“คุณพ่อหนูเนตรเปิดไฟเขียวแล้ว ว่าไงล่ะตาอิศย์” ชมโฉมหันมาถามลูกชายยิ้มๆ
เนตรกมลเห็นเขาแอบเม้มปากก็รู้ทันทีว่ากำลังลำบากใจ แต่ที่ไม่พูดเพราะเกรงใจอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย หล่อนไม่อยากให้เขารู้สึกว่าถูกกดดัน จึงช่วยเลี่ยงด้วยการพูดตัดบทขึ้นว่า
“อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลยค่ะ เนตรว่ายังเร็วเกินไป ช่วงนี้เห็นว่างานของอิศย์ยุ่งมากซะด้วย เขาคงอยากจะทุ่มให้กับงานอย่างเต็มที่มากกว่า จริงไหมคะ”
หล่อนหันไปถามเขาเพื่อขอเสียงสนับสนุน ชายหนุ่มไม่ตอบ เพียงแค่พยักหน้ารับ สีหน้าดูผ่อนคลายขึ้น
“งั้นคุณไปทำงานเถอะค่ะ ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนเนตรหรอก เนตรมีพวกคุณแม่อยู่เป็นเพื่อนแล้วไม่เหงาหรอกค่ะ”
ไอศูรย์นั่งนิ่ง ยังไม่ขยับเหมือนไม่วางใจ จนหล่อนต้องย้ำอีกครั้ง
“อ้อ... กลับบ้านแล้วอย่าลืมไปดูขวัญสักหน่อยนะคะ เมื่อกี้เนตรเห็นขวัญหน้าซีดๆ ยังไงก็ไม่รู้ ถ้าขวัญยังรู้สึกผิดละก็ ฝากบอกด้วยว่าเนตรไม่ได้โกรธหรือโทษเขาจริงๆ”
ม่านตาของไอศูรย์ขยายกว้างเหมือนนึกอะไรได้ แต่เพียงวูบเดียวก็หายไป สีหน้ายังคงเรียบเฉยเย็นชามองสบตาเนตรกมลลึกเข้าไปอย่างอ่อนโยน ก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าไปกุมมือบาง ตบเบาๆ พร้อมกับเอ่ยเสียงอ่อน
“ดูแลตัวเองดีๆ ตอนเย็นผมจะแวะมาหา”
ชายหนุ่มออกจากห้องอย่างไม่รีบร้อน ค่อยๆ เคลื่อนแผ่นหลังกว้างองอาจที่ชวนให้คนมองหลงใหลจากไป พอปิดประตูปุ๊บ เขาก็ก้าวขายาวๆ เร่งฝีเท้าอย่างรวดเร็ว มือล้วงกางเกงหยิบโทรศัพท์โทร. หาขวัญรัก แต่ไม่ติด เขาวางสายแล้วกดระรัวต่อสายอีกหลายครั้ง ในใจก็ยิ่งกระวนกระวายมากขึ้น
“ไปไหนนะ ทำไมไม่รับสาย”
เขาพูดเสียงลอดไรฟัน รู้สึกโมโหจนแทบจะเป็นบ้าที่ได้ยินแต่เสียงฝากข้อความ ไม่รู้ว่าขวัญรักโกรธจนไม่ยอมรับสายหรือเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นรึเปล่า...
เมื่อกี้เขาลืมไปได้ยังไงว่าเธอเองก็ป่วยอยู่?
ยิ่งโทร. ไม่ติดเขายิ่งร้อนใจจนยืนไม่ติดที่ สายตามองตัวเลขลิฟต์ที่เลื่อนขึ้นมาอย่างไม่ทันใจ รู้สึกว่ามันชักช้าจนน่าโมโห เขาเลยหันไปใช้บันไดแทน เร่งรีบสาวเท้าลงมาชั้นเดียวก็เจอร่างหญิงสาวนั่งฟุบหน้าอ่อนระทวยอยู่กับราวบันได เขาพุ่งตัวไปหาเธออย่างตระหนก
“ขวัญ... ขวัญรัก!”
ไอศูรย์ประคองเธอไว้ในอ้อมอกอย่างนุ่มนวลระมัดระวัง ร้องเรียกพลางตบแก้มเบาๆ ให้เธอรู้สึกตัว แต่เธอไม่ลืมตา ร่างกายร้อนจี๋และอ่อนยวบเหมือนไม่มีกระดูก ดูเหมือนจะเป็นลมหมดสติไปแล้ว
ตั้งแต่เมื่อไหร่? เธอเป็นลมนานรึยัง?
เขาถามตัวเองแล้วไม่รอคำคอบ ช้อนตัวเธออุ้มแนบอกตรงดิ่งไปยังห้องฉุกเฉิน ปากตะโกนโหวกเหวกเรียกหมอและพยาบาลอย่างเกรี้ยวกราด
“หมอ! พยาบาล! ไปไหนกันหมด”
ทั้งแผนกวิ่งวุ่นหัวหมุนกันไปหมดเพราะคนไข้กิตติมศักดิ์ บุรุษพยาบาลรีบนำเตียงมาให้เขาวางหญิงสาวลงแล้วเข็นเข้าห้องฉุกเฉินอย่างเร่งด่วน ก่อนหมอจะเข้าไปด้านใน ยังไม่วายถูกไอศูรย์ข่มขู่จนหน้าซีดว่า
“ถ้าภรรยาผมเป็นอะไรไปละก็ ผมจะรื้อโรงพยาบาลนี้ทิ้งซะ”
“คะ... ครับ ผมจะดูแลคนไข้ให้ดีที่สุด”
หมอรีบรับคำด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด ก่อนจะเดินหายเข้าไปราวๆ หนึ่งชั่วโมงก็กลับออกมาอีกครั้ง รีบรายงานผลตรวจกับชายหนุ่มทรงอำนาจที่นั่งหน้าเคร่งขรึมเหมือนภูเขาน้ำแข็งตั้งตระหง่านว่า
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ภรรยาของคุณไม่เป็นอะไรมาก เป็นไข้หวัดใหญ่บวกกับท้องว่าง เลยทำให้หน้ามืดเป็นลม หมอให้ยาและน้ำเกลือเรียบร้อยแล้ว พักผ่อนดูอาการสักสองสามวัน ถ้าดีขึ้นก็สามารถกลับบ้านได้แล้วครับ”
เขาพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร เดินตามคนป่วยที่ถูกเข็นเตียงเข้าไปในห้องพักฟื้น หวนนึกถึงเมื่อเช้า เขามัวเป็นห่วงเนตรกมลและยังโกรธขวัญรักเรื่องยาคุมไม่หาย จึงตั้งใจแกล้งเธอไม่ให้กินข้าว
แต่ใครจะรู้ว่าเธออ่อนแอจนเป็นลมล้มพับไปแบบนั้นล่ะ...
ไอศูรย์แนบฝ่ามือบนใบหน้าเรียวเล็กที่ตอนนี้ซีดเซียวอย่างน่าใจหาย ไล้ปลายนิ้วหัวแม่มือแผ่วเบา แววตาที่มองหญิงสาวมีความขัดแย้ง ทั้งหงุดหงิดและรู้สึกผิดจนแยกไม่ออก
‘หย่า’
คำๆ นี้ผุดขึ้นมาในหัว แล้วความรู้สึกของเขาก็ยิ่งด่ำดิ่งสู่ความมืดมน...