“ออกไป!!”
เสียงตะคอกดังลั่นจนฝาผนังสะท้อนเสียงกลับมา
น้ำเสียงแฝงความเกรี้ยวกราด ราวกับมาจากส่วนลึกของจิตใจที่เต็มไปด้วยบาดแผล
อันนาสะดุ้งเฮือก
ริมฝีปากเม้มแน่น ขาสั่นเล็กน้อย แต่ยังคงวางท่าทางนิ่ง
เธอไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกแม้แต่คำเดียว
เพียงแค่ค่อย ๆ ถอยหลัง แล้วหันหลังเดินออกจากห้องอย่างเงียบงัน
ประตูปิดลงด้วยเสียง “ปัง” อย่างแผ่วเบา
ข้างนอกห้อง
แม่บ้านวัยกลางคนที่ยืนรออยู่ตรงทางเดิน เข้ามาประคองเธอเบา ๆ
“หนูอันนา… กลับไปพักเถอะค่ะ เพิ่งฟื้นขึ้นมาเอง หน้าซีดจนไม่มีสีเลือดแล้วนะคะ”
เสียงของแม่บ้านอ่อนโยนและจริงใจ
อันนาได้ยินแล้วหัวใจอุ่นขึ้นเล็กน้อย
เธอพยักหน้าช้า ๆ
ก่อนจะหันไปมองประตูห้องของชายหนุ่มอีกครั้ง…
สายตาที่ซ่อนความสับสนและความเจ็บปวดไว้ในแววตา
หัวใจเธอเต้นถี่เมื่อหวนนึกถึงแววตานั้น
มันไม่ใช่แค่เย็นชา… แต่มันคล้ายกับ ความเกลียดชังที่ไม่มีที่มาที่ไป
“เขาไม่เหมือนคนรักเลย…”
เธอพึมพำกับตัวเองเบา ๆ
“เขาเหมือน… ปีศาจ”
เสียงเธอแผ่วเบา ราวกับกลัวว่าความคิดนั้นจะไปถึงใครสักคนที่อยู่ในห้องนั้น
เธอไม่เข้าใจว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนี้
ทั้งที่หัวใจของเธอกลับสั่นไหวทุกครั้งที่อยู่ใกล้เขา
ในห้องโถงอันหรูหรา
ไฟในห้องสลัวลง มีเพียงแสงจากโคมไฟคริสตัลกลางห้องที่ส่องแสงนวลอ่อนลงมาสะท้อนใบหน้าคมคายของคุณหญิงย่า
เธอยังคงนั่งอยู่ที่เดิมบนโซฟาหนังวัวแท้นำเข้า ท่าทางสง่างามและสุขุม
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาของแม่บ้านวัยกลางคนดังขึ้นจากด้านหลัง
เธอก้มศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะรายงานเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงลังเล
“คุณหญิงคะ… เท่าที่ฉันฟังเสียงจากหน้าห้อง… เห็นว่า… ดูเหมือนคุณมาร์คัสจะแตะต้องคุณอันนา…ต่างจากผู้หญิงคนอื่น”
คุณหญิงย่าชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้น
แววตาเปล่งประกายบางอย่างที่ยากจะอ่านออก
ราวกับหมากที่เดินนำไปเองโดยไม่ต้องใช้แรงผลัก
“แน่ใจหรือ?”
“ค่ะ… เท่าที่ได้ยิน… คุณมาร์คัสไม่เคยให้ผู้หญิงคนไหนเข้าใกล้เลย… ตลอด 27 ปีที่ผ่านมา นี่คือครั้งแรกค่ะ”
คุณหญิงย่าหรี่ตามองไปทางหน้าต่าง
สายลมยามค่ำคืนพัดม่านผ้ากำมะหยี่เบา ๆ
เสียงนาฬิกากลางห้องเดินต่อไปอย่างสงบ
เธอยกยิ้มมุมปากอย่างพึงใจ
“โชคเข้าข้างฉันแล้ว…”
มือเรียวหยิบถ้วยชาขึ้นจิบอีกครั้ง ราวกับความพึงพอใจนั้นซึมลึกลงไปในทุกอณู
“โรคที่รักษาไม่ได้ของเจ้ามาร์คัส… บางที… ผู้หญิงคนนั้นอาจจะเป็นกุญแจที่ช่วยสะกดปีศาจในตัวเขาได้”
“ถ้าโชคดี…” คุณหญิงย่าวางถ้วยชาลงบนจานรองอย่างแผ่วเบา
“ฉันอาจจะได้เหลนตัวน้อยเป็นของแถม”
แม่บ้านเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สีหน้าตกใจแต่ไม่กล้าเอ่ยอะไร
“กลับไปทำหน้าที่ของเธอเถอะ อย่าสอดเรื่องที่ไม่ควร”
“ค่ะคุณหญิง”
แม่บ้านโค้งตัว ก่อนจะเดินจากไปอย่างเงียบงัน
เสียงประตูปิดลงช้า ๆ ทิ้งไว้เพียงคุณหญิงย่า ที่ยังนั่งนิ่ง
ปลายนิ้วยังคงลูบขอบถ้วยชาเบา ๆ เหมือนกำลังครุ่นคิดถึงหมากต่อไปในกระดาน
อีกฝั่งของศัตรู
ในอาคารสำนักงานลับแห่งหนึ่งกลางกรุงเทพฯ แสงไฟสีขาวนวลส่องกระทบกระจกเงาที่ไร้ฝุ่น เสียงฝีเท้ากระทบพื้นหินอ่อนดังกังวาน ชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้หนังแท้สีดำ เบื้องหน้าเขาคือหน้าจอขนาดใหญ่ที่แสดงข้อมูลหุ้นของกลุ่มเบลเลโซ่ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ใบหน้าคมเข้มของเขาเต็มไปด้วยความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยพิษสง
“ได้เวลาแล้ว”
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้น ท่ามกลางความเงียบสนิทของห้องประชุม ลูกน้องสองคนที่ยืนอยู่ข้างกายขยับตัวทันที
“ครับ นายใหญ่”
“ปล่อยข่าวให้กระจายเป็นวงกว้างในวงในของนักลงทุนอสังหา, คาสิโน และกองทุนสีเทา…”
เขาเว้นจังหวะเล็กน้อย ก่อนจะปรายตามองหน้าจอที่กราฟกำลังสั่นไหว “บอกว่าเวย์เดน เบลเลโซ่ ประสบอุบัติเหตุสาหัส”
ลูกน้องคนหนึ่งนิ่วหน้าอย่างลังเล
“จะให้ระบุรายละเอียดไหมครับ ว่าอุบัติเหตุอะไร?”
“ไม่ต้อง” ชายคนนั้นตอบทันควัน “ให้เป็นข่าวลือที่ฟังดูจริงที่สุด แต่ไม่มีหลักฐาน… มันจะสร้างแรงกระเพื่อมได้มากกว่า”
เขายิ้มมุมปาก ขณะลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่างบานใหญ่ มองออกไปยังทิวทัศน์เมืองที่เต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้า
“ต่อไปนี้ให้กดดันด้วยข้อมูลวงในว่า… เขาไม่สามารถกลับมาบริหารได้อีกต่อไป อาการยังแย่และอาจไม่ฟื้น”
ลูกน้องคนที่สองถามด้วยเสียงเคร่งเครียด
“ถ้าแบบนั้น หุ้นส่วนจะเริ่มถอยใช่ไหมครับ?”
“ใช่ และเมื่อมันเกิดช่องว่างขึ้น…” เขาหันกลับมาช้า ๆ
“เราจะดันชื่อของหุ้นส่วนที่ถือหุ้นมากกว่าเวย์เดนขึ้นมาแทน ในฐานะ ‘ผู้บริหารชั่วคราว’”
เสียงหัวเราะแผ่วเบาหลุดออกจากลำคอ เขาทอดมองไปยังแฟ้มหนา ๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะ
เอกสารเหล่านั้นเป็นประวัติของบอร์ดบริหารทุกคนในบริษัทของเวย์เดน รวมถึงจุดอ่อนของแต่ละคน
“ถ้าเวย์เดนไม่สามารถกลับมาได้ในอีกสามสิบวัน ระบบทั้งหมดจะโอนสิทธิ์บริหารให้กับหุ้นส่วนที่ถือหุ้นสูงสุดโดยอัตโนมัติ”
ลูกน้องคนหนึ่งถามเสียงเบา
“ไม่มีคนในครอบครัวหรือครับ ที่จะเข้ามาแทน?”
นายใหญ่หัวเราะในลำคอ ดวงตาเปล่งประกายเยาะเย้ย
“ครอบครัวเบลเลโซ่เป็นตระกูลที่เงียบที่สุดในเอเชีย ไม่มีใครรู้ว่าเบื้องหลังเวย์เดนมีอะไรบ้าง… ขนาดแม่ของมันยังหายสาบสูญไปนานนับสิบปี”
เขายกมือขึ้นดีดนิ้วเสียงเบา
“เพราะแบบนี้ไง ฉันถึงมั่นใจ… มันไม่มีทางมีทายาท หรือคนในครอบครัวที่พร้อมจะก้าวขึ้นมาทันเวลาแน่นอน”
ลูกน้องทั้งสองโค้งศีรษะแล้วเดินออกจากห้อง ทิ้งให้นายใหญ่ยืนอยู่คนเดียวในห้องกระจก
สายลมเย็นพัดผ่านเข้ามาแผ่วเบา ท่ามกลางความเงียบที่เต็มไปด้วยแผนการอันตราย
“อาณาจักรที่ไม่มีผู้นำ… ก็เหมือนเรือที่ไร้หางเสือ” เขาพึมพำเบา ๆ “อีกไม่นาน… ตระกูลเบลเลโซ่ มันจะจมลง”