พริบพราวเหลือบสายตามองไปยังชายหนุ่มที่นอนหลับใหลอยู่บนเตียงด้วยใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุข หัวใจเบ่งบานราวกับมีผีเสื้อนับพันคอยบินวนอยู่ภายในทำให้คับแน่นพองฟู มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ไม่คิดสักนิดว่าจะมีวันนี้ วันที่ผู้ชายที่ตนแอบรักแอบชอบจะได้มาอยู่ใกล้ชิด ยามตื่นนอนก็ได้เห็นหน้า คิดแล้วยิ่งมีความสุขราวกับความฝัน พลางเดินไปหยิบเสื้อผ้าของตนเองที่ร่วงหล่นอยู่ตามพื้นมาสวมใส่ แต่งตัวจนเรียบร้อยดูดีจึงเดินไปหาชายหนุ่ม พลางทรุดตัวลงนั่งบนเตียง เขย่าแขนเขาเบาๆ
“พี่คิณณ์คะ...พี่คิณณ์”
“ครับ ว่าไง” ชายหนุ่มทำเสียงงัวเงีย พลางปรือตามองก่อนจะตวัดร่างเล็กมากอดไว้ กดจมูกที่แก้มนุ่มฟอดใหญ่
“หิวแล้วค่ะ ออกไปหาอะไรกินกันดีไหมคะ”
“เอาสิ พราวอยากทานไรล่ะ”
“ปิ้งย่างค่ะ”
“งั้นพี่ขอเวลาสิบนาทีนะ ขอพี่ไปอาบน้ำก่อน” ภาคิณยิ้มให้ก่อนจะลุกเดินหายเข้าห้องน้ำไปร่วมสิบนาทีถึงเดินนุ่งผ้าเช็ดตัวออกมาอีกครั้ง ใบหน้าของเขาดูครุ่นคิด คล้ายกับลังเลอะไรบางอย่าง ก่อนจะตัดสินใจเดินไปหยิบเสื้อโปโลสีน้ำเงินเข้มมาสวมใส่ ฉีดพรมน้ำหอมกลิ่นประจำตัวสวมใส่กางเกงจนเรียบร้อยแล้วถึงเดินมาหาหญิงสาวที่นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่
“ไปค่ะ ไปทานข้าวกัน” ภาคิณเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้มที่เธอมองแล้วยิ้มตอบกลับอย่างมีความสุข ลุกมาคว้าแขนเขาไปกอดแนบแก้มลงกับต้นแขนหนาที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม เดินควงคู่ออกจากห้องพักไป
ภาคิณพาพริบพราวมานั่งทานร้านปิ้งย่างเกาหลีบนห้างสรรพสินค้าชื่อดังในย่านใจกลางเมือง ทั้งคู่เหมือนคู่รักทั่วไปที่ต่างพลัดกันป้อน พลัดกันดูแล โดยส่วนใหญ่เป็นหญิงสาวที่คอยย่างเนื้อและป้อนใส่ปากให้เขาทานจนอิ่ม จึงพากันมาเดินเล่นเลือกซื้อของ
“พี่คิณณ์เดี๋ยวพราวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ”
“อ๋อได้สิ งั้นพี่ยืนรอตรงนี้นะ”
“โอเคค่ะ รอพราวแปบนึงนะคะ” ร่างเล็กยิ้มหวานก่อนจะเดินหายไปทางห้องน้ำ
ร่างสูงยืนกดโทรศัพท์เล่นรอไปเรื่อยๆ จนไม่ทันสังเกตว่ามีใครอีกคนมาหยุดยืนตรงหน้าเขา แวบแรกเขาคิดว่าเป็นพริบพราว แต่พอเงยหน้าละสายตาจากโทรศัพท์เขาก็นิ่งไปทันที
“พี่คิณณ์! มาทำไรที่นี่คะ ไหนบอกแจนว่าวันนี้ไม่ว่างไง” คิ้วเข้มขมวดมุ่นสีหน้าเครียดขึงเต็มไปด้วยความอึดอัด พลางสอดสายตามองหาใครอีกคนอย่างเป็นกังวล
“พี่มีธุระที่นี่ก่อนเลยต้องแวะมา เสร็จแล้วก็จะไป อย่ามาทำน้ำเสียงแบบนี้กับพี่นะ พี่ไม่ชอบ” ตวัดสายตามองดุ น้ำเสียงหงุดหงิดไม่พอใจ กับท่าทีกระเง้ากระงอดและน้ำเสียงกราดเกรี้ยวของอีกฝ่าย
“ก็แจนโมโหนี่คะ มาเบี้ยวนัดแจน แต่กลับมาเดินเล่นอยู่ที่นี่ พี่คิณณ์มาทำธุระกับใคร บอกแจนได้ไหมคะ”
“เดี๋ยวเราค่อยคุยกัน...คือนี้พี่จะโทรหา ตอนนี้พี่ต้องรีบไปล่ะ” ภาคิณดึงแขนตัวเองออกจากการเกาะเกี่ยวของอีกฝ่าย ก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง แล้วกดโทรศัพท์โทรหาพริบพราวให้ออกมาหาเขาที่ลานจอดรถแทน แม้จะแปลกใจอยู่ไม่น้อย แต่เธอก็ไม่ทันได้คิดอะไร เดินยิ้มหวานอารมณ์ดีมาหาเขาที่นั่งเปิดแอร์เย็นฉ่ำรออยู่แล้ว
“พราวเข้าห้องน้ำนานมากเหรอคะ พี่ต้องมารอในรถ”
“เปล่าหรอก พอดีพี่มาคุยโทรศัพท์น่ะ แล้วพราวยังอยากเดินเล่นอยู่อีกไหม”
“ไม่แล้วค่ะ กลับบ้านเลยก็ได้”
“กลับบ้านเลยเหรอ อยู่กับพี่ก่อนสินะ อย่าเพิ่งรีบกลับเลย วันนี้เราซื้อของไปทำไรกินไหม เดี๋ยวพี่แวะซื้อของสดแล้วเดี๋ยวทำมื้อเย็นให้ทาน สนใจไหมครับ”
“งื้อ สนใจค่ะ พี่คิณณ์จะทำอะไรให้พราวทานเหรอคะ” เธอถามเสียงอ้อน พลางซบใบหน้าลงกับต้นแขนของเขาอย่างเอาใจ
อาหารมื้อเย็นที่ชายหนุ่มตั้งใจทำเป็นพิเศษคือ สปาเก็ตตี้เบคอนผัดพริกแห้ง ทานคู่กับซุปหัวหอมร้อนๆ ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้องพัก พริบพราวนั่งมองแผ่นหลังกว้างของชายหนุ่มที่กำลังยืนอยู่หน้าเตาด้วยท่าทางคล่องแคล่ว หัวใจอิ่มเอิบมีความสุข พลันนึกภาพที่เราเป็นคู่รักแล้วได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันคงจะมีความสุขมากขนาดไหน คิดถึงตรงนี้ริมฝีปากบางเล็กหยักโค้งเป็นรอยยิ้ม ก่อนจะลุกเดินจากโซฟาไปกอดชายหนุ่มจากด้านหลังจนร่างสูงสะดุ้งเบาๆด้วยความตกใจ
“หิวแล้วเหรอ หื้อ”
“เปล่าค่ะ แค่พราวมีความสุข ขอบคุณนะคะที่เข้ามาในชีวิตพราว” ภาคิณได้ยินแล้วนิ่งไปทันทีหัวใจกระตุบวูบลง รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาค่อยๆจางหายไป ก่อนจะวางตะหลิวในมือลงหันมากอดรัดหญิงสาวไว้แนบอก เกยคางบนเรือนผมของเธอ
“ขี้อ้อนจัง”
อาหารที่ทำไว้เกลี้ยงหมดจานไม่มีเหลือแม้แต่เส้นเดียว ทำเอาเชฟหน้าหล่อถึงกับยิ้มแป้น ดีใจที่อาหารของเขาถูกปากหญิงสาวที่ตั้งหน้าตั้งตาทานด้วยท่าทีเอร็ดอร่อย จนเขาพลอยเจริญอาหารไปด้วย
“อร่อยไหม”
“อร่อยค่ะ อร่อยที่สุดเลย พี่คิณณ์ทำอาหารเก่งแบบนี้ ชอบทำอาหารเหรอคะ”
“อืม พี่ชอบทำ แต่ไม่ค่อยได้ทำให้ใครทานนะ นอกจากคนในบ้านพี่ พราวเป็นคนแรกเลยมั่ง” ท้ายประโยคเหมือนเขาพูดกับตัวเองไป พลางเหลือบสายตามองคนตรงหน้ากำลังทำตาโตตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“หื้อ!!? ถามจริง!”
“หึหึ มันน่าแปลกใจขนาดเลยเหรอ”
“ค่ะ ได้ยินแบบนี้ แอบรู้สึกพิเศษนิดหน่อย”
“หึหึ แล้วกินเยอะขนาดนี้ไม่กลัวอ้วนเหรอ”
“ไม่ค่ะ พราวออกกำลังกายอยู่แล้ว อย่างที่เคยบอกพี่”
“มิน่าล่ะหุ่นถึงดี ไม่มีไขมันส่วนเกิน” แววตากรุ่มกริ่มขณะที่มองหน้าเธอ
“พี่วิ่งไหมคะ พรุ่งนี้วันอาทิตย์เราไปวิ่งตอนเช้าด้วยกันไหม” ภาคิณนิ่งไปเล็กน้อยอย่างใช้ความคิด ก่อนจะตอบตกลงในที่สุด
สรุปสุดท้ายเมื่อคืนเธอก็ได้นอนที่คอนโดของเขาอีกหนึ่งคืน โดยเช้านี้พริบพราวซึ่งอยู่ในชุดออกกำลังกายรัดรูปสวมสปอร์ตบรากับกางเกงเลกกิ้งสีชมพูสดใส ผมยาวมัดรวบยกสูง เป็นอภินันทนาการจากคุณเพื่อนเคเซียที่เนรมิตให้ทุกอย่างพร้อมกับรองเท้าวิ่งแบรนด์ดังทันทีที่เธอร้องขอไปพร้อมกับเสื้อผ้าชุดใหม่อีกหนึ่งชุด โดยกำชับว่าเธอจะต้องเล่าทุกอย่างให้ฟังอย่างละเอียด แม้จะอิดออดยังไม่อยากให้ใครรู้ถึงความสัมพันธ์ที่เพิ่งเริ่มต้นของเธอกับรุ่นพี่ ที่ความสัมพันธ์จะข้ามขั้นเกินเลยจนถึงขั้นลึกซึ้ง แต่ก็ยังไม่มีคำพูดใดๆที่เขาจะพูดถึงสถานะในวันนี้ให้ชัดเจนเลยสักนิด จะออกตัวก่อนก็กลัวจะไม่ดีจึงอยากจะเก็บงำไว้อีกสักพัก แต่แม่เพื่อนตัวดีก็เซ้นส์แรงเหลือเกิน
“เหนื่อยหรือยัง” เขาหันมาถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นหญิงสาวเริ่มหายใจหอบเล็กน้อยหลังจากวิ่งมาได้เกินหกกิโลแล้ว
“นิดหน่อยค่ะ พี่คิณณ์ละคะ เหนื่อยไหม”
“อืม สงสัยพี่พักผ่อนน้อยน่ะ เราไปนั่งพักกันตรงนั้นไหม” เขาถามน้ำเสียงปนหอบเล็กน้อย เดินนำหญิงสาวไปนั่งที่เก้าอี้ริมทางเดินใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ แดดในเวลาเช้าไม่แรงมาก แต่ก็ทำให้ร้อนและเหนื่อยเอาเรื่องเหมือนกัน
“อากาศดีนะคะ ลมเย็นด้วย” หาเรื่องชวนคุย มองใบหน้าด้านข้างของชายหนุ่มที่เช้านี้เขาดูนิ่งไปเล็กน้อย คล้ายกับมีอะไรในใจ แต่เธอก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรนอกจากคอยสังเกตเขาอยู่เงียบๆ
นานหลายนาทีที่ต่างคนต่างนั่งเงียบ จมอยู่กับความคิดตัวเองแต่ก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัด กลับรู้สึกผ่อนคลาย หลายครั้งที่เขาหันมายิ้ม ยกมือขึ้นลูบผมเธอเบาๆ มองหน้าเธอนิ่งนานแต่ก็ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกจากปากของเขา
เสียพลังงานแล้วก็ต้องมาเติมความหวานให้กับร่างกาย ช่วงสายหลังจากออกกำลังกายด้วยกันเสร็จ ทั้งคู่จึงมาเติมพลังด้วยการกินติ่มซำร้านดัง ก่อนจะจบท้ายด้วยคาเฟ่ยอดฮิตที่เธอโปรดปราณ
“มาเที่ยวต้องถ่ายรูปลงโซเชี่ยลทุกครั้งเลยเหรอ” เขาถามขึ้นขณะที่เธอกำลังก้มหน้าก้มตาเขียนแคปชั่นบางอย่างประกอบรูปภาพแก้วกาแฟที่ถ่ายติดแก้วกาแฟสองใบให้เห็นช่วงแขนของอีกฝ่ายแบบตั้งใจที่จะสร้างกระแสให้กับเพื่อนๆของเธอได้มากดไลค์พิมพ์แซวกันสนุกสนาน
‘อะไรยังไงคะเพื่อน’
‘กินกาแฟคนเดียวสองแก้วงี้’
‘แรดมากค่ะแม่’
‘“อยากเห็นหน้าเจ้าของนาฬิกาค่ะ’ นาฬิริณทร์พิมพ์แซวพร้อมส่งสติ๊กเกอร์หัวเราะแบบเจ้าเล่ห์มาให้
“ไม่ทุกครั้งหรอกค่ะ แค่เฉพาะบางวันที่อยากลงรูปเท่านั้น” ตอบโดยไม่ได้หันมาสบตาเพราะมัวแต่ก้มหน้าหัวเราะขำกับข้อความเพื่อน ไม่ทันเห็นสีหน้าเรียบตึงของอีกฝ่ายที่ดูไม่พอใจเท่าไหร่นัก แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป