เมื่อฉันเดินเข้ามาด้านในของผับ ช่วงเวลานี้เป็นช่วงหัวค่ำที่คนเริ่มทยอยกันเข้ามา บางโต๊ะมีลูกค้านั่งสั่งเครื่องดื่ม บางมุมก็มีพนักงานเดินไปเดินมา จัดเตรียมของและทักทายกันบ้าง
บรรยากาศภายในร้านไม่ได้วุ่นวายหรือเสียงดังจนเกินไป แสงไฟสีม่วงส้มสลัว ๆ ทำให้ทุกอย่างดูนุ่มนวลและผ่อนคลาย เสียงเพลงเปิดคลอเบา ๆ คล้ายโลกนี้ไม่ได้เร่งรีบเหมือนข้างนอก
“อ่ะ เดี๋ยวแบมนั่งรอก่อนนะ”
เสียงพี่มะเหมี่ยวพูดขึ้นขณะที่เขากำลังจัดแฟ้มเอกสารบนโต๊ะเตี้ยตรงมุมโซฟา
“ค่ะ” ฉันพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะนั่งลงตามคำบอก
โซฟานุ่มกว่าที่คิด กลิ่นหนังใหม่ผสมกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของน้ำยาปรับอากาศ มันช่วยลดความประหม่าไปได้เล็กน้อย ฉันพยายามนั่งหลังตรง ไม่ให้ดูเคอะเขินหรือประหม่าเกินไปแม้ในใจจะเต้นแรงก็ตาม
“ป่ะ เดี๋ยวพี่จะพาไปพบคุณคิว เจ้าของที่นี่”
เสียงพี่ผู้หญิงคนนั้นพูดขึ้น พร้อมผายมือเชิญ ฉันชะงักเล็กน้อย
“อ้าว…ไม่ได้จะสัมภาษณ์กับพี่หรอคะ?” ฉันเอียงคอถามด้วยความแปลกใจ
เธอยิ้มบาง ๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เปล่าหรอก พี่แค่เป็นคนรับใบสมัคร ดูแลเอกสาร แล้วก็คอยดูแลเด็ก ๆ ในงานน่ะจ้ะ ส่วนเรื่องที่แบมจะได้งานไหม…ก็ขึ้นอยู่กับคุณคิวเขาจะตัดสินใจ”
ฉันพยักหน้าช้า ๆ รู้สึกเหมือนหัวใจเต้นแรงขึ้นอีกรอบ
คุณคิว…เจ้าของร้าน…ฟังดูมีอำนาจ และไม่ใช่คนธรรมดาแน่ ๆ
ฉันลุกขึ้นยืนตามเธอ แล้วเดินตามหลังไปอย่างเรียบร้อย เราผ่านโซนบาร์ ผ่านห้องครัวเล็ก ๆ แล้วมาหยุดที่หน้าประตูไม้ทึบบานหนึ่ง
เธอเคาะเบา ๆ แล้วเปิดเข้าไป
“คุณคิวคะ เด็กที่มาสมัครวันนี้มาถึงแล้วค่ะ”
ในห้องทำงานเล็ก ๆ แต่ตกแต่งทันสมัย ฉันเห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังนั่งเอนหลังบนเก้าอี้หนังสีดำ สวมเสื้อเชิ้ตสีดำพับแขนขึ้นเล็กน้อย ผิวเข้ม หน้าตาคมคาย แววตาคมนิ่งเหมือนนักวิเคราะห์อะไรบางอย่างตลอดเวลา
เขาเงยหน้าขึ้นสบตาฉัน
แล้ว…ก็ยิ้มนิด ๆ เหมือนจำฉันได้
“แบมแบม?” เสียงทุ้มนั่นพูดออกมาอย่างแปลกใจเล็กน้อย
ฉันกระพริบตาปริบ ๆ ทันทีที่ได้ยินชื่อ…และเสียงนั้น
“คิว…?” ฉันพึมพำออกมาเบา ๆ
ภาพในความทรงจำย้อนกลับมาอย่างรวดเร็ว เพื่อนชายตัวสูงในชุดนักเรียนมัธยมที่ชอบเอาแต่ใจ นั่งหลังห้อง พูดน้อยแต่ขยันส่งสายตามากกว่า
“ไม่อยากเชื่อว่าเป็นเธอจริง ๆ” เขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนลุกขึ้นเดินมาหา
“เธอรู้ไหมว่าตอนเห็นชื่อในใบสมัคร ฉันยังคิดอยู่เลยว่า…มันจะใช่แบมแบมคนนั้นไหม”
“ฉันก็ไม่คิดว่าจะเป็นนายเหมือนกันนี่แหละ” ฉันยิ้มเขิน ๆ ความประหม่าเมื่อครู่แทบจะหายวับไปทันที กลายเป็นความเขินผสมความคิดถึงอย่างประหลาด
คิวหันไปทางผู้หญิงที่พามา “ไม่ต้องสัมภาษณ์แล้ว พาเธอไปดูงานเลย เดี๋ยวฉันจัดการเอกสารต่อเอง”
“เอ๊ะ…ไม่ต้องสัมภาษณ์เลยเหรอ?” ฉันหันไปมองเขาอย่างงุนงง
คิวยิ้มขำ “เธอผ่านตั้งแต่เธอก้าวเข้าร้านแล้วล่ะ”
เขาหันกลับไปพูดเบา ๆ ว่า…
“เพราะมีคนฝากเธอไว้กับฉันเรียบร้อยแล้ว”
ฉันขมวดคิ้วเบา ๆ พลางเหลือบตามองเขาอย่างไม่เข้าใจ
ฝาก…? ใครฝาก…? แล้วฝากฉัน…ในความหมายไหนกันแน่?
แต่คิวก็ไม่พูดอะไรต่อ เขาหันไปหยิบแฟ้มเอกสารบนโต๊ะแล้วเดินนำออกไปอย่างไม่คิดจะอธิบายอะไร
“ไปเถอะ เดี๋ยวพี่พาไปดูหน้าร้าน แล้วก็พาแนะนำเด็ก ๆ ด้วยเลย” เขาว่าเรียบ ๆ แต่รอยยิ้มที่ยังติดมุมปากกลับทำให้ใจฉันเต้นแรงกว่าเดิม
ฉันลุกขึ้นตามไปแบบงง ๆ แต่ในหัวกลับวนเวียนอยู่กับคำพูดเมื่อกี้ไม่หยุด…
“เพราะมีคนฝากเธอไว้กับฉันเรียบร้อยแล้ว…”
มันเหมือนการบอกเป็นนัยว่า ‘เธอมีเจ้าของแล้ว’
หรืออย่างน้อยก็มีใครบางคนที่ “เห็นค่า” จนอยากให้เธออยู่ตรงนี้
แต่…ใคร?
……
-ฝั่งไทเกอร์-
“พี่เกอร์ มีเด็กมาสัมภาษณ์งาน จะดูประวัติก่อนป่ะ?”
เสียงคิวดังผ่านทางโทรศัพท์ที่วางบนโต๊ะทำงานในห้องทำเพลงส่วนตัวของไทเกอร์
“ไม่อ่ะ มึงคัดมาแล้วก็น่าจะโอเคอยู่แล้ว” ไทเกอร์ตอบเรียบ ๆ พลางมองจอคอมที่ยังเปิดค้างไว้ตรงหน้าต่าง
คิวเป็นรุ่นน้องที่ไทเกอร์สนิทด้วยมาตั้งแต่มัธยม คิวชอบเรื่องธุรกิจ ส่วนไทเกอร์ก็ไม่ใช่คนขี้เกียจจะลงทุนอะไรหากมีเหตุผลพอ
คิวเคยบอกว่าอยากเปิดร้านเหล้าสไตล์ญี่ปุ่นผสมความเป็นกันเองแบบบ้าน ๆ แต่ไม่มีทุนมากพอ เลยขอความช่วยเหลือจากไทเกอร์ ตอนแรกคิวเสนอให้ไทเกอร์ถือหุ้น 70% เพราะลงเงินเยอะสุด
แต่ไทเกอร์ปฏิเสธทันที
“มึงคิดไอเดีย กูแค่ช่วยลงทุน ไม่เอาเปรียบมึงหรอก”
คำพูดที่ไทเกอร์พูดกับคิวในวันนั้น ทำให้อีกฝ่ายยิ่งเคารพเขามากขึ้น
สุดท้ายจึงกลายเป็นร้านเหล้าเล็ก ๆ ที่เติบโตอย่างมั่นคงภายใต้ชื่อ “ชิวชิว”
ร้านที่คนแวะเวียนเข้ามาแทบทุกคืน
ร้านที่ตอนนี้…กำลังมีคนที่เขา ‘เผลอใจ’ ให้ไปสมัครงาน
‘แบมแบม’ …
ไทเกอร์ถอนหายใจยาว กัดปากล่างเบา ๆ อย่างครุ่นคิด
ภาพของหญิงสาวร่างเล็ก ตาโต ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนกับยีนส์สีซีดผุดขึ้นมาในหัวอย่างไม่รู้ตัว
เธอเป็นเพื่อนของน้องสาวไอแทนไท แจม
และเขาเองก็รู้ดีว่าไม่ควรจะมองเธอแบบนี้
ไม่ควรเลยจริง ๆ …
แต่ก็ห้ามตัวเองไม่ได้
คิวส่งภาพจากกล้องวงจรปิดมาทางไลน์ให้ดู ภาพที่แบมแบมกำลังนั่งตรงโซฟาหน้าห้องทำงานอย่างเรียบร้อย กำลังเม้มปากนิด ๆ ด้วยความประหม่าแบบน่ารัก ๆ
‘แม่ง…น่ารักฉิบ’ ไทเกอร์สบถในใจ
แล้วเสียงคิวก็พูดผ่านโทรศัพท์อีกครั้ง
“เออ แล้วพี่ไม่ถามหรอว่าใครมาสมัคร?”
ไทเกอร์นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบสั้น ๆ “ไม่ต้องถามหรอก”
“แน่ใจ?” คิวเสียงสูง
“เออ ฝากรับด้วยแล้วกัน เพื่อนน้องไอแทนไทมัน”
……
-ฝั่งแบมแบม-
“มะเหมี่ยว! พาเด็กใหม่ดูร้านหน่อย เดี๋ยวฉันมีประชุมสต๊อกหลังบ้านต่อ” คิวตะโกนเรียกหญิงสาวร่างเล็กแต่ท่าทางแกร่งผ่านเคาน์เตอร์
ผู้หญิงชุดเดรสสีดำ หน้าคม ผิวสองสี รอยสักที่ต้นแขน และดวงตาคมกริบเดินเข้ามาพร้อมยิ้มบาง ๆ
“ป่ะ แบม เดี๋ยวพี่จะพาไปแจ้งรายละเอียดต่าง ๆ นะ”
ฉันพยักหน้ารับ ก่อนเดินตามพี่มะเหมี่ยวออกมาจากห้องของคิว เจ้าของร้านที่ดูนิ่งแต่แววตาเหมือนรู้อะไรมากกว่าที่พูดอยู่เสมอ
พี่มะเหมี่ยวพาฉันเดินเข้ามาในห้องรับรองด้านหลัง ซึ่งแบ่งโซนอย่างชัดเจน ทั้งโซนนักดนตรี, โซนเด็กเสิร์ฟ, โซนทำความสะอาด และโซนสุดท้ายที่เราหยุดอยู่ตรงหน้าก็คือ โซนเด็กดริ้ง หรือที่เรียกกันว่าโซน “เอ็นเตอร์เทน”
ห้องไม่ได้หรูหราอะไรมาก แต่ก็สะอาดและจัดเป็นระเบียบกว่าที่ฉันคาดไว้ กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากเครื่องฟอกอากาศทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลายขึ้นนิดหน่อย
“โอเค แบม ฟังพี่นะ ที่นี่เข้างานก่อนหนึ่งทุ่มนะจ๊ะ ถ้าวันไหนมีกิจกรรมที่มหาลัย หรือมีเหตุจำเป็นเลิกช้ามาก ๆ ก็แจ้งพี่ล่วงหน้าสักชั่วโมง พี่เข้าใจ เพราะหลายคนก็ยังเรียนกันอยู่เหมือนกัน”
ฉันพยักหน้ารับ ตั้งใจฟังแม้จะเริ่มรู้สึกตื่นเต้นนิด ๆ กับสิ่งที่จะได้เจอ
“เรื่องรายได้ก็ตามที่ประกาศไว้เลย ทิปเฉลี่ยต่อคืนประมาณ 2,000–4,000 แล้วแต่วัน บางวันก็ได้มาก บางวันก็เบา ๆ หน่อย แต่เงินเดือนพื้นฐานทางร้านจะโอนให้ทุกสิ้นเดือนนะจ๊ะ”
2,000–4,000 ต่อคืน… ฉันแอบกลืนน้ำลายเบา ๆ ตัวเลขมันไม่น้อยเลยสำหรับนักศึกษาคนหนึ่งที่ต้องใช้เงินเรียน และยังไม่กล้าขอพ่อแม่เพิ่ม
“เลิกงานประกาศไว้ว่าไม่เกินเที่ยงคืน แต่เอาจริง ๆ ก็อยู่ที่ลูกค้าและบรรยากาศในวันนั้น บางวันคนแน่น บางวันก็ซา ๆ เลิกช้าสุดก็ไม่เกินตีสาม พอจะโอเคไหม?”
ฉันยิ้มบาง ๆ ก่อนตอบไปเสียงเบาแต่ชัดเจน “โอเคค่ะ ขอบคุณพี่มะเหมี่ยวนะคะ”
เธอยิ้มรับอย่างใจดี ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะสบาย ๆ แต่แฝงไว้ด้วยความจริงจัง
“อ้อ… ลืมบอกไปอีกเรื่อง เรื่องการแต่งตัวนะ แบม พี่ขอให้แต่งให้มันพอ ‘โชว์’ หน่อย ไม่ต้องโป๊จนเกินไป เอาแบบที่ดูดี มีเสน่ห์ เรียกแขกได้ แต่ยังดูแพง ไม่ใช่แนวโป๊จนดูน่าอึดอัด หรือแต่งแบบที่เห็นแล้วอยากหลบตาน่ะ เข้าใจใช่ไหม?”
ฉันพยักหน้าเร็ว ๆ พอจะนึกออกอยู่บ้างว่าเส้นบาง ๆ ระหว่าง ‘เซ็กซี่ดูดี’ กับ ‘โป๊เกินพอดี’ มันอยู่ตรงไหน
พี่มะเหมี่ยวถอนหายใจนิด ๆ เหมือนจะบ่นกับตัวเองมากกว่าจะพูดกับฉัน
“เด็กในร้านบางคนชอบแต่งแบบโชว์ทุกอย่าง… โอเค เข้าใจแหละว่าอยากให้ลูกค้าเข้าหา แต่มันกลายเป็นดูไม่มืออาชีพ พี่ดูแล้วก็หนักใจหน่อย ๆ เพราะบางทีก็เหมือนจะกลายเป็นอีกอาชีพนึงไปเลย”
ฉันกลืนน้ำลายเบา ๆ ไม่กล้าถามว่าพี่หมายถึงอะไร แต่พยักหน้าอย่างเข้าใจและตั้งใจจะไม่ทำให้ผิดหวัง
“แค่แต่งให้เหมาะกับร้าน เหมาะกับตัวเอง ไม่ต้องเป๊ะทุกวัน แต่ให้รู้ว่าตัวเองอยู่ในสายตาลูกค้า และในฐานะทีมของเรา โอเคไหม?”
“โอเคค่ะพี่มะเหมี่ยว” ฉันตอบกลับไปทันทีด้วยรอยยิ้มบาง ๆ
พี่มะเหมี่ยวหัวเราะเบา ๆ พลางตบบ่าฉันเบา ๆ อย่างให้กำลังใจ
“ดีมาก เดี๋ยวไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมตัวไว้เลยนะ เดี๋ยวจะให้พี่มุกพาไปแนะนำตัวกับเด็ก ๆ ในทีม แล้วเดียวเริ่มงานเลย วันแรกพี่จะอยู่ดูให้ก่อน อย่ากลัว พี่ไม่ปล่อยให้ลอยแพแน่นอน”
ฉันยิ้มออกมาได้กว้างขึ้นเล็กน้อย แม้ใจยังเต้นแรงกับสิ่งที่กำลังจะเริ่มต้น
แต่ก็รู้สึกว่า…อย่างน้อย ฉันก็มีพี่มะเหมี่ยวอยู่ตรงนี้
วันแรกการทำงาน ฉันยังไม่ได้เตรียมตัวอะไรมามากเลยจริง ๆ
ไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าที่จะใส่ทำงานให้เหมาะกับที่นี่ด้วยซ้ำ โชคดีที่ทางร้านมีชุดสำรองไว้ให้สำหรับเด็กใหม่ที่ยังไม่มีอะไรพร้อม
พี่มะเหมี่ยวพาฉันมาที่ห้องเก็บชุดด้านใน เป็นห้องเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยราวแขวนเสื้อผ้าหลากสีสัน ทั้งเดรส เสื้อครอป กางเกงขาสั้น ชุดกระโปรง ชุดกางเกงบอดี้สูท
แต่ละชุดดูโดดเด่น แตกต่างกันไป บางชุดดูหวาน บางชุดดูเปรี้ยว บางชุดก็…แทบจะเรียกว่าแรงไปเลยก็ยังได้
ฉันมองไล่ไปทีละชุด พยายามมองหาชุดที่มัน “พอดี” กับตัวเอง ทั้งรูปร่าง ความมั่นใจ และบุคลิก
แต่ก็เลือกไม่ค่อยถูก จนสายตาไปสะดุดเข้ากับ ชุดเดรสสีดำตัวหนึ่ง
มันไม่ใช่ชุดที่โป๊จนเกินไป… แต่ก็ไม่ใช่ชุดธรรมดา
เดรสสีดำเรียบแต่แอบแซ่บ เว้าตรงเอวทั้งสองข้างจนเห็นผิวเนื้อเบา ๆ
กระโปรงยาวระดับต้นขา แต่มีผ่าข้างขึ้นมานิดหน่อย เผยเรียวขาพอประมาณ
มันไม่ใช่สไตล์ที่ฉันเคยใส่
แต่… ทำไมก็ไม่รู้ ฉันกลับรู้สึกว่า “มันใช่”
ฉันลองถือมันขึ้นมาทาบตัวหน้ากระจกในห้อง
มันดูไม่แรงเกินไป แต่ก็ดูสะดุดตา มีเสน่ห์
ถ้าฉันใส่ด้วยความมั่นใจ…ก็คงพอไปได้
“ชุดนี้ดีนะ ดูแพง แต่ไม่โป๊เกิน” เสียงพี่มะเหมี่ยวพูดขึ้นเบา ๆ ข้างหลังฉัน ทำฉันสะดุ้งเล็กน้อย
“เอ่อ…ใช่ไหมคะ?” ฉันหันไปถามเสียงแผ่ว พร้อมรอยยิ้มเขิน ๆ
“ใส่เลย เดี๋ยวพี่ออกไปรอข้างนอก”
ฉันพยักหน้า ก่อนเดินเข้าห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเล็ก ๆ ที่อยู่ด้านใน
มือสั่นนิด ๆ ตอนรูดซิปขึ้น รู้สึกตื่นเต้นแปลก ๆ เหมือนกำลังจะก้าวเข้าสู่โลกที่ไม่เคยรู้จัก
แต่ในใจกลับบอกตัวเองว่า…
“ลองดูสักตั้ง…เพราะนี่คือโอกาส ที่ฉันเลือกเดินเข้ามาเอง”
ฉันสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะเปิดประตูห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมา
เสียงเพลงเบสหนักจากด้านนอกยังคงดังก้องเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ปะปนกับเสียงพูดคุยของพนักงานคนอื่น ๆ ที่เริ่มทยอยเข้าร้าน
ทันทีที่ฉันก้าวออกจากห้อง เปลี่ยนตัวเองจากเด็กสาวมหาลัยธรรมดา มาเป็นใครอีกคนหนึ่งในชุดเดรสดำแนบเนื้อ ทุกสายตาในห้องรับรองดูเหมือนจะหันมามองพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
พี่มะเหมี่ยวที่ยืนพิงประตูอยู่ถึงกับผิวปากเบา ๆ แล้วพูดออกมาอย่างไม่ลังเล
“โอ้โห…แบมมาเต็มนะจ๊ะลูก! สวยเกินหน้าเด็กใหม่แล้วมั้งเนี่ย!”
ฉันยิ้มเขิน ๆ ก่อนจะหลบสายตาทุกคน แล้วพยายามเดินอย่างมั่นใจแม้ส้นสูงจะยังไม่คุ้นเท่าไร
“ขอบคุณค่ะ…” ฉันตอบเบา ๆ
ในหัวคิดอย่างเดียว อย่าหกล้ม…อย่าหกล้ม…อย่าหกล้ม…
ขณะฉันเดินผ่านกลุ่มเด็กดริ้งค์ที่นั่งรวมกันอยู่ ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบบางอย่างแว่วมา
“เด็กใหม่เหรอ? …น่ารักว่ะ…”
“ดูเรียบร้อยแต่แอบแซ่บอยู่นะ”
“ใครพามาวะ…ของฝากใครหรือเปล่า?”
ฉันทำเป็นไม่ได้ยิน พยายามเดินตามหลังพี่มะเหมี่ยวไปเรื่อย ๆ แต่ก็รู้สึกถึงสายตาใครบางคนที่ยังจับจ้องมาอยู่ตลอดเวลา
ไม่ใช่แบบลามก…แต่เป็นสายตาที่เหมือน ‘รู้จัก’ ฉันอยู่ก่อนแล้ว
ฉันเหลือบมองอย่างเร็ว ๆ
และเห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนพิงผนังอยู่มุมห้อง
เขาไม่ได้อยู่ในชุดพนักงาน แต่ก็ไม่ได้แต่งตัวเหมือนลูกค้าทั่วไป
เสื้อเชิ้ตแขนยาวพับขึ้นถึงศอก ผิวขาวจัด หน้าตาคมคาย และที่สำคัญ แววตาเย็นเฉียบจนใจฉันเต้นผิดจังหวะ
ฉันเบือนหน้าหนีแทบจะทันที
…แต่ในใจกลับสั่นอย่างบอกไม่ถูก
“ป่ะ เดี๋ยวพี่พาไปแนะนำให้รู้จักกับเพื่อนร่วมงานก่อน แล้วเดี๋ยวคืนนี้พี่จะช่วยดูให้ แรก ๆ ยังไม่ต้องลงโต๊ะจริงก็ได้ ให้ลองซ้อมก่อน”
เสียงพี่มะเหมี่ยวเรียกสติฉันกลับมาได้อีกครั้ง
ฉันพยักหน้าเร็ว ๆ เดินตามเธอไป
แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงสายตาคู่นั้น…ที่ยังจับจ้องมาอยู่เงียบ ๆ ไม่ห่าง