หลังจากกิจกรรมรับน้องจบลง… ก็ใช้เวลามานานพอสมควร ฉันแยกย้ายกับเพื่อน ๆ โดยไม่ลืมโบกมือลาและฝืนยิ้มให้ทุกคน ความเหนื่อยล้ายังไม่เท่าความรู้สึกหนัก ๆ ที่ติดค้างอยู่ในอก
ตอนนี้… สิ่งเดียวที่ฉันอยากทำ
คือรีบเดินกลับห้องให้เร็วที่สุด เพื่อจะได้ทิ้งตัวลงบนเตียง และหลับตาให้หลุดพ้นจากความคิดฟุ้งซ่านที่วนเวียนอยู่ในหัว
ระหว่างเดินกลับห้องตามทางเดินสายเดิม
ความมืดค่อย ๆ โรยตัวเข้าปกคลุมทุกอย่างรอบกาย มีเพียงแสงไฟจากเสาไฟฟ้าริมถนนที่ส่องสว่างเป็นช่วง ๆ สลับกับเสียงจิ้งหรีดที่เริ่มขับร้องแว่วมาไม่ขาดสาย
บรรยากาศเงียบสงบแบบนี้… กลับทำให้ใจยิ่งรู้สึกว่างเปล่า ฉันกอดกระเป๋าไว้แน่นขึ้น เหมือนเป็นสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวได้ในตอนนี้
เมื่อฉันเดินถึงซอยหอพัก
ความเปลี่ยวและเงียบงันในยามค่ำคืนก็ยิ่งชัดเจนขึ้น ที่นี่มีร้านค้าเล็ก ๆ อยู่ไม่กี่แห่ง กับบ้านคนประปราย
ส่วนใหญ่เป็นบ้านเก่า ๆ ดูทรุดโทรม ผู้คนแถวนี้ส่วนมากก็เป็นแรงงาน พวกขี้เมา หรือไม่ก็ขี้ยา
ถึงจะชินกับเส้นทางนี้ แต่ในเวลากลางคืน… มันก็ไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด
ระหว่างที่ฉันเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
เสียงตะโกนจากกลุ่มชายฉกรรจ์ที่นั่งมั่วสุมกันอยู่ใกล้ร้านค้าก็ดังขึ้นจนสะดุ้ง
“ไม่เคยเห็นหน้าเลย พึ่งย้ายมาหรอจ๊ะ คนสวย?” เสียงแหบ ๆ ปนเมาของชายคนหนึ่งดังลั่นขึ้นกลางความเงียบ
ฉันไม่แม้แต่จะหันไปมอง รีบก้าวเท้าให้ยาวขึ้น เพราะหอพักของฉันอยู่เกือบท้ายซอย ซึ่งยังอีกไกล
ขณะที่เสียงหัวเราะชอบใจดังไล่หลังมาไม่ขาดสาย
“โห! ถามก็ไม่ตอบ! ให้พี่เดินไปส่งไหม?”
เสียงของอีกคนตะโกนตามมา พร้อมเสียงหัวเราะดังสนั่น
ฉันกัดฟันแน่น เลือกที่จะไม่ตอบโต้ แค่ภาวนาให้ถึงหน้าหอให้เร็วที่สุด ก่อนที่พวกนั้นจะทำอะไรมากไปกว่าคำพูด
แต่ยังไม่ทันจะได้เร่งฝีเท้าขึ้น เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ก็ดังขึ้นตามหลัง ทีละก้าว… ทีละก้าว…
ใกล้… ใกล้… และใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
จนฉันรู้สึกได้ว่าคนที่เดินตามมาอยู่ห่างแค่ไม่กี่ก้าวหลังฉันเท่านั้น หัวใจฉันเต้นแรง ร่างกายเกร็งจนมือสั่น
สุดท้ายฉันตัดสินใจหยุดเดิน… แล้วหันกลับไปเผชิญหน้า และสิ่งที่ฉันเห็นคือ พี่ไทเกอร์…
เขาเดินมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย มือทั้งสองล้วงกระเป๋ากางเกงอย่างไม่ทุกข์ร้อน
ฉันที่ตกใจจนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่มองเขานิ่ง ๆ เมื่อเขาเห็นว่าฉันหยุดเดิน เขาเพียงแค่เหลือบตามองฉันนิดหนึ่ง…
ก่อนจะเดินผ่านฉันไปอย่างเฉยชา ฉันยังยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น แต่ไม่ทันไร เขาหยุดเดิน แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ ไม่หันกลับมา
“รีบเดินตามมา… หรืออยากให้พวกมันลากไป?”
ฉันเลือกที่จะไม่ตอบโต้อะไรเขา ไม่ใช่เพราะไม่มีคำพูดจะพูด… แต่เพราะจังหวะนี้ ฉันคงต้องพึ่งเขาจริง ๆ แล้ว
ฉันสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะก้มหน้าก้าวขาตามเขาไปอย่างเงียบ ๆ
โดยที่ยังได้ยินเสียงหัวเราะลอยตามลมมาจากกลุ่มพวกนั้นอยู่ไกล ๆ
ระยะทางจากตรงนั้นถึงหอพัก แม้จะไม่ไกลมาก แต่กลับรู้สึกยาวนานเหมือนเดินข้ามคืน
ฉันไม่ได้พูดอะไร
เขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเช่นกัน
แต่แค่ได้ยินเสียงฝีเท้าเขาเดินนำหน้าอยู่ แค่รู้ว่ามีใครบางคนอยู่ข้าง ๆ มันก็พอจะทำให้ฉันรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาบ้าง
จนในที่สุด…
ฉันก็เดินมาถึงหน้าหออย่างปลอดภัย และหยุดยืนมองแผ่นหลังกว้างของเขาที่หยุดรออยู่ตรงนั้น
“ขึ้นไปสิ ถึงหอเธอแล้ว”
เสียงทุ้มนิ่งของเขาดังขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว จนฉันเผลอสะดุ้งเล็กน้อย
ฉันไม่ตอบอะไร เพียงแค่มองหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะหันหลังก้าวเท้าเตรียมจะเดินออกไป
แต่ไม่รู้ทำไม…
อยู่ดี ๆ มือฉันก็ยื่นไปคว้าชายเสื้อของเขาไว้เบา ๆ จากด้านหลัง แรงดึงแผ่ว ๆ นั้นทำให้เขาหยุดเดิน แต่เขาไม่ได้หันกลับมา
“…ขอบคุณ”
ฉันพูดแผ่วเบา แทบจะเป็นเสียงกระซิบในลำคอ ก่อนจะรีบปล่อยมือจากเสื้อเขา แล้วหมุนตัววิ่งขึ้นหออย่างรวดเร็ว
หัวใจเต้นแรงจนเหมือนจะระเบิด
แต่ในวินาทีนั้น…
ฉันได้ยินเหมือนเสียงหัวเราะเบา ๆ ตามหลังมา
หรือฉันคิดไปเองกันนะ…
…..
หลังจากกิจกรรมรับน้องยาวนานตลอดทั้งวันจบลง
เหล่ารุ่นพี่ก็ทยอยกลับมาที่โต๊ะไม้หน้าคณะ บ้างเอนหลังเอนกายทิ้งตัวอย่างหมดแรง บ้างฟุบหน้าลงกับโต๊ะพร้อมเสียงถอนหายใจยาว
อากาศยามค่ำเริ่มเย็นลง ลมโชยแผ่วพาเอาความเหนื่อยล้าให้ล่องลอยตามไป ใบไม้บนต้นประดู่ริมรั้วไหวตามจังหวะลม เสียงจิ้งหรีดเรไรร้องประสานกันในความเงียบที่แผ่คลุมหลังเลิกกิจกรรม
บนโต๊ะไม้เก่าแก่นั้น มีขวดน้ำอัดลม แก้วน้ำเย็น และถุงขนมกระจัดกระจาย บางคนเปิดขวดน้ำดื่มเสียงดัง ป๊อก ก่อนจะยกกระดกอย่างกระหายราวกับวิ่งมาราธอน
บางคนแค่นั่งเหม่อ ปล่อยใจลอยไปกับไฟถนนที่กระพริบอยู่ไกล ๆ
“ไปไหนมาวะ ไอเกอร์”
เสียงแทนไทตะโกนถามขึ้น ท่ามกลางวงสนทนาที่เพิ่งจะเริ่มคึกคักอีกครั้ง
“ซื้อบุหรี่” ไทเกอร์ตอบสั้น ๆ ขณะนั่งลงข้าง ๆ พร้อมโยนกระเป๋าวางบนโต๊ะอย่างหมดแรง
“แล้วไหนบุหรี่วะ?” แทนไทขมวดคิ้วถามต่ออย่างจับผิด
“ไปซื้อไกลเนอะมึง…”
เสียงเจเจแทรกขึ้น พร้อมเลิกคิ้วล้อ “มีคนแอบเห็นนะว่า…มึงเดินตามผู้หญิงไปส่งถึงหอที่ซอยข้าง ๆ จริงป่ะ?”
คำพูดนั้นทำให้เสียงฮือฮาเบา ๆ ดังขึ้นในวง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงหัวเราะอย่างรู้ทัน
ไทเกอร์เหลือบมองเจเจนิดหน่อย ก่อนจะเอื้อมหยิบขวดน้ำขึ้นดื่มอย่างไม่ใส่ใจ แล้วตอบเสียงนิ่ง ๆ
“ยุ่ง”
คำเดียวสั้น ๆ แต่เล่นเอาทั้งวงระเบิดหัวเราะออกมาแทบพร้อมกัน
“เฮ้ย นี่มึงก็มีมุมนี้เหมือนกันเหรอวะ?” แทนไทแซวต่อทันที พลางทำหน้าตกใจเกินเบอร์
“ว่าแต่ใครวะ? พวกกูรู้จักป่ะ?” เจเจไม่ยอมปล่อยผ่าน ยังคงตื๊อต่อด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ไทเกอร์วางขวดน้ำลงก่อนจะเอนหลังพิงพนักพิงไม้ ดวงตาคมเหลือบมองเพื่อนอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะตอบเสียงเรียบ
“ไม่รู้จัก แค่บังเอิญเจอ เห็นโดนขี้ยาแซว เลยเดินไปส่ง”
บรรยากาศทั้งโต๊ะเงียบลงวูบทันที คำพูดนั้นเรียกสีหน้าจริงจังจากเพื่อน ๆ ได้ไม่ยาก ก่อนจะมีเสียงพึมพำแทรกขึ้นเบา ๆ
“จริงว่ะ ซอยนั้นแม่งเปลี่ยวชิบ… ขนาดพวกกูยังไม่กล้าเดินคนเดียวเลยตอนดึก ๆ”
“เออ ๆ งั้นน้องคนนั้นโชคดีฉิบหายเลยนะ ที่ได้บอดี้การ์ดชื่อไทเกอร์”
เจเจพูดแซวอีกครั้ง น้ำเสียงปนขำ แต่แฝงความจริงใจไว้ด้วย
ไทเกอร์ถอนหายใจเฮือกหนึ่งอย่างคนเบื่อจะตอบ แต่หางตาก็ยังมีแววขำจาง ๆ ที่ไม่ได้ซ่อนให้มิดนัก
ค่ำคืนนี้ แม้ร่างกายจะเหนื่อยล้าเพราะกิจกรรมทั้งวัน
แต่หัวใจกลับรู้สึกผ่อนคลาย อบอุ่นไปด้วยมิตรภาพ เสียงหัวเราะ เสียงล้อเล่น และความห่วงใยที่ส่งผ่านกันอย่างเงียบ ๆ
ในบทสนทนาเรียบง่ายที่ไม่มีใครต้องพูดให้มากความ
……
– ฝั่งแบมแบม –
หลังจากกลับถึงห้อง ฉันก็รีบจัดการธุระส่วนตัวให้เสร็จ อาบน้ำ กินข้าว และเตรียมตัวจะพักผ่อนให้เต็มที่ เพราะทั้งวันแทบไม่ได้หยุดหายใจเลย
แต่พอร่างกายเริ่มได้หยุด ความคิดในหัวก็เริ่มทำงานทันที
ฉันนั่งนิ่งอยู่บนเตียง สายตามองไปยังซองเงินที่วางไว้ปลายโต๊ะ พร้อมถอนหายใจเบา ๆ
กลางเดือนแล้ว…
เงินที่เหลืออยู่ตอนนี้ คงพอใช้ให้รอดถึงสิ้นเดือนได้แบบเฉียดฉิว แต่พอคิดถึงเดือนหน้า ฉันก็ได้แต่เม้มปากแน่น รู้สึกเหมือนก้อนอะไรบางอย่างจุกอยู่ในอก
จะทำยังไงดีนะ…
ไม่ใช่แค่ค่ากินอยู่ แต่ยังมีค่าหอ ค่าหนังสือ ค่ากิจกรรมอีก ฉันไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากต้องรีบหางานทำเพื่อพยุงตัวเองต่อไป
แม้จะรู้สึกเหนื่อย แต่ก็ไม่มีเวลามานั่งท้อ
ฉันหยิบมือถือขึ้นมา เปิดแอปหางานอย่างคนหมดทางเลือก พลางพึมพำกับตัวเองเบา ๆ
“ต้องสู้แล้วล่ะแบมแบม… อย่างน้อยก็ต้องหาให้ได้สักงาน”
นิ้วเลื่อนหน้าจออย่างช้า ๆ ไล่ดูงานพาร์ตไทม์ที่พอจะทำหลังเลิกเรียนได้
จนกระทั่งสายตาไปสะดุดเข้ากับประกาศหนึ่งที่ขึ้นแนะนำอยู่บนสุดของหน้า
“เปิดรับสมัครพนักงานนั่งดริ้ง ร้านชิวชิว ใกล้มหาลัย รายได้ดี ทำเฉพาะกลางคืน ไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์”
ฉันชะงักมองจอมือถือ ใจเต้นวูบวาบกับคำว่า “รายได้ดี” ที่ดูจะเย้ายวนที่สุดในบรรดาทุกตัวเลือกที่เลื่อนผ่านมา
แต่ทันทีที่อ่านข้อความครบ ประโยคในหัวก็ผุดขึ้นมาทันที
“งานแบบนี้…ใช่ทางเราหรือเปล่า?”
ฉันนิ่งไปครู่หนึ่ง ไม่ได้กดเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่ม แค่จ้องอยู่แบบนั้น
ความคิดหลายอย่างเริ่มประดังเข้ามา ความกลัว ความจำเป็น และความไม่มั่นใจเริ่มต่อสู้กันในใจ
ฉันถอนหายใจเบา ๆ อีกครั้ง
ก่อนจะเลื่อนผ่านมันไป…แต่เพียงชั่วคราว
เพราะลึก ๆ แล้ว…ฉันรู้ ว่าสุดท้ายถ้าหาทางอื่นไม่ได้ ฉันอาจต้องย้อนกลับมากดเข้าไปอีกครั้ง
ฉันเลื่อนผ่านประกาศไป… แต่ก็แค่เพียงไม่กี่แถบ
เพราะสุดท้าย ปลายนิ้วก็ย้อนกลับมากดเข้าไปดูอยู่ดี
“พนักงานนั่งดริ้ง รายได้เฉลี่ย 2,000–4,000 บาทต่อคืน รับเฉพาะสาววัยนักศึกษา ทำงานไม่เกินเที่ยงคืน สัมภาษณ์ผ่านเริ่มงานได้ทันที”
ดวงตาฉันไล่อ่านทุกบรรทัดอย่างช้า ๆ
ใจมันยังลังเล…แต่น้ำเสียงในหัวเริ่มดังขึ้นทุกที
“นี่มันเงินค่าเทอมเดือนหน้าทั้งเดือนเลยนะ”
“แม่ก็ส่งมาได้แค่บางส่วน ถ้าไม่หาเองก็คงไม่พอแน่ ๆ”
ฉันสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามสะกดความรู้สึกบางอย่างที่พยายามจะตีกลับในอก แล้วกดปุ่มแชทของไลน์ที่แปะไว้ใต้ประกาศนั้น
“สวัสดีค่ะ สนใจสมัครงาน ยังรับอยู่มั้ยคะ?”
แค่ประโยคสั้น ๆ …แต่นิ้วฉันสั่นจนพิมพ์ผิดไปสามรอบกว่าจะกดส่งออกไปได้
ข้อความขึ้น “อ่านแล้ว” ภายในไม่ถึงนาที
“ยังรับอยู่ค่า สนใจเข้ามาสัมภาษณ์วันไหนได้บ้างคะ? ร้านอยู่ไม่ไกลจากมหาลัย เดี๋ยวส่งพิกัดให้ค่ะ 😊”
ฉันจ้องข้อความตอบกลับนั่นอยู่นาน…แล้วมือก็เผลอกดดูพิกัดร้าน
พิกัดขึ้นมาทันที พร้อมภาพหน้าร้านไฟนีออนสีม่วงกับตัวอักษรเรืองแสงชื่อ “ชิวชิว”
ฉันยังไม่ตอบกลับทันที แค่จ้องหน้าจอในความเงียบของห้อง
ทุกอย่างเงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจตัวเอง
“ขอแค่พอให้ผ่านเดือนนี้ไปก่อน…”
เสียงนั้นในใจดังอีกครั้ง ก่อนที่นิ้วฉันจะเริ่มพิมพ์ตอบกลับไป
“พรุ่งนี้ช่วงเย็นว่างค่ะ ไปสัมภาษณ์ได้เลย”
…….
- วันถัดมา -
หลังจากเรียนเสร็จ ฉันรีบกลับห้องเพื่ออาบน้ำแต่งตัวให้ดูเรียบร้อยที่สุด
แม้จะเป็นงานนั่งดริ้ง…แต่ฉันก็ยังไม่รู้เลยว่าต้องแต่งตัวยังไง
ฉันหยิบเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวกับกระโปรงยีนส์ทรงเอมาใส่ เสยผมมัดหางม้าให้ดูสุภาพ แล้วเติมลิปกลอสบาง ๆ พอให้หน้าดูไม่ซีด
“โอเค…ไม่โป๊เกิน ไม่เรียบร้อยเกิน แค่นี้น่าจะพอ” ฉันพึมพำกับเงาในกระจก
เสียงแจ้งเตือนไลน์เด้งขึ้น
“ถึงหน้าร้านแล้วแจ้งนะคะ เดี๋ยวพี่ออกมารับ 😊”
ฉันกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืด ๆ ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายแล้วเดินลงจากหอ
- หน้าร้าน “ชิวชิว” -
แสงนีออนสีม่วงอมชมพูสาดออกมาจากด้านในร้าน เสียงเพลงเบา ๆ ลอดออกมาพร้อมกลิ่นบุหรี่เจือจางปะปนอยู่ในอากาศ
แบมแบมหยุดยืนอยู่หน้าร้านสองสามวินาที ลังเลจะเดินเข้าไปดีไหม
ก่อนที่หญิงสาวคนหนึ่งในชุดเดรสดำจะเดินออกมาจากร้าน พร้อมรอยยิ้ม
“น้องแบมแบมใช่มั้ยจ๊ะ? พี่ชื่อพี่มะเหมี่ยว เป็น PR ของร้านเอง เข้ามาก่อนได้เลย ไม่ต้องเกร็งนะคะ สัมภาษณ์แป๊บเดียวจ้า”
ฉันพยักหน้าเบา ๆ แล้วเดินตามพี่มะเหมี่ยวเข้าไปในร้าน