด้วย ไม่พอหรอก)
“เอ้า! ที่ให้ไปก็เยอะมากเลยนะ”
“หลายมันกะบ่พอ มึงสิตื่มเงิน ฮึสิเอาแค่เล่นของใส่” (เยอะก็ไม่พอ มึงจะเพิ่มเงิน หรือจะเอาแค่เล่นของใส่)
ฉันเม้มปากแน่นอย่างครุ่นคิดเพราะต้องวางแผนใหม่ ถ้าไม่สามารถที่จะส่งผีไปกดดันได้ งั้นก็คงต้องเอาแค่เล่นของนี่แหละ เอาให้ป่วยหนัก แล้วฉันจะหาทางพาเขามาสำนัก จากนั้นถึงจะให้พ่อหมอบอกเขาอีกทีว่าอย่ามายุ่งกับครอบครัวฉัน ไม่งั้นเจ้าที่เจ้าทางจะเอาถึงตาย
“ถ้างั้นเอาแค่เล่นของใส่ก็ได้ เห็นผลวันไหนพ่อหมอ”
“มื่อแลงนี่ล่ะ” (ตอนเย็นนี้แหละ)
“เอาแค่ป่วยหนักพอนะ อย่าให้ตายนะพ่อหมอ”
“เออ กูฮู่แล้ว” (เออ กูรู้แล้ว)
เมื่อวางเงินเสร็จ ฉันก็ออกมาจากสำนักแล้วรีบกลับเข้าบ้านก่อนที่คนอื่น ๆ จะสงสัย เพราะตอนนี้พระอาทิตย์ก็ใกล้จะตกดินแล้ว
“ไปไหนมาเหรอชบา”
พี่บัวเอ่ยทักท้วงเป็นคนแรก เมื่อมองเห็นฉันปั่นจักรยานคันเก่ากลับเข้ามาใต้ถุนบ้าน
“ไปเล่นกับเพื่อนแถวนี้แหละ ทำอะไรกินเหรอพี่บัว”
“นึ่งปลาน่ะ มาช่วยพี่เตรียมกับข้าวหน่อยนะ เย็นนี้คุณปลัดเขาจะมากินข้าวด้วย”
“เหรอ... แล้วเขาจะมาตอนไหนล่ะ”
ฉันถามอย่างไม่ยี่หระ พยายามเก็บซ่อนความตื่นเต้นที่กำลังปะทุ
“ประชุมเสร็จก็น่าจะมาเลยมั้ง มาถึงก็คงทุ่มกว่า ๆ”
ทุ่มกว่า ๆ ตอนนั้นก็คงจะมีอาการบ้างแล้ว แต่จะเป็นอาการยังไงนะ ฉันก็ไม่เคยรู้เรื่องแบบนี้ด้วยสิ
“มาช่วยพี่ล้างผักหน่อยสิ เสร็จแล้วเอาใส่กะละมังใบนี้ไว้นะ”
ฉันทำตามคำสั่งของพี่บัวทันที ระหว่างนี้ก็พยายามไม่พูด ไม่หลุดพิรุธอะไรออกมา เอาแต่นั่งนิ่งรอฟังข่าวว่าปลัดจะมาได้หรือเปล่า จนกระทั่งเวลาเกือบเข้าหนึ่งทุ่ม จู่ ๆ โทรศัพท์ของพ่อก็มีสายเรียกเข้าดังเข้ามา
“ฮัลโหล ว่าจังได๋ครับปลัด” (ฮัลโหล ว่ายังไงเหรอครับปลัด)
เสียงคุยโทรศัพท์ของพ่อดังพอสมควร ถึงขนาดที่ฉันไม่ต้องเอียงหูฟัง ก็รู้ได้ว่าพวกเขาพูดคุยอะไรกันอยู่
“เอ้า เป็นแฮงบ่ล่ะ” (เอ้า เป็นหนักหรือเปล่า)
น้ำเสียงของพ่อเปลี่ยนไปกะทันหัน แน่นอนว่าสิ่งที่เขาได้ฟังจากปลายสายต้องไม่ใช่เรื่องที่ดี ถ้างั้นก็หมายความว่าปลัดวสันคงได้เจอดีเข้าแล้ว ทั้งที่ฉันควรตื่นเต้นดีใจที่ได้ผลไว แต่ไม่รู้ทำไมมันถึงมีความรู้สึกบางอย่างผุดขึ้นมา
นี่ฉันทำถูกต้องแล้วใช่ไหม?
“บ่เป็นหยังครับ จังมามื่อหน้ากะได้” (ไม่เป็นไรครับ ค่อยมาวันหลังก็ได้)
พูดคุยอยู่ไม่นานพ่อก็กดวางสาย เป็นจังหวะที่แม่เดินเข้ามาถามพอดี
“เป็นหยังล่ะเฒ่า เลาว่าจังได๋” (เป็นไงบ้าง ปลัดเขาว่ายังไง)
“เลาว่าเจ็บท้องแฮง คึสิมาบ่ได้แล้วล่ะ” (ปลัดบอกว่าปวดท้องมาก คงมาไม่ได้แล้วล่ะ)
ทุกประโยคไหลเข้าหูฉันโดยอัตโนมัติ ทั้งที่ฉันควรตื่นเต้นดีใจที่ได้ผล แต่ตอนนี้กลับกังวลขึ้นมาดื้อ ๆ
“ชบา”
ฉันสะดุ้งจนตัวโยน เพราะถูกพี่บัววางมือลงหัวไหล่อย่างไม่ทันตั้งหลัก พลันสีหน้าเจื่อนขึ้นมาทันที
“เป็นอะไรเนี่ย”
“ปะ เปล่า”
ฉันส่ายหน้าระรัวจนผมกระจาย หัวใจยังสั่นไหวรุนแรง กลัวว่าสิ่งที่ทำลงไปจะถูกจับได้ หรือเกิดอะไรร้ายแรงขึ้นกว่าที่ต้องการ
“ไปยกกับข้าวช่วยพี่หน่อย จะได้กินข้าวกัน”
“จ้า”
ตั้งแต่เกิดมา ฉันแทบไม่เคยสลดกับสิ่งที่ทำเลยสักครั้ง แต่ครั้งนี้ ทำไมถึงได้รู้สึกประหม่านัก ถึงขนาดที่สูญเสียการเป็นตัวเอง เอาแต่เงียบปากไม่ยอมพูดจาใด ๆ ในระหว่างนั่งกินข้าว
“วังแลงผู้ใหญ่บ้านเพินมาเฮ็ดหยัง” (ตอนเย็นผู้ใหญ่บ้านมาทำไมเหรอ)
“มาบอกให้เจ้าไปตรวจเยี่ยวหาสารเสพติด มื่ออื่นตอน 9 โมงเด้อ อยู่ศาลากลางบ้านนั่นล่ะ” (มาบอกให้พี่ไปตรวจฉี่หาสารเสพติด พรุ่งนี้ตอน 9 โมงนะ อยู่ศาลากลางบ้าน)
“เอ้า คือสิได้ตรวจ” (เอ้า ทำไมต้องตรวจ)
สองสามีภรรยานั่งคุยกันระหว่างกินข้าว ส่วนฉันกับพี่บัวก็เอาแต่นั่งกินอยู่เงียบ ๆ ไม่พูดไม่จา
“สารวัตรทิศเพินลงพื้นที่ตั้ว เพินสิกวาดออกให้เบิด หมู่บ้านเฮาสิบ่ให้มีย***าเลยเพินว่า” (สารวัตรทิศแกลงพื้นที่ แกจะกวาดออกให้หมด หมู่บ้านเราจะไม่ให้มียาเสพติดเลย)
“สิเฮ็ดได้แท้บ่ล่ะ” (จะทำได้จริงเหรอ)
“กะลองเบิ่ง สารวัตรทิศเลากะบ่แมนธรรมดาเนาะ” (ก็ลองดู สารวัตรทิศแกก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน)
พี่บัวที่นิ่งไปนาน จู่ ๆ ก็เอ่ยถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ
“พี่ทิศ ลูกน้านาวเหรอแม่”
“แมน” (ใช่)
วันนี้ฉันนิ่งกว่าปกติ ถึงได้เห็นสายตาวูบไหวของพี่บัว อย่าบอกนะว่าผ่านไปตั้งหลายปีแล้ว พี่บัวยังลืมพี่ทิศไม่ได้อีก...
“เห็นว่าย้ายมาประจำการอยู่นี่เลยเด้ ดีคือกันล่ะ สุมเมายามันจังบ่กล้าออกอาละวาดอีก” (เห็นว่าย้ายมาประจำอยู่นี่เลยนะ ดีเหมือนกันแหละ พวกเมายาจะได้ไม่ออกอาละวาดอีก)
ทั้งสองยังคงพูดคุยและยกยอถึงสารวัตรทิศไม่เลิก จนพี่บัวต้องแกล้งทำเป็นกินข้าวอิ่มแล้วแยกออกไปก่อน น่าสงสารจัง รักกับอีกคน แต่ต้องแต่งกับอีกคน รอหน่อยนะพี่บัว ถ้าแผนนี้สมหวัง ฉันจะหาทางเอาสารวัตรทิศมาประเคนให้พี่เอง