[ชบา Talk]
ภายใต้ความแสบซนที่ใครต่างก็เอือมระอา มักจะมีเหตุผลของการกระทำซ่อนไว้อยู่ ฉันไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศบอกให้ใครรู้เลย เพราะบางสิ่งบางอย่าง มันก็ละเอียดอ่อนเกินกว่าที่ใครจะเข้าใจ...
ก๊อก ๆ
ประตูที่ถูกเปิดอ้าถูกเคาะเสียงดังลั่น นั่นเพียงเพราะต้องการส่งสัญญาณบอกคนภายในว่าฉันได้มาหาตามที่นัดหมายกันไว้แล้ว
“มึงช้าไป 5 นาที”
คนร่างสูงแหงนมองที่นาฬิกา ก่อนจะหันมาเอ่ยกับฉันเสียงราบเรียบอย่างที่ชอบทำ
“นี่ก็รีบสุด ๆ แล้ว กว่าฉันจะหนีพ่อออกมาได้ แล้วสรุปยังไง เรียกฉันออกมาหา อยากให้ทำอะไร”
“ก็ทำอย่างที่มึงบอกไง ซักผ้า ถูบ้าน ล้างจาน ทำกับข้าว มึงเป็นคนเสนอให้กูเองไม่ใช่เหรอ”
ไอ้ตอนเสนอมันก็ไม่ทันได้คิดอะไรหรอก แต่พอตอนชดใช้กรรมดันนึกขี้เกียจนี่สิ ไม่น่าเลยอีชบาเอ๊ย หาเรื่องให้ตัวเองลำบากแท้ ๆ
“ไม่ต้องมาทำหน้าแบบนี้”
ตุบ!
“อุ๊ย!”
ฉันเกือบคว้ามือรับถุงผงซักฟอกขนาดใหญ่ที่อีกฝ่ายโยนส่งให้ไม่ทัน จะใช้ก็ใช้ดี ๆ สิ! ทำไมต้องมาทำเสียงเข้มออกคำสั่ง ไม่รู้หรือไงว่ามันน่าหมั่นไส้
“แล้วไหนเสื้อผ้าล่ะ?”
“โน่น”
เขาบุ้ยหน้าส่งไปยังข้างบ้านที่มีเสื้อผ้ากองอยู่ ทว่า...มันกลับพูนสูงจนล้นกะละมังใบใหญ่ออกมาถึงสามเท่า ไหนจะตะกร้าด้านข้างอีก ทั้งปลอกหมอน ที่นอน และมุ้ง นี่รื้อผ้าทั้งหมู่บ้านออกมาให้ฉันซักเลยหรือไง
“โห! ให้ซักหมดนี่น่ะเหรอ”
“อืม”
“ฉันซักไม่ไหวหรอก ขนมาทำไมเยอะแยะ ตั้งใจจะแกล้งกันหรือไง”
สองมือเท้าเอวจ้องมองร่างสูงโปร่งที่เดินเข้ามาชิดตอนไหนก็ไม่อาจทราบได้ รู้แค่เพียงเขาตัวสูงมาก มากจนฉันต้องแหงนหน้ามอง
“มึงจะไม่ซักก็ได้นะ กูจะได้ไปบอกพ่อมึงว่าเมื่อวานมึงแกล้งผีเข้า”
“...”
อย่าเชียวนะ! ถ้าพ่อรู้ฉันได้ถูกตีจนตายคืนแน่นอน
“ว่าไง จะซักไม่ซัก”
“จิ๊! ซักสิ ฉันไม่ใช่คนกลืนคำพูดตัวเองนะ พูดคำไหนคำนั้นอยู่แล้ว”
“ก็ดี”
เขาตอบกลับเพียงสั้น ๆ แล้วหันหลังเดินกลับเข้าบ้าน ปล่อยให้ฉันจัดการกับเสื้อผ้ากองโตอยู่ตรงหน้า
“ปากพาลำบากจริง ๆ เลย”
ฉันพ่นลมหายใจออกปากอย่างเซ็ง ๆ ก่อนจะเดินกระทืบเท้าไปยังกองเสื้อผ้าที่หนาพูนเป็นชั้น จากนั้นก็จัดการซักผ้าอย่างไม่เต็มใจ
“แล้วผ้าห่มจะหนักอะไรขนาดนี้เนี่ย!”
ผ้าผืนใหญ่ที่จุ่มลงน้ำดูดซับเอาของเหลวเข้าเนื้อผ้าอย่างรวดเร็ว จนมันหนักอึ้ง พยายามจะใช้แปลงถางถูแต่ยังเก้ ๆ กัง ๆ ฉันจึงต้องถอดรองเท้าแล้วลงไปกระโดดย่ำอยู่ในกะละมังสีดำใบใหญ่
“แบบนี้ค่อยสบายขึ้นมาหน่อย”
เมื่อรู้วิธีว่าซักยังไงให้เร็ว ฉันก็ไม่รีรอ รีบหยิบผ้าเข้าใส่กะละมังแล้วย่างเท้าเหยียบอยู่ในกะละมังจนมั่นใจว่าน่าจะใช้ได้แล้ว ถึงได้แบกผ้าหนัก ๆ ใส่กะละมังอีกใบ ก่อนจะหอบไปตากที่ราวหลังสำนักอย่างทุลักทุเล
“อยู่บ้านยังไม่เคยซักผ้าเยอะขนาดนี้เลย เวรกรรมอะไรของอีชบาเนี่ย”
ซักไปก็บ่นไปจนในที่สุดก็ซักเสร็จ ถึงได้เดินซกเหงื่อมาเรียกพ่อหมออยู่ด้านหน้าประตู
“ซักเสร็จแล้วพ่อหมอ กลับบ้านก่อนนะ”
กว่าจะเสร็จก็ปาไปเกือบเที่ยง ทั้งหิวทั้งเหนื่อยจนมือสั่นไปหมดแล้วเนี่ย
“กูบอกตอนไหนว่าจะให้มึงกลับ”
“อ้าว?”
นี่ยังใช้แรงงานฉันไม่พออีกเหรอ จะอะไรกับฉันอีก แค่นี้ก็ลิ้นห้อยแทบจะลมจับอยู่แล้ว
“มากวาดบ้าน ถูบ้าน แล้วก็ล้างจานให้กูด้วย”
“ฮะ! บ้าหรือไงพ่อหมอ ฉันไม่ใช่คนใช้พ่อหมอนะ”
“แต่มึงรับปากกูแล้ว”
เขารีบสวนกลับมาด้วยท่าทางจริงจัง แล้วไอ้ฉันก็ดันเป็นคนยื่นข้อเสนอให้เขาเองด้วยสิ ฮืออ อยากตบปากตัวเองชะมัด ต่อไปนี้จะพูดอะไรต้องคิดให้เยอะ ๆ แล้ว
“ยืนบื้ออยู่ทำไม นั่นไม้กวาด”
“รู้แล้ว!”
ฉันหน้ายุ่ง เดินกระฟืดกระฟาดไปหยิบเอาไม้กวาดด้วยท่าทางฉุนเฉียว ก่อนจะเริ่มกวาดพื้นด้วยความไม่เต็มใจ
“กวาดดี ๆ ถ้าไม่สะอาดกูให้มึงกวาดใหม่แน่”
เมื่อกี้ยังดีที่ไม่มีเขาคอยออกคำสั่ง แต่ตอนนี้สิ! ฉันต้องมากดดันเพราะพ่อหมอหิรัญไม่วางตาไปจากฉันเลย เอาแต่นั่งกอดอกมองดูนิ่ง ๆ ปลายนิ้วก็ชี้สั่งให้กวาดมุมนั้นมุมนี้จนพื้นสะอาด แต่นั่นยังไม่พอใจ เขาสั่งให้ฉันไปหยิบไม้ถูพื้นที่หลังบ้านขึ้นมาถู จังหวะนี้แหละ... ฉันถึงได้เห็นว่าหลังบ้านมีเครื่องซักผ้า!
“พ่อหมอ หลังบ้านก็มีเครื่องซักผ้านี่”
ฉันเดินหน้าตั้งเข้ามาหาอีกฝ่าย ในมือก็ถือไม้ถูพื้นชุ่มน้ำเอาไว้
“แล้ว?”
เขาถามเสียงราบเรียบ
“แล้วทำไมถึงให้ฉันซักมือ?”
“กูไม่ได้บอกมึงนี่ว่าให้ซักมือ มึงซักของมึงเอง”
“...”
วะ ว่าไงนะ พูดอย่างนี้ก็ได้เหรอวะ ไอ้พ่อหมอเจ้าเล่ห์นิสัยเสีย! ฉันแทบกรีดร้องออกมาด้วยความกริ้วโกรธ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะแกล้งกันได้ถึงขนาดนี้
“มองหน้ากูทำไม ถูบ้านสิ”
ฉันกัดฟันกรอด โมโหจนตัวสั่น แต่ทำอะไรไม่ได้จริง ๆ นอกจากก้มหน้าก้มตาถูบ้านให้มันเสร็จ ๆ จากนั้นถึงได้เดินมาหลังบ้านเพื่อล้างจานต่อ จะได้กลับบ้านเสียที
แต่มองเห็นเครื่องซักผ้าทีไรมันก็เจ็บใจไม่หาย เกิดมายังไม่เคยมีใครเล่นกับอีชบาได้แสบขนาดนี้ งานนี้คงต้องเอาคืนแล้วละ
“มีเครื่องซักผ้าแต่ไม่ใช้ งั้นก็อย่ามีเลย”
ฉันเม้มปากแน่นรีบวิ่งไปหลบมุมแล้วส่องดูว่าเจ้าของสำนักกำลังทำอะไรอยู่ เห็นว่าเขากำลังง่วนอยู่กับสมุดหนังสือบนชั้น ฉันจึงอาศัยจังหวะนี้หยิบมีดที่อยู่บนอ่างล้างจานขึ้นมา แล้วตรงไปยังเครื่องซักผ้าเครื่องใหญ่แถมยังใหม่เอี่ยมอีกด้วย
“หึ!”
ฉับ!
สายไฟด้านล่างเครื่องซักผ้าถูกตัดออก เป็นผลให้มันไม่สามารถที่จะใช้งานได้ เล่นกับใครไม่เล่น มาเล่นกับอีชบา สมน้ำหน้า!
ยังชื่นชมผลงานตัวเองไม่นาน ฉันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนัก ๆ เดินเข้ามา จึงทำทีว่ากำลังล้างจานอยู่ แล้วดูซิ! จานกองพูนขนาดนี้ มีแต่คราบน้ำมันพืชกับพริก มองยังไงก็ดูเหมือนตั้งใจราดใส่จานเพื่อให้ฉันมาล้างเพื่อกลั่นแกล้ง
“ล้างให้สะอาดนะ แล้วอย่าทำจานกูแตก”
เพล้ง!
“ว้าย!”
พูดไม่ทันจะขาดคำจานที่อยู่ในมือก็ร่วงลงพื้นจนแตกละเอียด แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ เป็นเพราะฉันตั้งใจทำล้วน ๆ ไม่ใช่เพราะพลาดพลั้งแต่อย่างใด
“ทะ โทษที ๆ ก็น้ำมันมันเยอะนี่ จับแล้วลื่นมือ”
“มึงนี่นะ หาแต่เรื่องให้กูปวดหัว”
คนร่างใหญ่บ่นอุบก่อนจะเดินเข้ามาเก็บเศษแก้ว ยังดีนะที่เขาไม่สั่งให้ฉันเป็นคนเก็บอีก
“รีบล้างจานซะ จะได้ไปทำกับข้าวให้กู”
“โหยย! ไม่เอาแล้ว ฉันหิวจนสั่นไปหมดแล้วเนี่ย”
มือเล็กที่สั่นเทายกขึ้นมาให้อีกฝ่ายดู และเป็นอย่างที่ฉันพูดจริง ๆ
“สำออย”
“เอ้า!”
สำออยอะไรเล่า ใช้งานฉันอย่างกับทาส ไม่เป็นลมตั้งแต่ตอนซักผ้าก็ถือว่าบุญมากโขแล้วนะ
“งั้นก็รีบล้างจานให้เสร็จ กูเบื่อขี้หน้ามึงแล้ว”
พูดจบก็เดินเข้าไปในบ้าน เลยไม่ทันเห็นว่าฉันยืนแลบลิ้นปลิ้นตาใส่อยู่
“หึ เบื่อเป็นคนเดียวหรือไง ฉันก็เบื่อหน้าพ่อหมอเหมือนกันนั่นแหละ”
ฉันมุ่ยหน้าอย่างหงุดหงิด ก่อนจะหันกลับมาจัดการกองจานที่อยู่ในซิงค์ แต่ถ้าจะให้ล้างดี ๆ ก็คงไม่ใช่อีชบา ฉันจึงจัดการล้างผ่านน้ำเปล่าทุกใบ รับประกันได้ว่ามันเยิ้มอย่างแน่นอน
“เสร็จสักที”
ล้างจานเสร็จฉันก็บีบน้ำยาล้างจานใส่มือตัวเอง ก่อนจะขจัดความมันออกจากมือเล็กเรียวลวก ๆ หลังจากล้างน้ำเสร็จก็รีบนำมือมาเช็ดถูใส่ชายเสื้อของตัวเองพร้อมกับเดินออกไปหาพ่อหมอ
“เสร็จแล้ว กลับก่อนนะ”
“เดี๋ยว”
“อะไรอีกล่ะ!”
ฉันแทบจะหมดความอดทนกับความเอาแต่ใจของอีกฝ่าย อยากได้นั่นอยากได้นี่ ทั้งที่สิ่งที่ฉันร้องขอจากเขามันแค่นิดเดียวเท่านั้น ไม่ได้เหนือบ่าเกินแรงเลยสักนิด
“มึงตากผ้าแบบนั้นแล้วเมื่อไหร่มันจะแห้ง”
“แบบนั้นคือ?”
ฉันขมวดคิ้วถาม เมื่อกี้ก็ว่าตากดีแล้วนี่
“เบียดกันแทบเป็นปลากระป๋อง นี่มึงเคยตากผ้าบ้างไหมเนี่ย”
“โอ๊ย! ก็ผ้ามันเยอะ ราวนี้มันใกล้ด้วย ถ้าให้ไปตากราวไกลฉันก็คงเป็นลมตายใส่สำนักพ่อหมอพอดี ตาก ๆ ไปเถอะน่า แดดแรงขนาดนี้ไม่กี่ชั่วโมงก็แห้ง”
“มึงนี่มันไม่มีความเป็นกุลสตรีเอาสะเลย แล้วแบบนี้ใครจะอยากได้มึงเป็นเมียวะ”
“พ่อหมอไง เมื่อไม่กี่วันนี้ยังพูดอยู่เลยว่าอยากตอกฉันน่ะ”
ฉันสวนกลับทันควัน เรื่องปากไวนี่ไว้ใจนังชบาได้เลย ไม่เคยทำให้ผิดหวัง
“แล้วกูได้ตอกมึงอย่างที่พูดไหมล่ะ”
อีกฝ่ายดันตัวขึ้นจากเก้าอี้พร้อมกับสาวเท้าขึ้นมาชิด สร้างความประหม่าให้ฉันเล็กน้อย แต่ยังไม่ยอมถอยหนี ยังคงเชิดหน้าจ้องมองอีกฝ่ายที่กระตุกยิ้มร้ายก่อนจะโน้มหน้าลงมาใกล้
“แค่นี้ก็พิสูจน์แล้วไหม ว่ากูเอามึงไม่ลง”
“แล้วไง! พ่อหมอไม่อยาก คนอื่นก็อยากตอกฉันทั้งหมู่บ้านอยู่ดี ถอยไปได้แล้ว!”
ผลัก!
ฉันเริ่มฉุนเฉียว จึงผลักอีกฝ่ายออกให้ถอยห่าง ก่อนจะเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกจากสำนัก หน็อย! พูดมาได้ว่าเอาไม่ลง ของตัวเองไม่แข็งเองหรือเปล่า อีตาบ้า!